“นายคนไข้” ก็ต้องอุทานอย่างตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งหน้าตั้งเข้าไปหาหมอนั่นทันที ซึ่งเจ้าของรถกำลังเดินกะเผลก ๆ ไปที่รถตัวเองอยู่
“หยุดนะคุณ หยุดก่อน” ฉันตะโกนเรียกคนที่กำลังเปิดประตูรถนั่น
เขาหยุดและหันมามองหน้าฉันเล็กน้อย แต่ก็มีท่าทีเร่งรีบ
“คุณเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ควรรักษาตัวก่อนนะคะ” ฉันพูดอย่างสุภาพกับเขา
“ไม่จำเป็นอะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” อีกฝ่ายตอบแบบปัด ๆ ก่อนจะก้าวขึ้นรถไป พร้อมกับสตาร์ตรถทันที
“จะเป็นมากหรือไม่มากก็ควรกลับไปให้หมอวินิจฉัยก่อนนะคะ ไม่ใช่หนีออกมาแบบนี้ ไม่รักตัวเองเลยเหรอไง อีกอย่างคุณหมออาจจะเดือดร้อนเพราะคุณได้” ฉันเอามือกันไม่ให้เขาปิดประตูรถ
ผู้ชายคนนั้นเลยมองหน้าฉันนิ่ง ๆ
“จะหยุดพูดได้รึยัง” เขาเอ่ยพลางก้มดูนาฬิกาอย่างร้อนรน
แต่ฉันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาพูดตามจรรยาบรรณของแพทย์ต่อไป
“ผลเอกซเรย์บอกว่า กระดูกแขนของคุณร้าวจากการกระแทก ทางที่ดีควรพักใช้แขนและก็เข้าเฝือกอ่อนเอาไว้ก่อน…” ฉันบอกอาการไปตามรูปที่ยายวีโอส่งมา แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ
ฟุ่บบบ มือใหญ่ก็ดึงตัวของฉันเข้าไปนั่งบนตักทันที เพื่อที่จะปิดประตูรถได้ เนื่องจากฉันยืนขวางทางอยู่
“อะไรของคุณเนี่ย!!!” ฉันยังตกใจไม่หายที่โดนเขาดึงเข้ามาในรถ
“เธอยืนขวางประตูฉันไง ก็บอกแล้วว่ารีบ” เสียงทุ้มอธิบายขณะที่ฉันกำลังขยับไปมาอยู่บนตักของเขา
ฟุ่บบบ แล้วหมอนั่นจึงจับตัวของฉันให้หยุดนิ่ง
“เฮ้ยย ก็ปล่อยสิ ฉันจะได้ลง” จากนั้นเลยทำท่าจะลุกหนี แต่อีกฝ่ายกลับอุ้มตัวฉันโยนข้ามไปนั่งฝั่งข้าง ๆ คนขับ ก่อนจะกดล็อกรถและออกตัวทันที
“ไม่ได้นะ คุณจะพาฉันไปไหน ปลดล็อกนะ ฉันจะลง” ฉันพยายามจะเปิดประตูแต่มันก็ไม่ออก
“ฉันรีบ ถ้าอยากลงก็กระโดดเอาแล้วกัน” เขาพูดแค่นั้นแล้วพุ่งตัวออกรถ ชนิดที่หัวใจเกือบจะวาย
ส่วนฉันก็ทำได้เพียงคาดเข็มขัดและสวดมนต์เท่านั้น
รถเปิดประทุนสุดหรูวิ่งด้วยความเร็วราว ๆ 180
เสียงลมที่ตีเข้าจากด้านข้างทำให้แทบไม่ได้ยินเสียงอื่นหรือสามารถคุยอะไรได้เลย
ฉันทำได้เพียงหลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง หมอนี่ขับรถเหมือนจะพาฉันไปตายอย่างไรอย่างนั้นเอาจริง ๆ เถอะ
“มันน่าอันตรายนะ คุณขับช้า ๆ หน่อยสิ” ก่อนพยายามจะตะโกนให้คนขับได้ยิน
แต่เหมือนเขาไม่ได้สนใจในคำพูดของฉันสักเท่าไหร่เลย
เอี๊ยดดดดดด!!!! ไม่นานก็ขับมาถึงที่หมาย ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะเป็นจุดจบของชีวิตซะมากกว่า
“เรามาทำอะไรที่นี่อะ” ฉันมองตรงไปลานข้างหน้าที่เป็นเหมือนสนามแข่งอะไรสักอย่าง
“มาหาเพื่อน” เขายักไหล่ตอบแบบไม่สนใจอะไร
“อะไรนะ นี่นายหนีการรักษาและพาฉันเสี่ยงตายเพื่อมาหาเพื่อนเฉย ๆ เนี่ยนะ” ฉันถามกลับไปอย่างช็อก ๆ
“สรุปเธอเป็นหมอใช่ไหม” อีกฝ่ายหันมามองกันตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่ ฉันเป็นแค่นักศึกษาแพทย์” ฉันตอบไปตามจริงด้วยสีหน้างุนงง
คนถามพิจารณาอยู่สักพักก่อนจะปลดเข็มขัดตัวเองและกระโดดลงจากรถไป
“ก็ยังดี เพราะคืนนี้ฉันคิดว่าอาจจะเจ็บตัวเพิ่ม มีเธอไปด้วยก็สะดวกเหมือนกัน” เขาพูดพลางกดปิดประทุนรถของตัวเองช้า ๆ
“ลงมาสิ ยายจืด” เขาตะโกนบอกฉันและออกคำสั่ง
“ฉันต้องลงด้วยเหรอ” ฉันยังคงนั่งนิ่ง
“ก็ใช่ไง ลงมาสิ” เขาเดินมารอที่ประตูฝั่งฉันอย่างกดดัน
“ไม่เอา ฉันจะกลับโรงพยาบาล” ฉันส่ายหน้าอย่างกล้ากลัว ๆ
เพราะที่นี่มีแต่พวกคนเถื่อน ๆ ทั้งนั้น ไม่ใช่กลุ่มเด็กเนิร์ด ๆ ที่ฉันคุ้นเคยสักนิด
“เราได้กลับโรงพยาบาลแน่ แต่หลังจากที่ฉันเสร็จธุระนะ” หมอนั่นเปิดประตูรถและดึงแขนของฉันลงไปทันที
“และถอดไอ้ชุดคุณหมอนี่ออกด้วยนะ หน้าเธอก็จืด ชุดก็จืด เดินด้วยแล้วนึกว่ามากับแม่ชีอะ” ก่อนถือวิสาสะมาวิจารณ์ฉันด้วยปากแย่ ๆ
“นี่ ตัวนายดีตายล่ะ” ฉันสวนกลับไปทันที
ไม่เห็นจะเนี้ยบเหมือนพี่หมอกันต์ของฉันเลยสักนิด
ไม่นานจึงเริ่มเดินตามหมอนั่นเข้าในงานอย่างหมดทางเลือก เพราะถึงไม่ยอม อีกฝ่ายก็คงกล้าทิ้งฉันเอาไว้อยู่ดีนั่นแหละ แต่ไม่ลืมที่จะไลน์บอกยายวีโอและส่งสถานที่ให้นาง เพื่อจัดเตรียมรถพยาบาลมารอรับกลับไปรักษาแบบด่วน ๆ ไม่ใช่แค่ร่างกายนะ สมองด้วย
งานนี้คืองานแข่งรถหรือสนามประลองความตายก็ไม่รู้ได้
“นี่คือแหล่งรวมแว๊นกับสก๊อยของกรุงเทพเหรอ” ฉันมองไปที่รถมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์พร้อมกับสาวนุ่งน้อยห่มน้อยเหล่านั้น
“อะไรนะ” ครูซหันมาถามฉันด้วยใบหน้าช็อกโลก
“เธอเรียกงานที่มีรถคันละหลายสิบล้านว่าเด็กแว๊นกับสก๊อยเนี่ยนะ” หมอนั่นพูดปนขำ ๆ
รถสุดหรูเยอะแยะก็จริง แต่สาว ๆ หุ่นสะบึม ๆ ก็อยู่ในชุดซานตาคลอสแบบยั่วเพศกันสุด ๆ แบบนี้มีคำอื่นอีกเหรอไง ฉันได้แต่มองไปผ่านสายตาของตัวเอง
“วัน ๆ คงก้มอ่านแต่หนังสือสินะ ถึงไม่เคยเห็นอะไรสนุก ๆ แบบนี้” อีกฝ่ายได้โอกาสทับถมฉันอย่างเต็มที่
“สาบานได้ว่าฉันไม่เคยคิดจะมาที่อโคจรหรือทำอะไรเสี่ยงตายแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต” ฉันส่ายหน้าด้วยท่าทีไม่อยากจะใส่ใจ
ทั้งกลิ่นบุหรี่ควันโขมง ไหนจะขวดเหล้าเบียร์เกลื่อนไปหมด
“คนพวกนี้ไม่รักชีวิตเลยรึไง” ดวงตากวาดมองความแตกต่างของกลุ่มคนที่ไม่เคยเจอ นอกจากพี่สาวจอมซ่าของตัวเองอย่างพี่แพริส ทำให้เผลอยืนมองแสงสีเสียงจนหลงทิศหลงทางไปหมด
ไม่นานกลิ่นควันบุหรี่ก็ลอยมาปะทะจมูกฉันในระยะเผาขน
“เฮ้ย นี่นาย” พอหันตามต้นตอของกลิ่นเหม็นนั่น ก็เจอครูซยืนสูบอย่างหน้าตาเฉย เขามองตรงไปที่สนามแข่งซึ่งกำลังโวยวายกันสนั่นและแสนจะวุ่นวาย
“หื้ออ” ก่อนปล่อยควันออกมาด้วยใบหน้าผ่อนคลาย
ฉันเลยเลือกที่จะเดินหลบออกมาห่างจากเขาอย่างทิ้งระยะ
“เธอจะไปไหน” เขาขมวดคิ้วอย่างงง ๆ
“สูบบุหรี่ให้เสร็จก่อน” ฉันเอามือปิดจมูกตัวเองและตอบ ๆ ไป
“เยอะว่ะ” เขาบ่น ๆ อย่างเอือม ๆ ฉัน
“ควันบุหรี่มือสองน่ะ ทำให้คนที่ได้รับตายไวกว่าผู้สูบซะอีก” ฉันอธิบายออกไปตามหลักการ
จนทำให้ผู้ที่กำลังสูบเข้าไปเต็มปอดอย่างครูซสำลักออกมาได้
แค่ก ๆๆ เขาหยุดสูบหรี่ไปทันที จากนั้นจึงโยนลงพื้นก่อนจะขยี้ ๆ และเดินกลับมาหาฉัน
“เออ ๆๆ แต่ถามจริง เธอบ้าปะเนี่ย” แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมขำใส่
“นายสิบ้า!! แต่ขำไปเถอะ ตอนตรวจเจอมะเร็งไม่เห็นหัวเราะออกสักราย” ฉันสวนกลับไปอย่างผู้ชนะ
จนทำเอาหมอนั่นหน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
“ก็ดีนะ ฉันอยากตายก่อนแก่อะ เพราะคงไม่เท่และหล่อได้เท่านี้” ก่อนยักไหล่ตอบอย่างโนสนโนแคร์ใด ๆ กับคำเตือน
“อื้ม ก็จริงแหละ แต่ถ้าวันหนึ่งนายมีลูกที่น่ารักของตัวเองแล้ว อาจจะเสียใจที่ไม่ได้อยู่รอดูเขาเติบโต” ฉันเลยเรียกสติให้อีกครั้ง
และนั่นทำให้ครูซเงียบไปพร้อมสบตากับฉันนิ่ง ๆ แล้วหยิบซองบุหรี่ขึ้นมาขยำมันจนละเอียดก่อนจะโยนทิ้งถังขยะ
“งั้นคงต้องหาเมียที่อายุยืน ๆ รักสุขภาพหน่อย ไว้ดูแลลูกตอนโต” เขาตอบกลับพลางแสยะยิ้ม
และดึงมือของฉันให้นั่งลงที่เก้าอี้ ๆ ตัวข้าง ๆ เขานั่นแหละ
“ไหนเพื่อนของนายล่ะ” ฉันมองไปรอบ ๆ เต็นท์ที่พักแข่งรถก็ไม่เจอใครเลยสักคน
“โดนกระทืบอยู่” เขาตอบอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
“ฮะ” เป็นฉันต่างหากที่ตกใจ
“ก็ไอ้คนที่กำลังตีกันวุ่นวายอยู่ด้านล่างนั่นนะ คือเพื่อนฉันเอง” ขณะพูดก็ปรายตาไปมองเล็กน้อย ซึ่งโดยรอบก็มีฝูงชนรุมล้อมเป็นวงกลมเพื่อรอดู
แต่ครูซเลือกมายืนมองบนมุมสูง เพื่อที่เขาจะได้เห็นชัด ๆ
“แล้วไม่ไปช่วยเพื่อนนายเหรอ”ฉันถามแบบสงสัย ๆ
“จะช่วยใครดีล่ะ คนที่ตีกันอยู่คือเพื่อนฉันทั้งคู่เลยน่ะสิ” ครูซถอนหายใจและหักนิ้วรออย่างเซ็ง ๆ
“ฮะ สังคมนายนี่มันแปลกประหลาดดีจริง ๆ” ฉันส่ายหน้าอย่างงง ๆ
“ทำไมเขาถึงสู้กันล่ะ ไม่มีอะไรทำแล้วเหรอ” ก่อนถามออกไปด้วยความอยากรู้และต้องการศึกษาจิตใจของคนแปลก ๆ พวกนี้
“ก็อาจจะ” อีกฝ่ายยักไหล่ตอบมาสั้น ๆ เหมือนกำลังกวนอยู่
“ตีกันเพราะแย่งผู้หญิงอะดิ ไม่รู้อะไรนักหนา” จากนั้นจึงแบะปากบ่น
“เธอทำแผลเป็นใช่ไหม”
“ถ้าไม่หนักมากก็ได้อยู่” ฉันตอบอย่างเลือกอะไรไม่ได้
“งั้นรอตรงนี้นะ ฉันไปจับหมาบ้าแยกกันก่อน เดี๋ยวมา!” ครูซพูดขึ้นอย่างชิว ๆ และเดินลงจากชั้นบนไปตรงลานที่มีการตะลุมบอนกันอยู่
“ขอบคุณซานต้าสำหรับเรื่องวุ่นวายรับคริสต์มาสปีนี้ของฉัน หลังจากที่ชีวิตสงบสุขและราบรื่นมาโดยตลอด” ฉันพูดไล่หลังคนที่เดินออกไปแบบเท่ ๆ นั่น