จวนผู้ตรวจการหาน
กลางห้องโถงมีสองบุรุษยืนประจันหน้า หนึ่งสูงวัย อีกหนึ่งหนุ่มแน่น พวกเขามองหน้ากันอย่างไว้เชิง
ริมห้องอีกฝั่งมีแม่นางน้อยยืนมองด้วยใจลุ้นระทึก
ชั่วครู่ต่อมาบุรุษสูงวัยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ข้าตามใจจื่อหรานมามากพอแล้ว แต่ครั้งนี้ ฉีรุ่ย เจ้าทำเกินไป มีเรื่องต่อยตีกับอันธพาลจนบุตรสาวของข้าได้รับบาดเจ็บไปด้วย ใช้ได้ที่ใด”
เขาคือเจ้าของจวนผู้ตรวจการ นามว่าหานเซิง
“การหมั้นหมายของพวกเจ้านับแต่นี้ถือเป็นโมฆะ!” หานเซิงกล่าวปิดท้ายอย่างเดือดดาล
“ท่านพ่อ” หญิงสาวผู้ยืนอยู่มุมห้องกล่าวเสียงเครือหมายทักท้วง
โม่เหลียนยามนี้คือจื่อหรานเต็มส่วนและชายสูงวัยเบื้องหน้าคือบิดาของร่างเดิม เป็นบุคคลที่นางต้องรักเคารพ “ท่านพ่อใจเย็นก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าหายดีแล้ว ไม่เจ็บสักนิด”
“จื่อหราน! เจ้าเลิกหูหนวกตาบอดเสียที ฉีรุ่ยมิใช่บุรุษที่ดีเจ้าก็เห็น รักใครก็จงรักให้เป็น มิใช่หลับหูหลับตา ข้าไม่อาจตามใจเจ้าได้อีกแล้ว พอที!”
หานเซิงโบกมือไล่ชายหนุ่มกลางห้องอย่างไม่ไว้หน้า สำหรับเขาชื่อเสียงเป็นเรื่องจอมปลอม
เขามิใช่บิดาที่ใส่ใจชื่อเสียงวงศ์ตระกูลจนถึงขั้นยอมให้บุตรสาวเสี่ยงต่อการมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายหลังแต่งงานดีกว่าเสียชื่ออันใดเทือกนั้น หมั้นได้ก็ถอนได้ การถอนหมั้นครั้งนี้ เขาจึงทำเพื่อบุตรสาวทั้งสิ้น! หาใช่ทำลายนางไม่
“ฉีรุ่ย ต่อไปนี้เจ้าอย่าได้มาหาจื่อหรานอีก ที่สำคัญ ข้าเดินทางไปถอนหมั้นพวกเจ้ากับบิดาของเจ้าแล้ว เราไม่มีเรื่องต้องพูดคุยกันอีก”
ทั้งน้ำเสียงเปี่ยมโทสะราวฟ้าถล่มและวาจาเถรตรงเผยความเดือดดาลอย่างไม่ไว้หน้าของหานเซิงดังสนั่นไปทั้งห้องโถง บ่าวไพร่ต่างได้ยินกันทั่ว กระนั้นชายหนุ่มกลางห้องกลับยืนนิ่งไม่ไหวติง ทั้งสงบนิ่งและสุขุม
พลันนั้นหานเซิงให้รู้สึกแปลกประหลาดเมื่อมองสบตาลุ่มลึกของกู้ฉีรุ่ย
เหตุใดถึงรู้สึกว่าท่าทางเช่นนี้ ราวกับเป็นคนละคน
หานเซิงมุ่นคิ้ว รับรู้ถึงแรงกดดันบางอย่างจากร่างสูงของว่าที่ลูกเขยที่บัดนี้เขายัดเยียดให้เป็นอดีตว่าที่เขยไปแล้ว
เด็กหนุ่มตรงหน้าที่ไม่เคยลดตัวย่างกรายเข้ามาถึงจวนผู้ตรวจการ อีกทั้งมักเผยกิริยาไร้ความสุขุมสำรวมใดๆ ทว่าบัดนี้กำลังยืนรับฟังคำด่าทอจากเขา ทั้งยังยืนตระหง่านราวภูผาไม่มีวันพังทลายเช่นนั้น...
ทั้งสงบเยือกเย็นและสุขุมลุ่มลึกยากหยั่งถึง
เขา...คือกู้ฉีรุ่ยจริงหรือ?
ใช่ผู้เสเพลมีดีแค่หน้าตาหล่อเหลาและรูปงามจริงรึ?
หานเซิงเริ่มไม่แน่ใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือกู้ฉีรุ่ย ไฉนเปลี่ยนแปลงไปมากนัก ทำคนฉงนยิ่ง
ความสงสัยล้วนเก็บงำไว้ในใจ สีหน้าของหานเซิงเผยเพียงความเด็ดขาดของผู้เป็นบิดาที่รักบุตรสาวยิ่งชีพ
“กลับไปได้แล้วกู้ฉีรุ่ย หยุดทำร้ายจื่อหรานเสียที!”
ชายสูงวัยไล่คนเหมือนไล่แมลงวัน
โม่เหลียนได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบงัน ไร้วาจา จากความทรงจำของร่างเดิมที่รับรู้ จื่อหรานชมชอบกู้ฉีรุ่ยเพราะรูปร่างหน้าตางดงาม โดยมองข้ามนิสัยใจคอแท้จริง กระทั่งทำทุกทางเพื่อให้ได้หมั้นหมาย
ท้ายที่สุดกู้ฉีรุ่ยก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ถอนหมั้น เนื่องจากเขารังเกียจจื่อหรานที่ทำตัวเจ้าเล่ห์มากมารยา กระทั่งได้หมั้นหมายอย่างไม่ละอาย
ครั้นนางหลุดปากว่าต้องการถอนหมั้น หานเซิงจึงเร่งรุดจัดการให้ทันทีราวฟ้าฟาด ทั้งสินสอดและส่วนชดเชยล้วนส่งให้และได้คืนกลับมาครบครัน แลกเปลี่ยนอย่างสาสม ไม่ติดค้าง ผลที่ได้ก็คือเหตุการณ์ยามนี้
ชายหญิงสิ้นสุดพันธะหมั้นหมาย ต่อให้มาเรียกร้องล้วนสายเกินไป
กลางห้องกว้าง ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งท่าทีสงบดุจเดิม
เยี่ยนเต๋อที่ยามนี้เป็นกู้ฉีรุ่ยเต็มตัวไหนเลยจะไม่ล่วงรู้ถึงสาเหตุแห่งเพลิงโทสะจากว่าที่พ่อตา
เมื่อก่อนร่างเดิมรังเกียจคู่หมั้นของตนมากถึงขนาดทำตัวร้ายกาจตลอดเวลาเพื่อกลั่นแกล้งให้นางถอดใจ
“ท่านพ่อตา โปรดฟังข้าสักคำ”
คนถูกเรียกว่าพ่อตาหางคิ้วกระตุก หานเซิงเอ่ยย้ำ “ข้าไม่ใช่พ่อตาเจ้าอีกต่อไป ฮึ!”
ชายหนุ่มจึงเรียกอีกครา ระมัดระวังมากกว่าเดิม “ใต้เท้าหาน โปรดฟังข้าสักคำ”
ดวงตาคมเข้มของเขาทอประกายข่มขวัญบางอย่าง ทำให้หานเซิงที่กำลังหมุนกายจากไปต้องมองแล้วหยุดเดินอย่างน่ากังขา
วันนี้เขาถูกเด็กหนุ่มทำให้แปลกใจมากเกินไปแล้ว
“มีอะไร?” หานเซิงถามตัดรำคาญ
“ข้าไม่ต้องการถอนหมั้นกับจื่อหราน”
“เฮอะ!” หานเซิงอยากหัวเราะนัก “ฉีรุ่ยแต่ก่อนเจ้าทำทุกอย่างเพื่อถอนหมั้น วันนี้ต่อให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้า...”
หานเซิงยังเอ่ยไม่จบประโยค ชายหนุ่มตรงหน้าพลันเปิดชายเสื้อคุกเข่าดังตึง
โม่เหลียนเบิกตาโพลงมองเยี่ยนเต๋ออย่างคาดไม่ถึง ในขณะที่หานเซิงขมวดคิ้วมอง
“พี่ฉีรุ่ย ท่านทำอะไร?” หญิงสาวตกใจแทบสิ้นสติ การคุกเข่ามิใช่สิ่งที่บุรุษสูงศักดิ์จะกระทำได้โดยง่าย
เยี่ยนเต๋อมองดรุณีน้อยมุมห้องนิ่งๆ สื่อนัยเน้นย้ำทางแววตาคมว่าเขาคือกู้ฉีรุ่ย มิใช่เยี่ยนเต๋ออีกต่อไป
โม่เหลียนจึงสงบลง ชายหนุ่มค่อยหันมาทางหานเซิง ร่างสูงแม้คุกเข่าอยู่บนพื้นห้องแต่กลับหลังตรงสง่างามแผ่ซ่านกลิ่นอายบางประการกดข่มผู้ยืนได้ชะงัด
“ใต้เท้าหาน เมื่อก่อนเป็นข้าที่โง่เขลาเบาปัญญา แต่บัดนี้ข้ารู้แล้วว่ามีใจให้จื่อหราน ขอท่านให้โอกาสข้าพิสูจน์ได้หรือไม่?”
หานเซิงแค่นเสียงเฮอะ สะบัดหน้าหนี ไม่อยากมองคนหนุ่มที่กำลังแผ่รัศมีบางอย่างออกมาจนแสบตาพาใจสั่น
ไม่รู้เพราะเหตุใดชายสูงวัยถึงรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง เสมือนศีรษะอาจหลุดจากบ่าได้ตลอดเวลากระนั้น
เขาโบกมือทำท่าไม่อยากฟังโดยมิได้หันหน้ามอง
“สัญญาหมั้นหมายสิ้นสุดลงแล้วจะพิสูจน์เพื่ออะไร”
“เพื่อให้หมั้นอีกครั้ง” สุ้มเสียงชายหนุ่มหนักแน่น “ข้าจะพิสูจน์ตัวเอง ขอแค่ใต้เท้าหานให้โอกาสข้า”
“ฮึ!” หานเซิงส่งเสียงในลำคอแค่นั้น มิได้ปฏิเสธแต่มิได้ตอบรับเช่นกัน ความเจ็บปวดของบิดาที่แก้วตาดวงใจถูกทำร้ายความรู้สึกซ้ำๆ จะให้โอนอ่อนได้ง่ายๆ หรือ?
คำตอบคือไม่!
เยี่ยนเต๋อใช่ว่ามองสีหน้าคนไม่ออก กู้ฉีรุ่ยผู้นี้ทำตัวเสเพลไร้อนาคตไปวันๆ ดังนั้นย่อมมีทางเดียวให้คนยอมรับ เขาเอ่ยอย่างใจเย็น สุ้มเสียงทุ้มต่ำน่าฟัง “ข้าจะสอบขุนนาง ภายหน้าจื่อหรานจะได้ขึ้นเกี้ยวแปดคนหามเข้าจวนของข้าอย่างสมศักดิ์ศรี เป็นฮูหยินของข้ากู้ฉีรุ่ยอย่างสมเกียรติ”
หานเซิงเบิกตา ครานี้จึงหันมอง “เจ้าล้อข้าเล่นแล้ว? ตัวเจ้าเคยอ่านหนังสือ เรียนตำราปราชญ์หรือไร?”
นี่มิใช่วาจาดูแคลน หากแต่หานเซิงถามจริงๆ
กู้ฉีรุ่ยผู้นี้เป็นบุตรชายคนเดียวของกู้เหิงซึ่งเป็นถึงน้องชายคนสำคัญของเสนาบดีกู้เจิ้ง
สถานะจึงไม่ธรรมดา และด้วยฐานะร่ำรวยจึงเสเพล ทำตัวเกเรไปวันๆ มีดีแค่หล่อเหลาเท่านั้น
หานเซิงปรายตามองอย่างดูแคลนเหยียดหยันอีกว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะสอบขุนนางได้ ไม่มีทาง กลับไปฝึกเขียนอักษรให้งดงามทรงพลังก่อนเถอะ ค่อยมาท้าทาย ฮึ!”
เยี่ยนเต๋อนิ่งคิดพยายามนึกหนังสือที่ร่างเดิมเคยอ่าน ทว่าน่าเสียดายที่นึกไม่ออก เพราะเหมือนว่าจะไม่คุ้นเคย
โม่เหลียนให้รู้สึกปวดศีรษะ คุณชายกู้ผู้นี้ ร่างเดิมเคยจับพู่กันหรือเปล่า นางเองก็ยังไม่แน่ใจ...
แต่ที่นางแน่ใจคือตัวนางเองไม่สันทัดเลยสักนิด
ชาติก่อนนางเป็นบุตรสาวหนึ่งเดียวของสำนักฝ่ายบู๊ ตำราปราชญ์ ศาสตร์สตรี ไม่เคยสนใจ
พู่กันยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เคยฝักใฝ่คัดอักษรเลยสักเสี้ยว เอาแต่ฝึกธนูจับดาบฟาดฟันอย่างเด็ดเดี่ยว
ส่วนชาตินี้ เจ้าของร่างนามหานจื่อหราน ยังเป็นสตรีที่ไม่เอางานบ้านงานเรือน แม้เป็นคุณหนูในห้องหอแต่กลับไม่ค่อยสนใจเรียนรู้ศาสตร์สตรี
อีกทั้งตั้งแต่ได้พบพานกู้ฉีรุ่ยก็หลงใหลหัวปักหัวปำ วันๆ เอาแต่วิ่งไล่ตามผู้ชายคนนี้
เช่นนั้น การที่จะช่วยเหลือหรือส่งเสริมกันในเรื่องสอบขุนนาง ท่าทางช่างยากเย็นยิ่ง
เฮ้อ...
ชายหนุ่มหญิงสาวมองหน้ากันอย่างกลัดกลุ้ม