บทที่5. ชะงัก

1459 คำ
“เรียนจ้าวฮูหยิน ข้าน้อยขอบังอาจจับชีพจรของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” “เอ๋? ข้าป่วยรึ” “สีหน้าท่านอ่อนเพลียมากเจ้าค่ะ” “จริงด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินเอาแต่เป็นห่วงคุณหนู ข้าวปลาอาหาร ท่านก็กินได้นิดเดียวเองนะเจ้าคะ อย่างไรให้แม่นางมู่ตรวจดูสักเถิดเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์พูดด้วยความเป็นห่วง “ข้าว่าข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าทำให้พวกเจ้าสบายใจก็ตรวจดูสักนิดก็ได้” “เจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงจับชีพจรของจ้าวฮูหยิน แล้วขอให้นางอ้าปากกว้างๆ เพื่อดูลิ้น ลิ้นเป็นฝ้าขาว “ช่วงนี้จ้าวฮูหยินเดินทางตากแดดบ่อยหรือไม่เจ้าคะ” “อืม ระยะนี้ไปวัดวาอารามรวมทั้งศาลเจ้า บนบานให้หลิ่งหลินตื่นฟื้นเป็นปกติแทบทุกวัน” ฮูหยินอี้ซิ่วตอบ “ระยะนี้อากาศร้อน จ้าวฮูหยินควรดื่มน้ำให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าได้กังวลเรื่องอื่นไป และใช้น้ำเกลือผสมน้ำอุ่นเล็กน้อยคนให้ละลายแล้วนำมากลั้วคอบ้วนปาก จะช่วยลดอาการฝ้าขาวที่ลิ้นและเจ็บคอได้เจ้าค่ะ” “จริงด้วย ช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ ซ้ำยังเจ็บคออีกด้วย” “ข้าน้อยจะเขียนเทียบยาให้ เป็นยาบำรุงสุขภาพเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยอย่างสงบ ชวนให้คนฟังสบายใจ “ส่วนท่านหญิง ข้าน้อยจะปรับยาบำรุงให้” “เสียงของเจ้านี่ทำให้คนฟังสงบใจลงได้มาก เอาละ...ข้าเห็นเจ้าอยู่ก็สบายใจ ใจจริงอยากเชิญเจ้ากับพ่อของเจ้ามาอยู่เสียด้วยกันจนกว่าหลิ่งหลินจะฟื้น แต่สามีข้าก็เตือนสติว่าพวกเจ้าเป็นหมอ ชาวบ้านเดือดร้อนเจ็บป่วยจะไปหาใคร หากท่านหมอมู่ว่าไม่เป็นอะไร ข้าก็ย่อมต้องเชื่อใจผู้เป็นหมอ” “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” “เอาละ ข้าจะไปพักผ่อนเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเจ้าก็บอกชุนเอ๋อร์หรือพ่อบ้านได้” “ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ” จ้าวฮูหยินตบหลังมือของมู่ฟางเหนียงเบาๆ และมองใบหน้าอ่อนหวานอย่างเอ็นดู แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสีซีดจางจากการซักหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงตาที่เป็นประกายและกิริยาอ่อนหวานนี้เป็นที่น่าประทับใจเสียจริง “อ่อ! ได้ยินว่าเจ้าชอบอ่านหนังสือ ในห้องตำรามีหนังสือมากมายนัก เจ้าจะหยิบยืมไปอ่านที่บ้านก็ได้ แต่ต้องเอากลับมาคืนนะ” “จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างดีใจ แล้วก็นึกว่าได้ว่าแสดงอาการดีใจเกินไป นางก็หลุบตาลง แต่เรียกเสียงหัวเราะจากจ้าวฮูหยินได้ “เอาสิ ไปเลือกไปหยิบเอาได้ จะอ่านนานแค่ไหนก็ได้ แต่เอามาคืนก็พอ” “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะดูแลอย่างดีที่สุด” มู่ฟางเหนียงดีใจเป็นที่สุด นางชอบอ่านหนังสือหรือตำราต่างๆ แต่เพราะฐานะของนางและพ่อ นางจะซื้อของใช้แต่ละอย่างต้องคิดแล้วคิดอีก พอได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางก็พองโตด้วยความดีใจและซาบซึ้งใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วเมตตา นางรอส่งฮูหยินอี้ซิ่วออกจากห้องไปแล้ว ก็หันไปดูเคอหลิ่งหลินที่หลับอยู่บนเตียง  “พี่สาว” นางเรียกด้วยรอยยิ้ม เดินไปหยิบขนมจินเดออกมา  “ท่านชอบขนมของหวานนัก วันนี้ข้าทำขนมงาหรือจินเดมาด้วย ท่านพ่อไม่ชอบของหวาน ท่านรีบตื่นมากินขนมฝีมือข้าเสียทีสิ ท่านรีบตื่นเถอะนะรอบกายท่านมีแต่คนรักและเป็นห่วงท่าน ท่านควรรีบตื่นให้พวกเขาดีใจได้แล้วนะ”.  ...........................  . “ย้ากกกส์”  “โอ๊ยยยยย”  เหล่าทหารหลายนายกระเด็นกระดอนออกมาด้วยสภาพบอบช้ำและแพ้พ่ายอย่างหมดท่า แต่ละนายถูกบุรุษผู้นั้นใช้เพลงหมัดมวยจัดการจนสิ้นสภาพไม่อาจลุกขึ้นมาต่อกรได้ แม้เหงื่อจะโทรมกายแต่ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงที่ยืนกอดอกดูการซ้อมหมัดมวยของรองแม่ทัพกับบรรดานายทหารอยู่นั้น ได้แต่สูดลมหายใจลึกด้วยความไม่พอใจ   “จิ่นสือ”   บุรุษหนุ่มมิได้เอ่ยตอบ เพียงแค่ตวัดสายตามองทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นบิดาของตนจึงสงบอารมณ์ลงแล้วยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก    “ทุกคนพักได้”   “ขอรับท่านแม่ทัพ”   นายทหารคนอื่นๆ ช่วยกันพยุงร่างบอบช้ำออกจากสนามซ้อม เมื่อเหลือเพียงสองบุรุษสายเลือดเดียวกันแล้ว แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงก็เดินเข้าไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง เพียงพริบตาชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหว เขายกท่อนแขนขึ้นป้องกันหมัดที่พุ่งเข้ามา แม้หมัดนั้นจะชะงักก่อนถูกตัว แต่ก็ส่งพลังปะทะรุนแรงจนต้องถอยหลังไปครึ่งก้าว ชายต่างวัยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ หมัดที่สองตามไปทันที จ้าวจิ่นสือจับจังหวะได้ก็หลบหลีกและเป็นฝ่ายรุกกลับบ้าง แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าบิดาที่ซัดหมัดเข้าไปที่ท้อง ทำให้บุตรชายถึงกับสำลักความเจ็บปวด   “จิ่นสือ” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงส่ายหน้าไปมา “เจ้าไร้สมาธิเช่นนี้ หากมีศัตรูอยู่เบื้องหน้าก็เอาชีวิตเจ้าโดยง่าย”    “ขออภัยท่านพ่อ”      “พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นกังวลเรื่องหลิ่งหลิน แต่ก็ไม่ควรไประบายอารมณ์ใส่ทหารชั้นผู้น้อยแบบนั้น”      “ข้า...” ยังไม่ทันพูดอะไร บิดาก็ยกมือห้ามไว้ก่อน    “ยิ่งพูด คำพูดของเจ้าจะยิ่งมัดตัวเอง เจ้ามองหลิ่งหลินเช่นไร อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้” “ท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสืออึกอักจำนนต่อสิ่งที่บิดาเอ่ยออกมา   “ฐานะหรือชาติกำเนิดมิใช่ปัญหา แต่พ่อรู้ว่าหลิ่งหลินไม่ได้คิดกับเจ้าเช่นที่เจ้ารู้สึกอยู่ในขณะนี้ และหากเจ้าไม่ระงับใจตนเอง ก็รังแต่จะทำให้ตนต้องเจ็บปวด ซ้ำเจ้ายังไม่สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวหรือหน้าที่ได้ มันก็จะนำความพินาศมาสู่เจ้าและคนรอบข้าง เจ้าเข้าใจหรือไม่...จิ่นสือ”    ชายหนุ่มได้แต่เพียงถอนหายใจหนักหน่วง ไม่อาจหาคำแก้ตัวอันใดได้ บิดาก็ทำได้เพียงทอดสายตามองด้วยความกังวล   “เจ้าไปสงบสติอารมณ์ที่หอตำรา คัดตำราพิชัยยุทธ์”  “ท่านพ่อ!”   “นี่เป็นคำสั่ง”   “รับทราบ”  เขาจำใจรับคำสั่งกึ่งลงโทษนั้น มองบิดาหมุนตัวเดินออกไปแล้วก็ได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ โกรธตนเองที่ไม่อาจซุกซ่อนความรู้สึกของตนได้มิดชิด แต่น่าประหลาดนักที่คนที่เขาอยากให้รู้ตัวกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ซ้ำยังชอบพาตัวเองเข้าไปสู่ที่อันตราย แม้จะยอมรับว่าเคอหลิ่งหลินมีวิทยายุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าเขา แต่ครั้งนี้เห็นนางบาดเจ็บหนักกว่าที่เคยเป็นมา ก็พาลให้หงุดหงิด แล้วยังไม่รู้ว่านางไปทำอะไรมาอีกด้วย แต่เชื่อว่าต้องเกี่ยวข้องกับที่นางชอบหายตัวไปบ่อยๆ เหมือนไปพบใครสักคนเป็นแน่    เขาพาร่างกำยำที่ชุ่มเหงื่อกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนจะพาตัวเองไปหอตำราเพื่อรับโทษที่บิดาได้สั่งไว้ ก่อนที่จะเดินไปหอตำรา เขาห้ามใจตัวเองมิได้ เลี้ยวไปห้องของเคอหลิ่งหลิน ในห้องไม่มีผู้ใดนอกจากร่างที่อยู่บนเตียง น่าแปลก เพราะปกติสาวใช้ประจำตัวจะคอยเฝ้านางมิห่าง เขาได้แต่กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ใบหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้า สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาด ไม่ขาวซีดเช่นวันแรกๆ นางเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้น ชายหนุ่มยกนิ้วมือไล้ใบหน้าอ่อนนุ่มที่ปิดเปลือกตาสนิท หากเป็นเวลาปกติเขาคงไม่ได้ทำเช่นนี้  “เจ้าไปทำอะไรมาหลินเอ๋อร์ เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นมาทะเลาะกับข้า” เขาถอนหายใจเบาๆ ราวกับกลัวว่าเสียงทอดถอนใจจะไปรบกวนคนที่หลับอยู่ “หากเจ้าฟื้นขึ้นมา คราวนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าคลาดสายตาไปอีกแล้ว”    ชายหนุ่มชะงักชักมือกลับทันทีที่รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตู เขายืดตัวขึ้น มือไพล่หลังและหันไปมองทางประตูราวกับรอคอย เพียงอึดใจบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสาวใช้ที่ประคองอ่างน้ำเข้ามาในห้อง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม