“เรียนจ้าวฮูหยิน ข้าน้อยขอบังอาจจับชีพจรของท่านได้หรือไม่เจ้าคะ”
“เอ๋? ข้าป่วยรึ”
“สีหน้าท่านอ่อนเพลียมากเจ้าค่ะ”
“จริงด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินเอาแต่เป็นห่วงคุณหนู ข้าวปลาอาหาร ท่านก็กินได้นิดเดียวเองนะเจ้าคะ อย่างไรให้แม่นางมู่ตรวจดูสักเถิดเจ้าค่ะ” ชุนเอ๋อร์พูดด้วยความเป็นห่วง
“ข้าว่าข้าไม่ได้เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าทำให้พวกเจ้าสบายใจก็ตรวจดูสักนิดก็ได้”
“เจ้าค่ะ” มู่ฟางเหนียงจับชีพจรของจ้าวฮูหยิน แล้วขอให้นางอ้าปากกว้างๆ เพื่อดูลิ้น ลิ้นเป็นฝ้าขาว
“ช่วงนี้จ้าวฮูหยินเดินทางตากแดดบ่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“อืม ระยะนี้ไปวัดวาอารามรวมทั้งศาลเจ้า บนบานให้หลิ่งหลินตื่นฟื้นเป็นปกติแทบทุกวัน” ฮูหยินอี้ซิ่วตอบ
“ระยะนี้อากาศร้อน จ้าวฮูหยินควรดื่มน้ำให้มาก พักผ่อนให้เพียงพอ อย่าได้กังวลเรื่องอื่นไป และใช้น้ำเกลือผสมน้ำอุ่นเล็กน้อยคนให้ละลายแล้วนำมากลั้วคอบ้วนปาก จะช่วยลดอาการฝ้าขาวที่ลิ้นและเจ็บคอได้เจ้าค่ะ”
“จริงด้วย ช่วงนี้ข้านอนไม่ค่อยหลับ ซ้ำยังเจ็บคออีกด้วย”
“ข้าน้อยจะเขียนเทียบยาให้ เป็นยาบำรุงสุขภาพเจ้าค่ะ” น้ำเสียงหวานใสเอ่ยอย่างสงบ ชวนให้คนฟังสบายใจ “ส่วนท่านหญิง ข้าน้อยจะปรับยาบำรุงให้”
“เสียงของเจ้านี่ทำให้คนฟังสงบใจลงได้มาก เอาละ...ข้าเห็นเจ้าอยู่ก็สบายใจ ใจจริงอยากเชิญเจ้ากับพ่อของเจ้ามาอยู่เสียด้วยกันจนกว่าหลิ่งหลินจะฟื้น แต่สามีข้าก็เตือนสติว่าพวกเจ้าเป็นหมอ ชาวบ้านเดือดร้อนเจ็บป่วยจะไปหาใคร หากท่านหมอมู่ว่าไม่เป็นอะไร ข้าก็ย่อมต้องเชื่อใจผู้เป็นหมอ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ”
“เอาละ ข้าจะไปพักผ่อนเสียหน่อย ขาดเหลืออะไรเจ้าก็บอกชุนเอ๋อร์หรือพ่อบ้านได้”
“ข้าน้อยทราบแล้วเจ้าค่ะ”
จ้าวฮูหยินตบหลังมือของมู่ฟางเหนียงเบาๆ และมองใบหน้าอ่อนหวานอย่างเอ็นดู แม้หญิงสาวตรงหน้าจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเนื้อหยาบและสีซีดจางจากการซักหลายต่อหลายครั้ง แต่ดวงตาที่เป็นประกายและกิริยาอ่อนหวานนี้เป็นที่น่าประทับใจเสียจริง
“อ่อ! ได้ยินว่าเจ้าชอบอ่านหนังสือ ในห้องตำรามีหนังสือมากมายนัก เจ้าจะหยิบยืมไปอ่านที่บ้านก็ได้ แต่ต้องเอากลับมาคืนนะ”
“จริงหรือเจ้าคะ” ดวงตากลมเบิกกว้างอย่างดีใจ แล้วก็นึกว่าได้ว่าแสดงอาการดีใจเกินไป นางก็หลุบตาลง แต่เรียกเสียงหัวเราะจากจ้าวฮูหยินได้
“เอาสิ ไปเลือกไปหยิบเอาได้ จะอ่านนานแค่ไหนก็ได้ แต่เอามาคืนก็พอ”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะดูแลอย่างดีที่สุด”
มู่ฟางเหนียงดีใจเป็นที่สุด นางชอบอ่านหนังสือหรือตำราต่างๆ แต่เพราะฐานะของนางและพ่อ นางจะซื้อของใช้แต่ละอย่างต้องคิดแล้วคิดอีก พอได้ยินเช่นนี้ หัวใจของนางก็พองโตด้วยความดีใจและซาบซึ้งใจที่ฮูหยินอี้ซิ่วเมตตา นางรอส่งฮูหยินอี้ซิ่วออกจากห้องไปแล้ว ก็หันไปดูเคอหลิ่งหลินที่หลับอยู่บนเตียง
“พี่สาว” นางเรียกด้วยรอยยิ้ม เดินไปหยิบขนมจินเดออกมา
“ท่านชอบขนมของหวานนัก วันนี้ข้าทำขนมงาหรือจินเดมาด้วย ท่านพ่อไม่ชอบของหวาน ท่านรีบตื่นมากินขนมฝีมือข้าเสียทีสิ ท่านรีบตื่นเถอะนะรอบกายท่านมีแต่คนรักและเป็นห่วงท่าน ท่านควรรีบตื่นให้พวกเขาดีใจได้แล้วนะ”.
...........................
. “ย้ากกกส์”
“โอ๊ยยยยย”
เหล่าทหารหลายนายกระเด็นกระดอนออกมาด้วยสภาพบอบช้ำและแพ้พ่ายอย่างหมดท่า แต่ละนายถูกบุรุษผู้นั้นใช้เพลงหมัดมวยจัดการจนสิ้นสภาพไม่อาจลุกขึ้นมาต่อกรได้ แม้เหงื่อจะโทรมกายแต่ไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงที่ยืนกอดอกดูการซ้อมหมัดมวยของรองแม่ทัพกับบรรดานายทหารอยู่นั้น ได้แต่สูดลมหายใจลึกด้วยความไม่พอใจ
“จิ่นสือ”
บุรุษหนุ่มมิได้เอ่ยตอบ เพียงแค่ตวัดสายตามองทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นบิดาของตนจึงสงบอารมณ์ลงแล้วยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่หน้าผาก
“ทุกคนพักได้”
“ขอรับท่านแม่ทัพ”
นายทหารคนอื่นๆ ช่วยกันพยุงร่างบอบช้ำออกจากสนามซ้อม เมื่อเหลือเพียงสองบุรุษสายเลือดเดียวกันแล้ว แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงก็เดินเข้าไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง เพียงพริบตาชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหว เขายกท่อนแขนขึ้นป้องกันหมัดที่พุ่งเข้ามา แม้หมัดนั้นจะชะงักก่อนถูกตัว แต่ก็ส่งพลังปะทะรุนแรงจนต้องถอยหลังไปครึ่งก้าว ชายต่างวัยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งตัวได้ หมัดที่สองตามไปทันที จ้าวจิ่นสือจับจังหวะได้ก็หลบหลีกและเป็นฝ่ายรุกกลับบ้าง แต่กระนั้นก็ยังช้ากว่าบิดาที่ซัดหมัดเข้าไปที่ท้อง ทำให้บุตรชายถึงกับสำลักความเจ็บปวด
“จิ่นสือ” แม่ทัพจ้าวซื่อก่วงส่ายหน้าไปมา “เจ้าไร้สมาธิเช่นนี้ หากมีศัตรูอยู่เบื้องหน้าก็เอาชีวิตเจ้าโดยง่าย”
“ขออภัยท่านพ่อ”
“พ่อรู้ว่าเจ้าเป็นกังวลเรื่องหลิ่งหลิน แต่ก็ไม่ควรไประบายอารมณ์ใส่ทหารชั้นผู้น้อยแบบนั้น”
“ข้า...” ยังไม่ทันพูดอะไร บิดาก็ยกมือห้ามไว้ก่อน
“ยิ่งพูด คำพูดของเจ้าจะยิ่งมัดตัวเอง เจ้ามองหลิ่งหลินเช่นไร อย่าคิดว่าพ่อไม่รู้”
“ท่านพ่อ” จ้าวจิ่นสืออึกอักจำนนต่อสิ่งที่บิดาเอ่ยออกมา
“ฐานะหรือชาติกำเนิดมิใช่ปัญหา แต่พ่อรู้ว่าหลิ่งหลินไม่ได้คิดกับเจ้าเช่นที่เจ้ารู้สึกอยู่ในขณะนี้ และหากเจ้าไม่ระงับใจตนเอง ก็รังแต่จะทำให้ตนต้องเจ็บปวด ซ้ำเจ้ายังไม่สามารถแยกแยะเรื่องส่วนตัวหรือหน้าที่ได้ มันก็จะนำความพินาศมาสู่เจ้าและคนรอบข้าง เจ้าเข้าใจหรือไม่...จิ่นสือ”
ชายหนุ่มได้แต่เพียงถอนหายใจหนักหน่วง ไม่อาจหาคำแก้ตัวอันใดได้ บิดาก็ทำได้เพียงทอดสายตามองด้วยความกังวล
“เจ้าไปสงบสติอารมณ์ที่หอตำรา คัดตำราพิชัยยุทธ์”
“ท่านพ่อ!”
“นี่เป็นคำสั่ง”
“รับทราบ”
เขาจำใจรับคำสั่งกึ่งลงโทษนั้น มองบิดาหมุนตัวเดินออกไปแล้วก็ได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธ โกรธตนเองที่ไม่อาจซุกซ่อนความรู้สึกของตนได้มิดชิด แต่น่าประหลาดนักที่คนที่เขาอยากให้รู้ตัวกลับไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด ซ้ำยังชอบพาตัวเองเข้าไปสู่ที่อันตราย แม้จะยอมรับว่าเคอหลิ่งหลินมีวิทยายุทธ์ไม่ด้อยไปกว่าเขา แต่ครั้งนี้เห็นนางบาดเจ็บหนักกว่าที่เคยเป็นมา ก็พาลให้หงุดหงิด แล้วยังไม่รู้ว่านางไปทำอะไรมาอีกด้วย แต่เชื่อว่าต้องเกี่ยวข้องกับที่นางชอบหายตัวไปบ่อยๆ เหมือนไปพบใครสักคนเป็นแน่
เขาพาร่างกำยำที่ชุ่มเหงื่อกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนจะพาตัวเองไปหอตำราเพื่อรับโทษที่บิดาได้สั่งไว้ ก่อนที่จะเดินไปหอตำรา เขาห้ามใจตัวเองมิได้ เลี้ยวไปห้องของเคอหลิ่งหลิน ในห้องไม่มีผู้ใดนอกจากร่างที่อยู่บนเตียง น่าแปลก เพราะปกติสาวใช้ประจำตัวจะคอยเฝ้านางมิห่าง เขาได้แต่กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะหยุดสายตาที่ใบหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้า สีหน้าเริ่มมีเลือดฝาด ไม่ขาวซีดเช่นวันแรกๆ นางเหมือนคนนอนหลับไปเท่านั้น ชายหนุ่มยกนิ้วมือไล้ใบหน้าอ่อนนุ่มที่ปิดเปลือกตาสนิท หากเป็นเวลาปกติเขาคงไม่ได้ทำเช่นนี้
“เจ้าไปทำอะไรมาหลินเอ๋อร์ เมื่อไหร่เจ้าจะตื่นมาทะเลาะกับข้า” เขาถอนหายใจเบาๆ ราวกับกลัวว่าเสียงทอดถอนใจจะไปรบกวนคนที่หลับอยู่ “หากเจ้าฟื้นขึ้นมา คราวนี้ข้าจะไม่ให้เจ้าคลาดสายตาไปอีกแล้ว”
ชายหนุ่มชะงักชักมือกลับทันทีที่รู้สึกได้ว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่หน้าประตู เขายืดตัวขึ้น มือไพล่หลังและหันไปมองทางประตูราวกับรอคอย เพียงอึดใจบานประตูก็เปิดออกพร้อมกับร่างของสาวใช้ที่ประคองอ่างน้ำเข้ามาในห้อง