หม่าอวิ๋นเซียงลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะต้องผงะถอยหลังไปสามก้าวยามเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มอยู่ไม่ไกลจากดวงหน้านาง เขาอุ้มเสี่ยวเมาไว้ด้วยมือซ้าย ส่วนมืออีกข้างก็ลูบหัวมันเบาๆ เสี่ยวเมาหลับตาพริ้มครางแผ่วเบา ทั้งสองจดๆ จ้องๆ กันอยู่หลายอึดใจจนเป็นเด็กหญิงเองที่ทนไม่ไหวจึงเอ่ยคำออกไป
“ขอเสี่ยวเมาของข้าคืนด้วยเจ้าค่ะ” นางมองบุรุษเบื้องหน้าอย่างพิจารณา เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราดูมีราคาไม่น้อย คงเป็นคุณชายจากตระกูลร่ำรวยตระกูลหนึ่งในเมืองหลวงเป็นแน่
จ้าวจื่อเทียนยังนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำซ้ำยังไม่ขยับตัว มีเพียงนัยน์ตาดอกท้อสีนิลที่มองคนตรงหน้าอย่างพินิจ เด็กน้อยผู้นี้อายุคงไม่เกินเจ็ดขวบ แม้หน้าตามอมแมมไปบ้างแต่ดวงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักของนางนั้นชวนให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความเอ็นดูได้อย่างง่ายดาย เรือนผมสีน้ำหมึกถูกมวยขึ้นเป็นก้อนกลมๆ กลางศีรษะ ผูกด้วยผ้าผูกผมสีเดียวกันกับชุด นางสวมอาภรณ์สีใบไม้ เนื้อผ้าไม่ได้มีราคาแต่ก็ไม่หยาบจนเกินไป นางคงเป็นลูกสาวของชาวบ้านแถวนี้กระมัง
หม่าอวิ๋นเซียงชักสีหน้าไม่พอใจเมื่อคนผู้นี้ยังคงนิ่งเฉยไม่ยอมมอบเสี่ยวเมาคืนให้นาง มือเล็กยื่นออกไปแล้วเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “พี่ชายท่านนี้ ที่ท่านกำลังอุ้มอยู่นั่นเป็นแมวของข้า ได้โปรดคืนมันมาให้ข้าด้วย”
เด็กหนุ่มย่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยพลางมองสัตว์หน้าขนในมือของตน แมวสีขาวตัวนี้เป็นของเขา เมื่อหลายเดือนก่อนมันหายไปในขณะที่กำลังเดินทางออกจากเมือง กว่าจะรู้ตัวว่าสัตว์เลี้ยงที่คนผู้นั้นมอบให้หายไปเขาก็ออกจากเมืองไปไกลโขแล้ว เมื่อกลับมายังเมืองหลวงอีกครั้งจึงมาเยี่ยมเยียนสหายที่ไม่ได้พบกันนาน ในระหว่างที่กำลังจะจากไปนั้นเองสัตว์เลี้ยงที่หายไปกลับปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเสียอย่างนั้น
“พี่ชาย ท่านจะขโมยแมวของข้ารึ” หม่าอวิ๋นเซียงจ้องเขม็งอย่างเอาเรื่อง ตอนนี้นางห่วงเสี่ยวเมามากกว่าเกรงกลัวคนตรงหน้าเสียอีก “ท่านรีบปล่อยเสี่ยวเมาเดี๋ยวนี้นะ เห็นหรือไม่ว่ามันดิ้นใหญ่แล้ว”
“เสี่ยวเมา? ชื่อของเจ้านี่เช่นนั้นรึ” จ้าวจื่อเทียนถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ นางตั้งชื่อแมวตัวนี้ว่าเสี่ยวเมา(ลูกแมว)อย่างนั้นหรือ ช่างมีอารมณ์ขันยิ่งนัก
เขากระแอมเบาๆ ปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉยดังเดิม ก่อนจะตอบคำถามยามเห็นนางถลึงตามอง “ไยต้องขโมยด้วย นี่เป็นแมวของข้า”
หม่าอวิ๋นเซียงตาโตทันทีที่ได้ฟังคำตอบ นางผวาเข้าไปหาเขาหมายจะแย่งเสี่ยวเมากลับคืนมา ทว่าเขาก้าวเพียงก้าวเดียวก็หลบพ้นเสียแล้ว “นั่นของข้านะ ข้าเลี้ยงเสี่ยวเมามาตั้งหลายเดือนมันจะเป็นของท่านไปได้อย่างไร”
เด็กหนุ่มทอดถอนใจแผ่วเบาเมื่อร่างเล็กตรงหน้าเริ่มน้ำตาคลอหน่วย กระนั้นนางก็ไม่ยอมปล่อยให้หยดน้ำสีใสนั้นไหลออกมา นางเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น กำมือเข้ากับกระโปรงพร้อมกับจ้องมองเขาตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัว “นี่เด็กน้อย เจ้าฟังข้าให้ดีนะ แมวตัวนี้เป็นของข้ามาก่อนที่เจ้าจะนำมันไปเลี้ยง มันหายไปตอนที่ข้ากำลังย้ายบ้าน ข้าให้คนกลับมาหามันแล้วแต่ก็ไม่เจอ คิดว่าที่หาไม่พบเพราะเจ้าเก็บมันไปเลี้ยงแล้วนั่นเอง”
ประกายตาของหม่าอวิ๋นเซียงวูบไหวยามได้ฟังคำพูดของเขา แม่นมถางบอกว่าเก็บลูกแมวได้แถวๆ โรงซักล้างจึงนำมาให้นางเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคลายเหงา นางนึกว่าเสี่ยวเมาเป็นแมวที่ถูกเจ้าของทิ้งเสียอีก ที่แท้เจ้าของก็ยังตามหามันอยู่หรือนี่ ครั้งแรกที่เห็นกระพรวนซึ่งติดมากับคอของเสี่ยวเมาก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าแมวตัวนี้ต้องเคยเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้อื่นมาก่อน
“ท่านเป็นเจ้าของเสี่ยวเมาจริงรึ มีสิ่งใดยืนยันหรือไม่” ก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าเขาเป็นเจ้าของแมวตัวจริง
“กระพรวนเงินที่สลักคำว่า ‘จิน’ หากให้ข้าทายตอนที่เจ้าเจอเสี่ยวจิน ที่คอของมันมีกระพรวนเงินแขวนอยู่ใช่หรือไม่”
“กระพรวนเงินน่ะใช่ แต่ไม่มีคำว่าจินเสียหน่อย” นางเถียงกลับไปทันควัน หากบนลูกกระพรวนมีตัวอักษรสลักอยู่มีหรือที่ตนจะมองไม่เห็น นางสำรวจกระพรวนนั่นตั้งหลายครั้ง นอกจากลวดลายเล็กๆ ที่สลักอยู่บนนั้นแล้วก็ไม่เห็นมีสิ่งใดอีก
จ้าวจื่อเทียนถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เป็นครั้งแรกเลยที่เขาต้องใช้ความอดทนในการสนทนากับผู้อื่นแบบนี้ เดิมทีเขาก็ไม่ใคร่จะพูดคุยกับคนแปลกหน้าอยู่แล้ว ทว่าเด็กน้อยนี่ทำให้เขาต้องข่มอารมณ์ไว้แล้วพยายามอธิบายให้นางฟังอย่างช้าๆ เช่นนี้ได้นับว่ามีความสามารถนัก ความจริงแล้วเขาสามารถเดินหนีไปเลยก็ได้ แต่ท่าทางสั่นสู้ของนางนั้นน่าสนใจไม่น้อย แม้จะมีท่าทีตื่นกลัวกระนั้นแววตากลับเด็ดเดี่ยวได้อย่างน่าประหลาดใจ ดูท่านางคงจะผูกพันกับแมวตัวนี้มาก เอาเถิด อย่างไรเสียเขาก็ไม่ได้ต้องการเลี้ยงแมวตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“กระพรวนยังอยู่กับเจ้าหรือไม่” เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้า มือหนาก็แบไปตรงหน้า “เอามาให้ข้า แล้วข้าจะบอกว่ามีคำว่าจินอยู่ส่วนใดของลูกกระพรวน”
หม่าอวิ๋นเซียงลังเลเล็กน้อยด้วยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หากนางมอบลูกกระพรวนให้แล้วพิสูจน์ว่าเขาเป็นเจ้าของแมวจริงๆ เช่นนั้นเขาต้องพรากเสี่ยวเมาไปจากนางเป็นแน่ คิดได้ดังนั้นเท้าเล็กก็ก้าวถอยหลังไปห้าก้าวทันที มือขวากำข้อมือซ้ายไว้แน่น ส่ายศีรษะเบาๆ เป็นเชิงปฏิเสธ
จ้าวจื่อเทียนมองแววตาดื้อรั้นของคนตัวเล็กอย่างอ่อนใจ “ข้าไม่เอาเสี่ยวเมาของเจ้าไปหรอกน่า ข้าเพียงแค่จะยืนยันกับเจ้าว่านี่เป็นแมวของข้าจริงๆ ”
“ท่านจะไม่พรากเสี่ยวเมาไปจากข้าจริงรึ”
“จริง” เขาตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจัง
นางมองอย่างไม่เชื่อ คนผู้นี้จะยอมยกลูกแมวให้ตนจริงหรือ? “หากข้าให้กระพรวนไปแล้ว ท่านห้ามพาเสี่ยวเมาหนีนะ”
เด็กหนุ่มหลุดขำ นางจ้องเขาตาไม่กะพริบราวกับกลัวว่าจะถูกหลอก “เด็กน้อย เจ้าไม่เชื่อข้าเช่นนั้นรึ” สิ้นคำของเขานางก็พยักหน้ารับทันที “นี่เจ้าถูกหลอกมาตลอดหรืออย่างไร ไยจึงได้เป็นคนขี้ระแวงแบบนี้”
หม่าอวิ๋นเซียงเม้มปากเข้าหากันแน่นกว่าเดิม ประกายตาสั่นไหวยามได้ยินคำถามนั้น จะว่านางถูกหลอกก็คงใช่ ทุกคนในจวนต่างเป็นคนหลอกลวงทั้งนั้น พวกเขาชอบพูดปดหาว่านางทำให้ท่านปู่และท่านอาต้องตาย แต่แม่นมถางบอกว่านางเป็นเพียงทารกน้อยไม่สามารถทำให้ใครตายได้ ดังนั้นทุกคนล้วนเป็นคนขี้โกหกรวมทั้งท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ด้วย
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกันข้าจะให้เจ้าอุ้มแมวไว้ก่อน จากนั้นเจ้าค่อยนำกระพรวนมาให้ข้า” จ้าวจื่อเทียนพยายามเอ่ยอย่างใจเย็น สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แมวตัวนี้ แต่เป็นของที่ซ่อนอยู่ในลูกกระพรวนต่างหาก
หม่าอวิ๋นเซียงยื่นมือออกไปอย่างลังเล สายตาจ้องคนตรงหน้าเขม็ง เมื่อเห็นเขาส่งเสี่ยวเมามาให้นางก็รีบคว้าเอาเจ้าตัวยุ่งมาไว้ในอ้อมกอดก่อนจะถอยไปยืนห่างจากเขาห้าก้าวเหมือนเดิม
“ทีนี้ก็เอาลูกกระพรวนมาให้ข้าได้แล้ว” มือหนาแบออกไปตรงหน้ารอให้เด็กหญิงส่งของที่ต้องการมาให้
นางยื่นแขนซ้ายออกไปตรงหน้าเขาจากนั้นก็สั่นข้อมือเบาๆ สามที “มืออีกข้างของข้าไม่ว่างอุ้มเสี่ยวเมาอยู่ ท่านถอดเองก็แล้วกัน แต่ว่าลูกกระพรวนนี่ใช่ใช้งานมิได้แล้วหรือไม่ เหตุใดจึงไม่มีเสียงเลยสักนิด”
นิ้วเรียวบรรจงแกะเชือกถักที่รอยลูกกระพรวนไว้ออกจากข้อมือเล็ก มุมปากกระตุกยิ้มยามได้ยินคำถามของนาง เมื่อของมาอยู่ในมือก็ชี้ให้ดูคำว่าจินที่อยู่บนลูกกระพรวน “เชื่อหรือยังว่าแมวตัวนี้เป็นของข้า”
หม่าอวิ๋นเซียงมองไปยังจุดที่เขาชี้ให้ดู มีตัวอักษรเล็กๆ ที่หากไม่เพ่งมองก็จะไม่เห็นซ่อนอยู่ตรงห่วงที่ใช้ร้อยลูกกระพรวนเข้ากับเชือก “ถึงจะมีอักษรอยู่ แต่ใช่ว่าท่านจะเป็นเจ้าของเสี่ยวเมาจริงๆ นี่นา”
“เจ้าไม่เห็นคำว่าจินรึ ข้าก็บอกไปแล้วว่ามีชื่อของเสี่ยวจินสลักไว้”
“ข้าอ่านหนังสือไม่ออก” นางก้มหน้างุดตอบเสียงอ้อมแอ้ม คว้าเอาลูกกระพรวนมาจากมือเขาอย่างรวดเร็ว
“อ้อ... ” เขาครางรับเสียงแผ่ว มองเด็กน้อยอย่างครุ่นคิด “เจ้าอยากอ่านเขียนออกหรือไม่” ครั้นเห็นนัยน์ตาหงส์เป็นประกายก็หลอกล่อนางทันที “เช่นนั้นข้าจะสอนหนังสือให้เจ้าดีหรือไม่ แต่ว่าเจ้าต้องให้ลูกกระพรวนเงินนี่เป็นค่าสอนแก่ข้า”
“ท่านจะสอนข้าโดยแลกเปลี่ยนกับสิ่งนี้น่ะหรือ ทำไม? ท่านต้องการแค่กระพรวนแต่มิได้ต้องการแมวคืนอย่างนั้นรึ” แม้จะดีใจที่เขาอาสาสอนหนังสือให้ แต่นางก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี
“แน่นอนว่าข้าต้องการทั้งแมวและลูกกระพรวน แต่เจ้าดูจะผูกพันกับมันไม่น้อยข้าจึงอยากฝากมันไว้กับเจ้าก่อน อีกไม่ช้าข้าต้องกลับไปยังต่างเมืองแล้วเกรงว่ากลับไปครั้งนี้คงไม่มีเวลาได้ดูแลมัน ทว่ากระพรวนอันนั้นเป็นของที่ท่านแม่มอบให้ ข้าจึงอยากเก็บติดตัวไว้เพื่อเป็นของดูต่างหน้ามารดา” จ้าวจื่อเทียนโกหกคำโตออกไป แมวตัวนี้เป็นเพียงข้ออ้างที่คนผู้นั้นใช้ในการส่งข้อมูลบางอย่างให้แก่เขาเท่านั้น สิ่งของสำคัญอยู่ในลูกกระพรวนต่างหาก แต่จะให้เขาทำร้ายเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ แล้วแย่งชิงมันมาก็มิใช่วิสัยที่บุรุษอกสามศอกพึงกระทำ
หม่าอวิ๋นเซียงคิดใคร่ครวญตามวาจานั้น เมื่อเห็นว่าตนไม่ได้เสียเสี่ยวเมาไปซ้ำยังได้เรียนหนังสืออีกจึงตอบรับ “ข้าตกลงรับข้อเสนอของท่าน แต่ว่าท่านต้องสอนข้าให้อ่านออกเขียนได้เสียก่อน ข้าจึงจะมอบกระพรวนให้แก่ท่าน”
จ้าวจื่อเทียนคลี่ยิ้มพอใจ เด็กน้อยผู้นี้ฉลาดไม่เบารู้จักต่อรองรักษาผลประโยชน์ของตัวเองเสียด้วย หากได้รับการศึกษาที่เหมาะสมและมีคนคอยชี้แนะละก็ ต่อไปในภายหน้านางต้องเป็นสตรีที่งดงามปราดเปรื่องผู้หนึ่งเป็นแน่
‘เอาเถิด อย่างไรเสียข้าก็ต้องอยู่ที่นี่อีกสักพัก ในช่วงนี้ก็หาอะไรทำแก้เบื่อไปพลางๆ ก่อนแล้วกัน นางคงไม่ใช่คนเอาแต่ใจที่เอะอะก็ร้องไห้จนน่ารำคาญเหมือนคุณหนูตระกูลใหญ่เหล่านั้นกระมัง’