“เหมียว”
มนสิชาที่กำลังล้างผักอยู่เงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียกของเจ้าด่าง แมวที่เธอไม่รู้ว่าเป็นของใครหรือมีเจ้าของหรือไม่ แต่มนสิชาก็ให้ข้าวให้น้ำมันกินทุกวัน พอกินอิ่มแล้วเจ้าแมวรูปร่างไม่อ้วนไม่ผอมก็หลบหายเข้ากลีบเมฆไป เธอจะได้เจอมันอีกครั้งก็ต่อเมื่อเจ้าแมวตัวนี้มันหิว “แป๊บนะไอ้ด่าง วันนี้มาปลาทู” มือเรียวเอื้อมไปปิดก๊อกน้ำก่อนจะไปเปิดตู้เย็นหาปลาทูที่จะนำมาใช้เป็นอาหารมื้อเช้าให้เจ้าด่าง
เมื่อจัดการของแมวเสร็จแล้วจึงหันมาทำของเธอและพ่อต่อ ชีวิตในระหว่างรอสอบเข้ามหา ‘ลัยของเธอคือตื่นมาทำอาหารเช้าให้พ่อ ซึ่งเป็นเช่นนี้ทุกวัน ด้วยว่าวิจิตรารีบออกไปวงไพ่ตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่
แม่ครัวประจำบ้านเมื่อทำอาหารมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย จึงจัดการเก็บข้าวของเครื่องใช้ให้เข้าที่ ก่อนจะตั้งโต๊ะให้พร้อมก่อนจะไปตามศรันย์มากินข้าว
“พ่อ!!” มนสิชารีบถลาเข้าไปหาศรันย์ ที่นอนเอามือกุมทองอยู่บนเตียง
“พ่อเป็นอะไร?”
“ปะ ปะ..ปวดท้อง” ศรันย์เอ่ยบอกลูกสาวด้วยเสียงที่เบาหวิวเพราะไม่มีแรงจะพูด
มนสิชารีบวิ่งออกไปหาโทรศัพท์แล้วโทรหาโรงพยาบาลทันที
มนสิชาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ในห้องรวมซึ่งเต็มด้วยตัวคนไข้เองและญาติที่มาทำหน้าที่เฝ้าคนป่วย คุณหมอและพยาบาลต่างก็กำลังทำหน้าที่กันอย่างเต็มที่ บางเตียงเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีสายระโยงรยางค์ห้อยอยู่ บางเตียงก็เหมือนคนป่วยใกล้หาย
“พ่อจ๋า..เป็นยังไงบ้าง” เมื่อเห็นว่าศรันย์เริ่มขยับตัว เธอจึงถามด้วยความเป็นห่วง หัวใจคนเป็นลูกร้าวไปทั้งดวง เมื่อผู้เป็นบิดาต้องมาล้มหมอนนอนเสื่อเช่นนี้
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเจ้าขา ได้โปรด.. ช่วยพ่อของลูกด้วย
“พ่อไม่เป็นอะไรแล้วลูก”
มนสิชามองหน้าผู้เป็นบิดา แล้วนึกถึงคำพูดของคุณหมอเมื่อชั่วโมงที่แล้ว..
“คุณพ่อของหนูเป็นอะไรคะหมอ”
“หมอยังไม่แน่ใจนะ แต่ดูจากอาการของคนไข้แล้ว หมอคิดว่าเป็นอาการของมะเร็งตับ ยังไงต้องส่งชิ้นเนื้อไปตรวจให้แน่ใจก่อน ระหว่างนี้ก็ให้คนไข้นอนดูอาการที่โรงพยาบาลก่อนนะครับ” มนสิชาเหมือนคนที่มืดแปดด้าน เธอไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ถ้าเกิดพ่อเป็นมะเร็งขึ้นมาจริงๆ ถ้าพ่อเธอเป็นอะไรขึ้นมา เธอคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตของเธอจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร แล้วค่าใช้จ่ายในการรักษาล่ะ จะกี่มากน้อยสักเท่าไหร่ เธอจะหาเงินจากไหนมารักษาพ่อ
หลังจากผู้เป็นบิดากินอาหารเที่ยงเรียบร้อยแล้ว มนสิชาจึงขอตัวกลับบ้านมาเก็บเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเพื่อมาเฝ้าพ่อที่โรงพยาบาล
มนสิชาเปิดประตูบ้านเข้ามา ก็นึกแปลกใจที่เห็นวิจิตรากลับบ้านแต่หัววันขนาดนี้ เธอเดินผ่านแม่เลี้ยงไปโดยไม่ได้เอ่ยคำใดๆ ออกจากปาก
“เดี๋ยวก่อน พ่อเธอไปไหนซะล่ะ วันนี้วันหยุดไม่ใช่เหรอ”
“พ่ออยู่โรงพยาบาล”
“ฮะ! ไปทำไม”
มนสิชาตัดสินใจเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับอาการป่วยของพ่อเธอให้แม่เลี้ยงฟัง ด้วยหวังว่านางอาจจะมีทางช่วยเหลือได้บ้าง
“มะเร็งเหรอ ... แล้วถ้าเกิดพ่อเธอเป็นขึ้นมาจริงๆ ฉันไม่มีเงินมารักษาหรอกนะ ลำพังตอนนี้ก็แทบจะกินแกลบกันอยู่แล้ว” แต่เหมือนนางจะนึกอะไรบางอย่างออก
“อ้อ! เธอจำเรื่องที่ฉันพูดกับเธอเมื่อคืนได้ไหม”
มนสิชานึกถึงเรื่องที่แม่เลี้ยงมาพูดกับเธอเมื่อคืน เธอถึงกับอารมณ์ขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่วิจิตราจะเอาเธอไปขายให้พวกเศรษฐี “นี่คุณ! หนูบอกแล้วไง หนูไม่ขายตัว”
“ใจเย็นๆ สิเธอ ถ้าเธอยอมไปอยู่กับเขา เขาจะยกหนี้ทั้งหมดที่เราไปยืมเขามาและให้เงินสดมาอีกตั้งห้าแสน ถ้าพ่อเธอป่วยขึ้นมาจริงๆ เงินก้อนนี้อาจจะจำเป็นมากๆ สำหรับพ่อเธอก็ได้นะ ฉันอยากให้เธอคิดดูดีๆ”
วิจิตราพูดจบก็เดินเข้าไปหลังบ้าน ทิ้งให้มนสิชานั่งคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ
สมุดบัญชีหลายเล่มที่อยู่ในมือของเธอตอนนี้ รวมยอดเงินแล้วมีไม่ถึงสามหมื่น ดวงตาคู่สวยที่เคยสดใส บัดนี้กลับหม่นหมองและเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “จะทำยังไงดี..” หญิงสาวได้แต่นั่งรำพึงกับตัวเอง
“คนไข้เป็นมะเร็งตับระยะที่สี่ แต่โชคดีที่ยังไม่ลุกลามไปยังจุดที่สำคัญ ถ้าได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง คนไข้อาจจะอยู่ได้อีกเป็นปี”
มนสิชาหลังจากได้รับรู้อาการป่วยของพ่อ ร่างกายของหญิงสาวเหมือนชาไปทั้งตัว ไม่มีแม้แต่แรงจะหายใจ เธอทั้งตกใจและเสียใจเมื่อรู้ว่าผู้เป็นบิดาจะอยู่กับเธอได้อีกแค่ปีเดียวหรืออาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ แถมยังเป็นกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลพ่ออีก เธอจะไปหาเงินมาจากไหน เมื่อคิดถึงตรงนี้คำพูดของวิจิตราที่พูดกับเธอเมื่อคืนก็ลอยมา
"ถ้าเธอยอมไปอยู่กับเขา เขาจะยกหนี้ทั้งหมดที่เราไปยืมเขามาและให้เงินสดมาอีกตั้งห้าแสน ถ้าพ่อเธอป่วยขึ้นมาจริงๆ เงินก้อนนี้อาจจะจำเป็นมากๆ สำหรับพ่อเธอก็ได้นะ ฉันอยากให้เธอคิดดูดีๆ "
เวลานี้ข้อเสนอนี้ถือว่าไม่เลวเลย เธอยอมทุกอย่าง แม้กระทั่งขายศักดิ์ศรีของตัวเอง ขอแค่มันสามารถต่อลมหายใจให้พ่อได้ก็พอ