“หลินเจิน...เจ้าคงกลับมาแล้วสินะ”
จางลี่รำพึงกับตัวเองด้วยรอยยิ้มก่อนวิ่งไปเปิดประตูหากแต่ต้องผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่นั่น
“องค์ชาย!”
ร่างน้อยชะงักและถอยหลัง ใบหน้าสวยซึ้งเปลี่ยนเป็นซีดลงเล็กน้อย ร่างสูงใหญ่งามสง่าขององค์ชายหลี่เจี๋ยภายใต้พระภูษาน่าเกรงขามยืนนิ่งและจ้องมองมายังร่างเล็กบอบบางของพระธิดาที่ฝืนยิ้มให้
“องค์ชาย...ไหนพระองค์ตรัสว่าจะกลับมาที่ตำหนักร้อยไหมในอีก...”
“สามราตรี”
หลี่เจี๋ยแทรกด้วยน้ำเสียงกังวานก้อง ใบหน้าคมคายของอ๋องแคว้นหลู่ดูเหมือนเคียดขึ้งหากรอยยิ้มเหยียดผุดบนมุมปากหยัก ปาอ๋องหรี่นัยน์ตาดำยาวรี
“สามราตรีนั้นดูจะมากไป ข้าอยากพบพริดาจางลี่ของข้าหัวใจแทบขาด แล้วเจ้าเล่า...จางลี่...เจ้านึกถึงข้าเช่นกันใช่หรือไม่”
“เพคะ...”
“เมื่อคืนเกิดเหตุไฟไหม้ในตำหนักร้อยไหม ข้าเป็นห่วงเจ้ามากรู้หรือไม่”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“ถ้าอยากให้ข้ารีบมาหาเจ้าก็ไม่เห็นต้องวางแผน ใช้ให้นางกำนัลของเจ้าวางเพลิงให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้เลยองค์ชายาของข้า!”
“องค์ชาย...อ๊ะ!...หลินเจิน!”
จางลี่ตาเบิกค้างเมื่อนางสนมต้นห้องก้าวเข้ามาพร้อมทั้งคุกเข่าลงโดยมีทหารสองนายขนาบข้าง หลินเจนใบหน้าซีดเซียวและร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว
“ท่านหญิง...หลินเจิน...หลินเจินขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”
“องค์ชาย...ท่านทำอะไรคนของหม่อมฉัน”
จางลี่หันไปถามร่างสูงใหญ่ที่เหยียดมุมปากออกและจ้องมองพระธิดาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม
“ถามตัวเจ้าก่อนดีไหม พระธิดาจางลี่ ว่าเจ้าใช้คนของเจ้าให้ล่วงละเมิดคำสั่งของข้าออกไปจากตำหนักร้อยไหมด้วยเหตุอันใด”
“อ่า...เอ้อ...หม่อมฉัน...”
“ที่ตอบข้าไม่ได้เพราะทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนวางแผนการณ์ไว้ พระธิดาจางลี่...
“ข้าขอรับผิดต่อเรื่องทั้งหมดนี้เจ้าค่ะ”
หลินเจินหมอบกรานลงกับพื้นร้องไห้สะอึกสะอื้นยังความตระหนกแก่จางลี่อย่างยิ่ง นางไม่กล้าแม้แต่จะสบนัยน์ตาเหี้ยมของอ๋องแคว้นหลู่ ใบหน้าขององค์ชายตอนนี้เคียดขึ้งและจ้องมองนางราวกับว่าอยากแยกร่างบอบบางออกเป็นหมื่นชิ้น หลี่เจี๋ยเหยียดปากออกอย่างเยียบเย็น
“โม่โฉว นายทหารเอกของข้าเป็นคนไปพบนางกำนัลของเจ้ากำลังจะหลบหนีออกไปจากตำหนักร้อยไหม นางคงจะออกไปหาเหล่าทหารผู้ติดตามตามคำสั่งของพระธิดาและยังได้สารภาพกับข้าว่านางคือคนวางเพลิงตำหนักร้อยไหมจนเกือบวอด…หึ! เจ้าควรรู้ว่าการขัดคำสั่งของเจ้าผู้ครองแคว้นสุดท้ายแล้วโทษจะเป็นเยี่ยงไร แม้เจ้ามารับตำแหน่งองค์ชายาของข้าแต่หากคนของเจ้ากระทำการละเมิดก็จะต้องได้รับโทษสถานหนักเท่านั้น!”
“อย่าเพคะ!”
จางลี่ถลาเข้าไปขวางหน้าหลินเจินเมื่อหลี่เจี๋ยชักดาบเล่มใหญ่ออกจากฝักที่ติดบั้นเอวของราชองครักษ์โม่โฉวซึ่งยืนนิ่งราวกับศิลากหลักก่อนจ่อลงไปจนปลายดาบคมทิ่มทะลุลงไปบนบ่าของจางลี่ หลินเจินเห็นธารโลหิตแดงเถือกบนบ่านายหญิงก็ร้องลั่น
“ท่านหญิง! ท่านหญิงเจ้าคะ!”
“มิเป็นไรดอก” จางลี่กัดฟันแม้เจ็บปวด “ถึงอย่างไรข้าก็ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้น...ใช่เพคะองค์ชาย หม่อมฉันเองที่เป็นคนวางแผนให้นางกำนังเผาตำหนักเพื่อจะได้ออกไปพบคนของหม่อมฉันในวังของพระองค์ หลินเจินมิมีความผิด หากจะลงทัณฑ์หม่อมฉันก็ขอรับผิดทุกอย่างแต่เพียงผู้เดียว”
“ได้! หากเจ้าต้องการเช่นนั้น...ทหาร! จับพระธิดาลงไปขังรับโทษโบยร้อยครั้งในคุกหลวงชั้นในสุด!”
อ๋องหลี่เจี๋ยดึงดาบเล่มใหญ่กลับและส่งให้โม่โฉวก่อนทหารอีกสองนายเข้าไปหยุดตรงหน้าจางลี่และคุกเข่าลง หนึ่งในนั้นกล่าวว่า
“ขอเชิญพระธิดาจางลี่...พะย่ะค่ะ”
จางลี่กัดฟันแน่น มิได้นึกเจ็บปวดต่อบาดแผลแรกที่อ๋องแคว้นหลู่บากมันไว้บนไหล่แต่เจ็บใจที่นางนึกไม่ถึงว่าพระญาติผู้พี่จะมีจิตใจอำมหิตถึงเพียงนี้ ก่อนนางขยับตัวหลินเจินจับมือเรียวบางไว้แน่นและเอ่ยทั้งน้ำตา
“ท่านหญิง...เป็นเพราะข้าท่านถึงต้องมาตกที่นั่งลำบากเยี่ยงนี้ อภัยให้ข้าด้วย”
“แค่โบยร้อยครั้ง...ก็แค่ตาย”
จางลี่กัดฟันพลางเหลือบมองญาติผู้พี่ของนางที่ยืนอยู่อย่างไม่สะทกสะท้าน นางแสดงความเข้มแข็งด้วยการลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องนั้น ราชองครักษ์โม่โฉวเก็บดาบลงฝักพลางเอ่ยขึ้น
“ท่านอ๋อง...จะให้ผู้คุมเป็นผู้โบยองค์ชายาหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง...เดี๋ยวข้าจะไปที่คุกหลวงและเป็นคนลงแส้นางเอง!”
หลี่เจี๋ยหันหลังกลับและก้าวออกจากห้องนั้น ยังเหลือหลินเจินที่นั่งตาเบิกค้างเมื่อได้ยินบัฐชาของผู้ครองแคว้นหลู่ และก่อนที่โม่โฉวจะเดินตามออกไปหลินเจินก็ร้องออกมาว่า
“มินึกเลยว่าคนแคว้นหลู่จะใจดำอำมหิตเช่นนี้ พระธิดาจางลี่เป็นองค์ชายามิใช่กบฏแผ่นดินแม้แต่น้อย”
“แต่นางกระทำผิดอย่างร้ายแรง” ราชองครักษ์ตอบเสียงหนักแน่น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตำหนักร้อยไหมมีความสำคัญต่อท่านอ๋องเยี่ยงไร”
“สำคัญเยี่ยงไรเล่า ตำหนักนี้ช่างน่ากลัวนัก หรือท่านมิรู้หรือว่าใต้ตำหนักมีจระเข้อยู่เต็มไปหมด”
“นั่นคือความเจ็บปวดที่ท่านอ๋องต้องสูญเสียพระบิดาและเจ้ากับองค์ชายาก็มิมีวันเข้าใจ ข้ามิมีเวลาพูดกับเจ้ามากนัก”