เช้าที่สดใสสำหรับคุณนายบุษบา แต่ไม่ใช่สำหรับเก็ตถวา เพราะวันนี้เป็นวันนัดคุยเรื่องแต่งงานของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย เธอจะหนีไปไหนก็ไม่ได้ เพราะไม่มีที่ให้ไป จะหวังไปพึ่งพาเพื่อนสนิทมิตรสหาย มันก็ดูจะกระไรๆ หญิงสาวเลยต้องทำใจนั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋อให้สมพงษ์แทะโลมทางสายตาอยู่ข้างๆ กับบุษบาอย่างเช่นที่เป็นอยู่ตอนนี้
“ไหว้พี่เขาสิลูก”
น้ำเสียงหวานหยดย้อยที่บุษบาหันมาพูดกับเธอ ใครบ้างเล่าจะรู้ว่าสายตาของผู้เป็นแม่ไม่ได้หวานตามน้ำเสียงเลยสักนิด ตรงกันข้าม ดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังสั่งแกมบังคับเธอมากกว่า
เก็ตถวายกมือไหว้เสี่ยสมานและสมพงษ์ตามมารยาท ก่อนจะเบือนหน้าไปทางอื่น เพราะไม่อยากเห็นใบหน้าหื่นกามและแววตาที่กำลังโลมเลียเธอตลอดเวลาของนายปลากะพง
‘อี๋! ขยะแขยง’
อันที่จริง ที่หญิงสาวยอมให้บุษบาจับแต่งหน้าทำผม แล้วมานั่งปั้นหน้าอยู่ตรงนี้ ใช่ว่าเธอจะยอมให้แม่จับแต่งงานได้ง่ายๆ เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงตามน้ำไปก่อน
“น้องแก้มครับ กินนี่ดูสิครับ อร่อยมากเลย”
เก็ตถวามองขนมจีบกุ้งขนาดพอดีคำ ที่สมพงษ์ใช้ตะเกียบคีบมาวางบนจานของเธอ ก่อนจะเงยหน้ามองชายหนุ่มร่างอ้วนตัวขาวเหมือนซาลาเปาก้อนยักษ์ ซึ่งตอนนี้ดูจะเจริญอาหารเหลือเกิ๊น เพราะพ่อมหาจำเริญกินไม่หยุดไม่หย่อน กินชนิดที่ว่าถ้าพาเข้าร้านบุฟเฟ่ต์ร้านไหน ร้านนั้นมีอันต้องเจ๊ง เพราะสมพงษ์กินเรียบชนิดที่ว่าไม่เหลือไว้ให้คนอื่นเลย
“ขอบคุณค่ะ แต่แก้มอิ่มแล้ว”
“น้องแก้มนี่กินน้อยจังนะครับ มิน่า.. หุ่นดี๊ดี”
ตาตี่ๆ ของสมพงษ์ที่มองมายังเธอ แม้ตาจะเล็กเท่ามด แต่กระนั้น เก็ตถวาก็ยังแอบเห็นความหื่นที่มันถ่ายทอดออกมาทางดวงตาทั้งสองข้าง
‘ไอ้ซาลาเปาจอมหื่น ชาตินี้หรือชาติไหน ฉันก็ไม่มีวันเป็นเมียคนแบบแก! สิ่งศักดิ์สิทธิ์เจ้าขา หนูเกี่ยวก้อยจ๋า ช่วยแม่ด้วยลูก’
แม้จะไม่รู้ว่ามันช่วยอะไรได้มากแค่ไหน แต่เก็ตถวาก็คิดว่าการอธิษฐานเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำได้ตอนนี้
“แก้มไม่ได้กินน้อยหรอกค่ะ คุณพงษ์อาจจะกินเยอะเองมากกว่า”
ประโยคเดียวสั้นๆ แต่ทว่าสามารถหยุดคนได้ทั้งโต๊ะ เก็ตถวาไม่ได้เผลอพูด แต่เธอตั้งใจ เพราะอยากให้นายปลากะพงเกลียดจนล้มเลิกความคิดที่จะเอาเธอไปเป็นเมีย แต่มันก็เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เพราะ..
“น้องแก้มเป็นคนตลกดีจัง แบบนี้แหละพี่ชอบ”
หญิงสาวอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าผากของตัวเอง แล้วตะโกนดังๆ ว่า..
‘กูจะบ้าตาย!’
แต่มันก็ทำได้แค่คิด เธอทำได้เพียงแค่ส่งยิ้มแห้งๆ ให้สมพงษ์ ก่อนจะลงมือกินขนมจีบกุ้งตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะไม่อยากจะให้ปากว่างไว้เสวนากับใคร
ภารกิจพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ เอ๊ย! กินข้าวกับครอบครัวของสมพงษ์ได้จบลงแล้ว วันนี้หญิงสาวไม่ได้เปิดร้าน จึงมีเวลาว่างทั้งวัน เจ้าหล่อนตั้งใจว่าจะใช้เวลาอยู่กับหนูเกี่ยวก้อยให้เต็มที่ เจ้าตัวน้อยคนนี้เป็นเหมือนที่ชาร์จพลังชั้นดีให้กับแม่อย่างเธอ
“แม่จะทำยังไงดีนะเกี่ยวก้อย”
หญิงสาวถอนหายใจเพื่อระบายความกลัดกลุ้ม เธอไม่รู้จะทำเช่นไร จึงบ่นพึมพำกับลูกสาววัยกระเตาะที่อายุเพียงสองขวบ
เด็กหญิงกานต์พิชญาที่ไม่รู้ว่าแม่กำลังเป็นอะไร นั่งชี้นั่นชี้นี้และพูดไปเรื่อยตามประสาเด็ก
“แมะ”
รอยยิ้มของคนเป็นแม่ผุดขึ้นบนใบหน้า เมื่อได้ยินเด็กน้อยเรียกตัวเอง
“ยิ้มแฉ่งเชียวนะเรา ไปอารมณ์ดีจากไหนมา”
หนูน้อยหัวเราะคิกคัก เด็กหญิงกานต์พิชญาเป็นเด็กอารมณ์ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร หัวเราะง่าย ยิ้มเก่ง ไม่งอแง คนเป็นแม่ยิ่งมองยิ่งรู้สึกปลื้มปริ่ม สองปีกว่าที่เลี้ยงลูกคนเดียว เก็ตถวายอมรับว่ามีเหนื่อยมีแอบร้องไห้บ้าง แต่มันก็แค่เศษเสี้ยวของช่วงเวลา เพราะสองปีที่ผ่านมา หนูเกี่ยวก้อยเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธออยากจะลุกขึ้นมาสู้กับชีวิตต่อ เป็นเหมือนกำลังใจให้มีแรงพุ่งชนกับทุกปัญหาที่อยู่ตรงหน้า
“แมะจ๋า”
ตุ๊กตาลูกหมูตัวอ้วนที่อยู่ในมือของหนูเกี่ยวก้อยเหมือนกำลังชี้ทางสว่างให้กับเธอ แม้สภาพของมันจะเก่าตามกาลเวลาและการใช้งาน แต่เก็ตถวาจำได้ดีว่ามันเป็นตัวเดียวกันกับที่..
“หมอภีมเหรอ”
สามปีแล้วที่ลาจากคนรักเก่าแบบไม่คิดจะหวนคืน ด้วยเรื่องบางอย่างที่ทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของหญิงสาวเจ็บจนด้านชามาถึงทุกวันนี้ เธอคบหากับนายแพทย์หนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเจ้าชู้ตัวพ่อ โดยไม่ฟังคำเตือนของใคร สุดท้ายก็ได้มานั่งเลียแผลใจของตัวเอง หนำซ้ำยังต้องมาทนถูกตราหน้าว่าท้องไม่มีพ่อ ให้บุษบาอับอายขายขี้หน้าชาวบ้านชาวช่อง แม้ว่าตอนนั้นเธอจะ
ไม่ได้ไปเรียกร้องให้เขารับผิดชอบ แต่ตอนนี้ มีเพียงกวินทร์เท่านั้นที่เป็นทางออก
“เกี่ยวก้อย เราไปหาพ่อที่กรุงเทพฯ กันนะคะ”