หลังจากถูเนื้อตัวจนทั่วแล้ว เธอก็จัดการล้างคราบสบู่ออกไปจากตัวของเขา เห็นเขาถูตรงหว่างขายุกยิก เธอก็ไม่พูดอะไร ช่วยตักน้ำราดให้เขาจนสะอาด ก่อนจะยื่นผ้าขาวม้าให้เขาผลัดเปลี่ยน
สุริยันต์เดินตามคนเป็นเมียเข้าไปในบ้าน เธอเช็ดตัวให้เขา ก่อนจะหาเสื้อผ้ามาให้เขาสวมใส่ ท่าทีนิ่งๆ ของเธอทำให้คนความจำเสื่อมนึกเกรงใจขึ้นมาไม่น้อย
“จากสูงสุดสู่สามัญจริงๆ” เขาพูดเบาๆ แต่เธอได้ยินชัดเต็มสองหู
“อะไรกันคะเฮีย”
“จากเซฟเฮ้าส์มาอยู่นี่เหมือนเทวดากับยาจก” เธอฟังแล้วหลุดขำ
“เฮียนอนเถอะ พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ” เธอไม่ได้พูดอะไรแต่บอกให้เขาพักผ่อนเพราะอยากจะไปอาบน้ำและดูลูกเสียหน่อย ฝากไว้กับดอกเหมยตั้งแต่ตอนเย็น
“จะไปไหน” เขาดึงมือของเธอเอาไว้
“หยกจะไปอาบน้ำค่ะ” เธอบอกเขาเสียงนุ่ม
“เมื่อกี้ทำไมไม่อาบด้วยกันล่ะ”
“หยกอาบน้ำช้าค่ะ”
เธอบอกเขาด้วยรอยยิ้ม สุริยันต์ปล่อยแขนของเธอ นอนมองร่างอวบที่เดินออกไปจากห้องไม่วางตา เขาครุ่นคิดอะไรอีกมากก่อนจะเผลอหลับไป กลิ่นหอมจางๆ ที่ลอยมาปะทะจมูกทำเอาคนที่เผลอหลับไปตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ร่างอวบที่เดินเข้ามาในห้องทำให้เขากะพริบตาปริบๆ
“เฮียปวดหัวอีกไหม” เธอมานั่งลงข้างเตียง เอ่ยถามอย่างใส่ใจ
“ไม่ปวด” เขากวาดสายตามองร่างขาวผ่องที่สวมชุดนอนบางเบาเซ็กซี่แล้วรู้สึกร้อนผ่าว
“ไม่ปวดก็ดีแล้วค่ะ เฮียนอนเถอะ ขอโทษที่ทำให้ตื่น เดี๋ยวหยกจะไปดูลูกเสียหน่อย” เธอดึงผ้าห่มมาห่มให้เขาจนถึงอก เขาไม่มีอาการปวดหัวอีกเธอก็เบาใจ
“ฉันไปด้วย” เขารั้งแขนของเธอเอาไว้ พิมพ์รดาพยักหน้าให้อย่างว่าง่าย ตลอดระยะเวลาที่เธอคลอด เขาก็คอยช่วยเธอเลี้ยงลูกอยู่บ่อยๆ บางครั้งพิมพ์รดาก็ไม่อยากให้เขาหายความจำเสื่อมเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาจะได้รักเธอรักลูกไปแบบนี้ไปนานๆ แม้เขาจะพูดน้อยหรือไม่ค่อยพูดตามนิสัยดั้งเดิม แต่สายตาห่วงใยรักใคร่ของเขาที่มีให้เธอกับลูกก็ทำให้เธอรู้สึกมีความสุขไม่น้อย
“คุณหนูหิวนมค่ะคุณหยก” พอไปถึงห้องเด็ก ดอกเหมยก็รีบบอกเจ้านายสาวทันที
“จ้ะ” พิมพ์รดารับลูกมาอุ้มเอาไว้ เธอให้ลูกดื่มนมจากอกเพราะเจ้าตัวเล็กกินนมกระป๋องไม่ได้เนื่องด้วยมีอาการผื่นแพ้ขึ้นตามตัวและท้องเสีย
สุริยันต์ชะโงกหน้าเข้าไปดูบุตรสาวตัวน้อยที่ขม้ำดูดนมจากอกของมารดาอย่างมีความสุข เขากะพริบตาปริบๆ ก้อนเนื้อด้านซ้ายเต้นถี่แรงเสมอเมื่อได้สบสายตาไร้เดียงสาคู่นั้น นี่คือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาที่เขาต้องดูแล
พิมพ์รดาช้อนสายตาขึ้นมองสามี เธอยิ้มหวานหยดให้เขาคล้ายจะยั่ว สุริยันต์ถึงกับกระแอมกระไอ เธอไม่อายที่เขามาแอบมองเธอให้นมลูก แต่เขากลับรู้สึกเลือดลมสูบฉีดหน้าร้อนผ่าวไปหมด
“สงสัยลูกจะหิวนมน่ะค่ะ” เธอพูดขึ้นเมื่อเขาเดินไปนั่งลงตรงข้าม จ้องมองเธอกับลูกด้วยสายตาสนใจไม่น้อย ลูกคือสิ่งมีชีวิตอันแสนประหลาดล้ำในสายตาของเขา
“อืม...” เขาครางในลำคอเห็นจริงดังนั้นว่าลูกน้อยหิวนมจริงๆ
“เฮียมองอะไรคะ”
“ลูกตะกละเหมือนใคร” เขาเอ่ยถาม มองเด็กน้อยในอ้อมแขนของเธอไม่วางตา พิมพ์รดาหลุดขำกับประโยคคำถามของเขา
“เหมือนเฮียกระมังคะ มาดูใกล้ๆ สิ กินดุเหลือเกิน” เธอยิ้มหวานคล้ายยั่วเขา สุริยันต์เดินเข้าไปมองเหมือนต้องมนตร์สะกด เขาใช้นิ้วจิ้มที่หลังมือเล็กๆ ป้อมๆ ของลูกสาวตัวน้อย ก่อนที่นิ้วเล็กๆ นั้นจะรวบนิ้วของเขากดไปกับเต้านมขาวอวบ
“อุ๊ย!” เธออุทาน เงยหน้ามองเขา สุริยันต์ก้มลงมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยน
“เฮียนั่งลงใกล้ๆ สิ” เธอรีบพูดเมื่อเขาทำท่าจะขยับตัวหนีอีกรอบ เจ้าตัวเล็กยังคงกำนิ้วของบิดาเอาไว้แน่นขณะดูดนมอย่างสบายอารมณ์ สุริยันต์ไม่ได้พูดอะไรเขานั่งลงใกล้ๆ เธอ มองปากเล็กๆ บอบบาง ดูดนมอย่างมีความสุขแล้วเผลอยิ้ม
“เฮียยิ้มด้วย” เธอยิ้มตามเมื่อเห็นเขายิ้ม
“ปกติฉันไม่เคยยิ้มหรือไง”
“เคยค่ะแต่น้อยครั้งมากที่เฮียจะยิ้ม เฮียจะยิ้มก็ต่อเมื่อ” เธอชะงัก เขาจะยิ้มและหัวเราะเมื่ออยู่กับครอบครัว เธอได้ส่งข่าวเรื่องของสุริยันต์ไปให้แดนตะวันได้รับรู้แล้ว อีกฝ่ายจึงโล่งใจ หลังจากเข้าไปดูแลกิจการทุกอย่างเต็มตัวและส่งข่าวมาบอกว่าจะปิดกิจการบางอย่างชั่วคราวก่อน แดนตะวันต้องใช้เวลาให้คุ้นเคยกับงานและลูกน้องของสุริยันต์ก่อนจะหาหนอนบ่อนไส้คนที่ส่งข่าวให้พิทาย ส่งคนมาดักซุ่มยิงสุริยันต์ตอนออกจากบ้าน
อัญชัญมีแผนการที่จะหาหนอนบ่อนไส้ ตกลงกันว่าจะทำตามแผน แต่ก็ต้องยุติไปก่อน เพราะเธอคิดว่าอยากจะให้มันตายใจ ยิ่งเวลาผ่านไป มันยิ่งชะล้าใจ สุริยันต์เคยบอกเธอว่าแก้แค้นสิบปียังไม่สาย และเธอก็เห็นจริงตามนั้น
การที่แดนตะวันไม่ทำธุรกิจแข่งกับพิทายก็ถือเป็นการทำให้ศัตรูตายใจ ไม่ตามไล่ล่าฆ่าฟันกันอีก และยังทำให้ปลอดภัยขึ้นด้วย พิทายก็จะผยองคิดว่าตัวเองเป็นหนึ่ง ซึ่งคนเรานั้นเมื่อถึงเวลาถอยก็ต้องถอย หยุดก็ต้องหยุด แต่ไม่ใช่จะยอมแพ้แต่แค่มีสติและรอเวลาเท่านั้น
พิมพ์รดาวางลูกน้อยให้นอนหลับบนเตียงเล็กๆ หลังจากที่ดื่มนมอิ่มแล้ว สุริยันต์ยังปักหลักอยู่ที่เดิม จะว่าเขารอภรรยาอยู่ก็คงใช่ เป็นความเคยชินที่เขาอยากนอนกอดเธอและหลับไปพร้อมกัน
พอลูกหลับและดอกเหมยเข้ามาช่วยดูแล เขาก็ตามเธอไปยังห้องนอน ห้องเด็กติดกับห้องนอน ถ้ามีอะไร ดอกเหมยก็จะมาเรียก
พิมพ์รดาเดินกลับไปนอนห้องของตัวเอง โดยมีสุริยันต์เดินตามไปติดๆ
“ดอกเหมยดูรักลูกของเรามากนะ” เขาเอ่ยขึ้นเพราะสังเกตสังกาทุกคนที่อยู่รอบตัวเสมอ
“เขาเป็นญาติกับเรานี่คะ” เธอบอกเขาว่าดอกเหมยเป็นญาติฝั่งมารดา
“ไม่หรอก” สุริยันต์พิงร่างไปกับพนักหัวเตียง ดึงร่างอวบของภรรยามาหา โอบกอดเธอเอาไว้หลวมๆ
“ไม่อะไรคะ” เธอเอ่ยถาม สุริยันต์ทำท่าคิดก่อนจะก้มมองคนในอ้อมแขน
“เขาไม่เหมือนญาติ” คนช่างสังเกตวิจารณ์
“ไม่เหมือนญาติยังไงคะ”
“บางครั้งคนเป็นญาติอาจจะไว้ใจไม่ได้เหมือนดอกเหมย” เขาพูดให้คิด
“เฮียหมายความว่า...”
“เขาเหมือนทาสผู้ซื่อสัตย์ ลูกน้องหรือคนรับใช้ของเธอมากกว่า” เขาใช้สรรพนามเรียกชื่อเล่นบ้าง เรียกเธอบ้างแล้วแต่อารมณ์ในขณะหรี่ตามองคนในอ้อมแขนนิ่งๆ ไอ้เรื่องสมองเสื่อมก็ส่วนหนึ่งแต่นิสัยหลายอย่างของสุริยันต์นั้นไม่ได้เสื่อมไปด้วย
“เวลาที่เขามองเธอมันเทิดทูนบูชาและซื่อสัตย์แบบที่หาได้ยากจากการที่แค่เป็นญาติกันเฉยๆ”
“ดอกเหมยเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้น่ะค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ เขาดูรักเธอมากจริงๆ นะ”
“นอนเถอะค่ะ”
“หรือไม่จริง” เขายังเอ่ยถาม
“เมื่อก่อนเฮียบ้าอำนาจมากเลยนะคะ” เธอเปลี่ยนเรื่อง มือบางลูบไล้ใบหน้าหล่อเหลาด้วยรอยยิ้ม
“จนขนาดนี้จะไปบ้าอำนาจกับใคร พวกบ้าอำนาจคือพวกรวยไม่ใช่เหรอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นถาม
“ถึงสมองเสื่อมแต่เฮียก็ยังฉลาดนะ” เธอพูดแล้วอมยิ้ม
“ฉันกับเธอเป็นผัวเมียกันได้ยังไง” คนตรงถามแบบโต่งๆ พิมพ์รดาช้อนสายตาขึ้นมอง
“เฮียบ้ากามปล้ำหยกตั้งแต่เด็ก” เขาทำหน้าเหลอหลา พิมพ์รดาหัวเราะร่วน ก่อนจะเริ่มเห็นใบหน้าบูดบึ้งของเขา
“พูดไร้สาระ”
“จริงๆ หยกเสร็จเฮียตอนอายุสิบแปด” เธอพูดไปขำไป
“หยกอ่อยเฮียหรือเปล่า ท่าทางจะสมยอม” เขาเอ่ยถามอย่างอารมณ์ดีขึ้น สรรพนามที่เรียกขานจึงเปลี่ยนไป เธอชอบเวลาเขาเรียกด้วยชื่อเล่นแบบนี้และแทนตัวเองว่าเฮีย
“หลงตัวเอง หยกน่าจะเจอผู้ชายที่ดีกว่าเฮีย”
“เฮียไม่ดียังไง”
“บ้าอำนาจ บ้ากาม ชอบควบคุม เผด็จการ” เธอว่าเขา
“แต่ก็ยังอยู่ด้วยกันได้นี่นา”
“ก็เพราะว่ารักไงคะ” เธอตอบเขาแล้วมองสบตา สุริยันต์รับรู้ว่าเธอพูดจริงเพราะสายตาสื่อความหมายมันเต็มไปด้วยความอ่อนหวานและความจริงใจ