ตัวซวย

1964 คำ
มารดาของเขาต้องการให้สังหารทารกน้อยทิ้งทันที แต่เขาไหนเลยจะทำได้ลงจึงได้แต่ต่อรองกับนางว่าตนจะไม่เข้าใกล้เด็กคนนี้ แม้ไม่อยากจะเชื่อถือวาจาของนักพรตผู้นั้นแต่ชื่อเสียงของอีกฝ่ายก็มิอาจดูเบาได้ หนำซ้ำท่านแม่ของเขาก็เชื่อเรื่องเหล่านี้มากเสียด้วย นางเชื่อเรื่องผีสางเทวดาเป็นอย่างมาก การสวดภาวนาขอพรแก่ทวยเทพเป็นสิ่งที่นางทำเป็นประจำ ตอนแรกนางจะสังหารทารกน้อยเสียให้ได้ทว่าเมื่อนักพรตทำพิธีแก้คำสาปปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายในตระกูลแล้ว ก็ขอให้มารดาเขาละเว้นชีวิตเด็กน้อยเพื่อเป็นการทำกุศลและหลีกเลี่ยงเรื่องอัปมงคล ซ้ำยังอ้างว่าไม่ต้องการให้สกุลหม่ามีกลิ่นคาวเลือด ทารกน้อยจึงรอดชีวิตมาได้ “ท่านพี่ อย่าทิ้งข้าไป” เสียงละเมอแผ่วเบาดังมาจากร่างอรชรบนเตียง หม่าจิ้งซิ่นคว้ามือบอบบางมากุมไว้ “เม่ยเอ๋อร์ พี่อยู่นี่” จางจิ่วเม่ยแสร้งละเมอเรียกหาเขาไม่หยุด นางจับมือหนาไว้แน่นราวกับกลัวว่าเขาจะทิ้งตนไว้แล้วกลับไปหาอนุคนใหม่ นางลงทุนยอมเจ็บตัวเพื่อให้เขามาหาอย่าหวังว่าคืนนี้นางจะปล่อยให้เซี่ยเจียเฟยได้เขาไปกกกอดเลย “ใต้เท้า ขอข้าน้อยตรวจอาการฮูหยินก่อนเถิดขอรับ” หมอชราเอ่ยอย่างนอบน้อม ลอบสบสายตากับสาวใช้คนสนิทของผู้เป็นเจ้าของเรือนแวบเดียว จับชีพจรของหญิงสาวอยู่ชั่วครู่ก็ฝังเข็มให้ จากนั้นก็เขียนเทียบยาแล้วยื่นไปให้ชายหนุ่ม “เนื่องจากหม่าฮูหยินคลอดบุตรก่อนกำหนด สุขภาพของนางจึงไม่ค่อยแข็งแรงดังเดิมช่วงนี้ยังต้องดูแลอย่างใกล้ชิด อีกทั้งนางมีเรื่องกลุ้มใจและเคร่งเครียดมากเกินไปจึงส่งผลให้ล้มป่วย ในระยะเวลาสามถึงสี่เดือนนี้ก็อย่าเพิ่งนำเรื่องเคร่งเครียดมาให้นางต้องเป็นกังวลใจนะขอรับ” เมื่อทำหน้าที่ของตนเสร็จหมอชราก็จากไป หม่าจิ้งซิ่นกลับมานั่งลงข้างเตียงด้วยสีหน้ายุ่งเหยิงพลางลูบผิวหน้าซีดเซียวของภรรยาเบาๆ พลันได้ยินเสียงทารกร้องดังขึ้นมาก็ชะงักมือเล็กน้อย คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ทางด้านเรือนหอหลังงาม เซี่ยเจียเฟยกระทืบเท้าเร่าๆ อยู่ในห้องด้วยความขัดใจที่ถูกเจ้าบ่าวทิ้งไปกลางดึกเช่นนี้ นางกับเขาเพิ่งจะร่วมรักกันไปได้รอบเดียวเอง นางอุตส่าห์วางยาปลุกกำหนัดที่ออกฤทธิ์อ่อนๆ ลงในสุรามงคลให้เขาดื่ม เพื่อที่คืนนี้เขาจะได้กอดนางไว้ในอ้อมแขนจนถึงเช้า นางแต่งเข้ามาในตำแหน่งอนุแล้วอย่างไร หากสามารถมีบุตรชายได้ก่อนจางจิ่วเม่ยละก็ทุกอย่างก็จะเป็นของนางและลูก ยิ่งได้ฮูหยินผู้เฒ่าหนุนหลังด้วยแล้วยังต้องมีสิ่งใดให้เกรงกลัวอีก สตรีผู้นั้นก็เป็นได้แค่ฮูหยินเอกที่แม่สามีไม่ชอบขี้หน้าเท่านั้นเอง ไม่คิดเลยว่าแผนการจะถูกขัดขวาง แต่ก็ไม่เป็นไรวันนี้ไม่สำเร็จวันหน้าก็ยังมีโอกาส นางหมดเงินไปตั้งมากมายสำหรับการจ้างวานให้นักต้มตุ๋นผู้นั้นปลอมตัวเป็นผู้ทรงศีล ให้เขาว่าร้ายจางจิ่วเม่ยและบุตรสาวแล้วหว่านล้อมญาติผู้พี่ให้รับตนเข้าจวนในฐานะภรรยา เป่าหูฮูหยินผู้เฒ่าให้ยอมรับบุตรของนางในอนาคตไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย นางแอบรู้มาว่าหลี่หลิงฟางไม่ต้องการหลานสาวเป็นอย่างมาก แต่ว่าเรื่องแบบนี้ใช่ว่าจะกำหนดกะเกณฑ์อันใดได้ หากภายภาคหน้านางมีบุตรสาวจะมิแย่เอาหรือ ดังนั้นก็ให้นักต้มตุ๋นผู้นั้นทำให้อีกฝ่ายล้มเลิกความคิดนี้ไปเสีย เดิมทีตำแหน่งฮูหยินเอกสกุลหม่าจะต้องเป็นของนาง ท่านป้ารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะมาสู่ขอนางให้แก่พี่ซิ่น นางเฝ้ารอจะได้นั่งเกี้ยวเจ้าสาวแปดคนหามแต่งเข้าตระกูลหม่าอย่างสมเกียรติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทว่าตำแหน่งนี้กลับถูกบุตรสาวของนายกองผู้หนึ่งตัดหน้าไปเสียก่อน นางผู้เป็นบุตรีที่เกิดจากฮูหยินเอกของตระกูลขุนนางขั้นสี่ให้เสียหน้าไม่น้อย “พรุ่งนี้ข้าจะทำให้พวกมันแม่ลูกไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกเลย” ประกายตาของเซี่ยเจียเฟยมีแววมาดร้ายฉายชัดออกมา ผินหน้าไปหาสาวใช้แล้วเอ่ยสั่งความ “เจ้าไปบอกให้เจ้านักต้มตุ๋นนั่นเขียนจดหมายพร้อมกับส่งเครื่องรางมาให้ฮูหยินผู้เฒ่า ให้เขียนว่า มิอาจให้ท่านพี่เข้าใกล้เรือนฉางชุนได้เพราะจะได้รับโชคร้ายมาด้วย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาววัยสิบเจ็ดปีรับคำอย่างนอบน้อม เซี่ยเจียเฟยแค่นเสียงฮึในลำคอแล้วจึงกลับขึ้นเตียงไป พยายามคิดหาวิธีกำจัดจางจิ่วเม่ยให้กระเด็นออกจากตำแหน่งฮูหยินน้อยของจวน นางหลงรักญาติผู้พี่มาตั้งแต่เด็ก เฝ้าฝันว่าจะได้เคียงคู่กับเขาไปจนแก่เฒ่า นางต้องแย่งชิงสิ่งที่เป็นของตนกลับมา อย่างไรเสียตั้งแต่แรกแล้วหม่าจิ้งซิ่นก็เป็นของนาง นางรู้จักเขามาก่อน รักเขามาก่อนหญิงแซ่จางผู้นั้น ท่านป้าเองก็รับปากว่าจะมอบตำแหน่งฮูหยินน้อยให้แก่นาง หากจะใช้เล่ห์กลเล็กๆ น้อยๆ เพื่อนำของของตัวเองกลับคืนมาก็คงไม่เป็นไรกระมัง ช่วงบ่ายของวันถัดมาฮูหยินผู้เฒ่าได้รับจดหมายและเครื่องรางจากนักพรต นางเรียกบุตรชายเข้ามากำชับให้เขารับปากว่าจะไม่ไปเหยียบเรือนของจางจิ่วเม่ยอีก ต้องรอให้เซี่ยอี๋เหนียงตั้งครรภ์และคลอดบุตรออกมาเสียก่อน ความโชคร้ายของตระกูลหม่าจึงจะหมดไป หม่าจิ้งซิ่นนิ่งเงียบไม่ตอบรับหรือปฏิเสธคำขอของมารดา เขาคิดเพียงว่าต้นเหตุน่าจะเป็นที่ทารกน้อย หากแยกนางออกไปจากเรือนฉางชุนเขาก็สามารถไปเยี่ยมเยียนภรรยาเอกได้ คิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยต่อรองกับมารดา “ท่านแม่ ข้าว่าปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เรือนฉางชุนหรอกขอรับ หากข้าให้เด็กนั่นย้ายไปอยู่เรือนเล็กท้ายจวนก็น่าจะไม่มีอะไรแล้ว” หลี่หลิงฟางใคร่ครวญตามวาจาของบุตรชาย เห็นจะจริงดังที่อีกฝ่ายกล่าวมา ตัวต้นเหตุของเรื่องร้ายๆ ที่เกิดกับตระกูลหม่าช่วงนี้คือทารกนั่น ในเมื่อมิอาจสังหารทิ้งได้ก็มีแต่ให้หลบไปอยู่ให้พ้นหูพ้นตาเสีย ไม่แน่ว่าเรื่องที่สะใภ้เอกของนางล้มป่วยก็อาจจะเป็นเพราะมีเด็กนั่นอยู่ร่วมชายคาเรือนเดียวกัน “เอาตามที่เจ้าเห็นสมควรละกัน แต่อย่าลืมว่าเจ้ามีภรรยาอีกคนให้ต้องใส่ใจ เมื่อคืนก็หนีออกจากเรือนหอกลางคัน เรื่องนี้สร้างความอับอายให้แก่เฟยเอ๋อร์ไม่น้อย ช่วงนี้เจ้าก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเพื่อปลอบใจนางสักหน่อยก็แล้วกัน ส่วนเม่ยเอ๋อร์นั้นแม่จะดูแลให้เอง” หลี่หลิงฟางกล่าวอย่างปรานีราวกับมิได้ขุ่นเคืองในตัวจางจิ่งเม่ย นี่เป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่นางแสร้งแสดงความเมตตาให้บุตรชายเห็น เพื่อที่เขาจะได้ยอมร่วมห้องกับเซี่ยเจียเฟยอย่างไม่มีข้ออ้างอีก “ขอรับ” หม่าจิ้งซิ่นจำต้องตกปากรับคำปกปิดอาการลำบากใจไว้ภายใต้ท่าทางสุขุม กับญาติผู้น้องนั้นเขาไม่เคยคิดเกินเลยต่อนาง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อคืนถึงได้เผลอร่วมรักกับนางไป เขาไม่อาจหักห้ามความต้องการของตัวเองได้ เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน เลือดลมในกายมันพลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็น นับว่าแปลกยิ่งนัก เมื่อกลับมาจากเรือนของมารดาก็เรียกหาพ่อบ้านให้ส่งคนไปทำความสะอาดเรือนเล็กท้ายจวน เพื่อให้ทารกน้อยย้ายไปอยู่เรือนหลังนั้นพร้อมกับจัดเตรียมข้าวของที่จำเป็น สั่งความเสร็จก็เตรียมจะไล่คนออกไป แต่พ่อบ้านวัยกลางคนกลับมองเขาอย่างระมัดระวังราวกับมีสิ่งใดจะกล่าว “มีอะไรก็พูดมา อย่ามาทำท่าอมพะนำเช่นนั้น” พ่อบ้านหลิวยิ้มแหยเมื่อถูกจับได้ “เอ่อคือ... เรื่องคุณหนูน้อยขอรับ คือว่า... คุณหนูยังไม่มีชื่อ ข้าน้อยเลยไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับบัญชีทำเนียบตระกูลขอรับ” เหมือนจะถูกวาจาของพ่อบ้านกระตุ้นความจำ เขาลืมไปเลยว่าสั่งให้พ่อบ้านไปจัดการแจ้งแก่ทางการเรื่องการเพิ่มชื่อคนตายลงไปในทำเนียบตระกูล แต่ก็มิได้มีแต่คนตาย คนเพิ่งเกิดก็มี หากไปหลิวฮ่าวคงแจ้งทีเดียวพร้อมกันทั้งคนเป็นและคนตาย เขามิอาจเข้าไปโอบอุ้มทารกน้อยมิได้ถ้าเช่นนั้นคงทำได้เพียงมอบชื่อให้แก่นางเพื่อเป็นการชดเชย “อวิ๋นเซียง ให้นางชื่อว่า ‘หม่าอวิ๋นเซียง’ ก็แล้วกัน” เขาเอ่ยแผ่วเบา เหม่อมองต้นอวิ๋นเซียงในสวนข้างเรือน “ขอรับ” พ่อบ้านรับคำแล้วล่าถอยออกไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ถางรั่วเหวยเมื่อได้ฟังความจากพ่อบ้านก็เก็บของพาคุณหนูย้ายไปยังเรือนจื่อเถิงทันที เรือนหลังนี้เดิมทีเป็นเรือนของอี๋เหนียงสี่ในนายท่านผู้เฒ่า นางผู้นั้นเป็นนางรำที่ขุนนางผู้หนึ่งส่งมาให้นายท่านผู้เฒ่า นางเป็นคนรักสงบและสมถะจึงขอเรือนหลังเล็กๆ เงียบสงบสักหลังอยู่อย่างสันโดษ ไม่เข้าไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับบรรดาอนุคนอื่นๆ ได้ข่าวมาว่านายท่านผู้เฒ่าโปรดปรานนางรำผู้นี้มาก แต่นางช่างอายุสั้นยิ่งนักเข้ามาอยู่ในจวนได้ไม่ถึงปีก็ป่วยตาย เรือนหลังนี้จึงถูกทิ้งร้างเรื่อยมา เพราะตั้งอยู่ไกลถึงท้ายจวนจึงไม่ค่อยมีผู้ใดอยากจะเหยียบย่างมาในสถานที่แห่งนี้สักเท่าใดนัก แอ้! แอ้! ทารกน้อยส่งเสียงอ้อแอ้เบาๆ ยามรับรู้ได้ถึงความเงียบสงบ ไม่มีความวุ่นวายเหมือนดั่งเรือนพักของมารดา นางยังคงหลับตาพริ้ม กินแล้วก็นอนตามประสาเด็ก ถางรั่วเหวยมองบรรยากาศโดยรอบเรือนอีกครั้ง อย่างน้อยเรือนหลังนี้ก็ไม่ได้ทรุดโทรมจนเกินไป แลดูจะดีกว่าเรือนพักบ่าวไพร่เล็กน้อย นอกจากนางแล้วก็ไม่มีบ่าวรับใช้คนใดยอมมาอยู่ที่เรือนหลังนี้เลย นางได้รับหน้าที่เป็นแม่นมของคุณหนู และอีกคำสั่งหนึ่งจากฮูหยินผู้เฒ่าคือ ห้ามพาคุณหนูออกจากบริเวณเรือนจื่อเถิงเด็ดขาด อย่านำเด็กน้อยไปใกล้ผู้ใดก็แล้วแต่ในจวนโดยเฉพาะนายท่านและเซี่ยอี๋เหนียง “ไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ บ่าวจะดูแลคุณหนูเอง จะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกคุณหนูเป็นอันขาด” ถางรั่วเหวยก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยประกายตาอ่อนโยน ในเมื่อไม่มีใครต้องการเด็กคนนี้เช่นนั้นนางจะเป็นแม่ให้เด็กน้อยผู้น่าสงสารนี่เอง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม