มันจริงอย่างที่เขาพูดกันหรือเปล่าว่าในวันแต่งงานเป็นวันที่เจ้าสาวดูมีความสุขที่สุด..
มีความสุขที่สุดงั้นเหรอ ?
ณิชาได้แต่ครุ่นคิดตอนเหม่อจนเผลอปล่อยความคิดลอยไปไกล ขณะที่ปล่อยให้ช่างแต่งหน้าเติมเครื่องสำอางบนใบหน้าต่อให้เสร็จ
แต่ในหัวก็ยังคงจมอยู่กับความคิดไม่ตกในเรื่องของการแต่งงาน เพราะตั้งแต่เกิดมาทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าวันนี้เป็นเหมือนวันสิ้นโลกยังไงยังงั้น
“คุณณิชาผิวหน้าดีมากเลยค่ะ” ช่างแต่งหน้าสาวเอ่ยชมไม่ขาดปาก ผลมาจากโครงสร้างใบหน้าอันสมส่วนที่ทำให้ณิชาโดดเด่นมากขึ้น แม้ถูกเติมแต่งด้วยเครื่องสำอางเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ทว่ารอยยิ้มของเธอกลับเลือนหายไป..
ร่วมเดือนที่ผ่านมาเธอวุ่นวายเกี่ยวกับการเตรียมตัวและเตรียมงานร่วมกับอัคคีราห์ ซึ่งเธอก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี
เพราะตั้งแต่วันนั้นณิชาก็ไม่กล้าเซ้าซี้อะไรให้มากความ แค่อยากให้ผ่านค่ำคืนของวันแต่งงานโดยเร็วเท่านั้นเอง
“ขอบคุณค่ะ” ณิชากล่าวขอบคุณ ก่อนจะลืมตาขึ้นหลังช่างแต่งหน้าทำในส่วนของเปลือกตาเสร็จแล้ว “แต่ฝีมือคุณช่างนี่สุดยอดเลยนะคะ เอาไว้งานหน้ามาแต่งให้ใหม่นะคะ”
“งานหน้า.. งานหน้าเหรอคะ” หญิงสาวตรงหน้าชะงักค้าง ก่อนจะยิ้มแห้งๆ กับมือที่เตรียมลิปสติกจะเติมริมฝีปากก็หยุดกะทันหันทันที
“ฉันหมายถึง..” ณิชากลอกตาอย่างใช้ความคิด ท่ามกลางห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงเธอกับช่างแต่งหน้าสองคน
“คะ” คู่สนทนาเลิกคิ้วลุ้นตามจนตัวโก่ง
“ฉันหมายถึงงานอื่นน่ะค่ะ บางทีผู้หญิงเราก็มีวันที่ขี้เกียจแต่งหน้าเองใช่มั้ยล่ะคะ” หลังได้ยินประโยคที่ณิชาพูดจบ ทั้งตัวเธอและตัวช่างเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนที่ทั้งคู่จะหัวเราะกลบเกลื่อนรอยยิ้มเจื่อนเมื่อครู่
“ใช่เลยค่ะ เอาไว้ยังไงฉันจะทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ให้นะคะ ยินดีมากเลยค่ะที่ได้ร่วมงานกับคนสวยๆ แบบคุณณิชา”
“ขอบคุณมากค่ะ”
สถานการณ์กลับมาเป็นปกติอีกครั้งเมื่อทั้งสองคนผ่อนคลาย รวมถึงพูดคุยเรื่องจิปาถะกันอย่างออกรสชาติ
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานหลายนาที บนใบหน้าที่สวยสดก็เปล่งปลั่งขึ้นมาทันทีที่คุณช่างแต่งหน้าสะบัดแปรงจนเกือบจะเสร็จเรียบร้อย
“ยิ้มหน่อยนะคะ เติมตรงนี้อีกนิดเดียวก็.. เสร็จแล้วค่ะ” เธอพูดเสียงค่อยหลังจากเติมลิปสติกบนริมฝีปากสีระเรื่อเสร็จ จากนั้นก็หมุนเก้าอี้ของณิชาให้เธอหันมองกระจกสี่เหลี่ยมบานใหญ่ตรงหน้าเพื่อตรวจดู
“สวย.. สวยมากเลยค่ะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความปลื้มปิติเมื่อเห็นผลงานเต็มสองตา ใบหน้าสวยหวานแต่งแต้มด้วยบลัชออนสีชมพู ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงฉ่ำเป็นมันวาว ดวงตาคมสวยทำให้ใบหน้าดูโดดเด่นขึ้นมาทันที
นี่สินะที่เขาเรียกว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ..
ณิชาหันใบหน้าสลับไปมาด้วยแววตาเป็นประกาย ก่อนจะหันไปยิ้มขอบคุณคุณช่างแต่งหน้าอีกครั้ง
“ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปแต่งตัวกันต่อดีกว่าค่ะ” เธอว่าพลางระบายยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนผายมือให้ณิชาเดินไปยังห้องแต่งตัวที่มีผู้ช่วยอีกสองคนคอยอยู่ก่อนแล้ว
ทั้งหมดนี้เป็นคนจากอัคคีราห์ที่เขาจัดเตรียมเอาไว้ให้ เธอแทบไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว หรือเรียกง่ายๆ ว่าขยับตัวไปไหนไม่ได้เลยต่างหาก เพราะอัคคีราห์ขีดเส้นตีกรอบไว้หมดแล้ว
กว่าจะถึงวันงานอัคคีราห์กำชับให้คนคอยแวะเวียนไปสอดส่องดูแลเธอ แต่ณิชาก็ไม่ได้คิดจะสนใจอะไร เธอยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติเหมือนทุกวัน
ยังคงเข้าออกร้านเทียนเป็นประจำเหมือนเช่นเคย..
กระจกเต็มบานทำให้สามารถมองเห็นเรือนร่างของเจ้าสาวจำเป็นเต็มความสูง กำลังสะท้อนภาพของหญิงสาวในชุดสีขาวบริสุทธิ์ดูผุดผ่องสะอาดตาไปหมด
บนร่างกายล้วนแล้วแต่ประดับประดาไปด้วยเครื่องเพชรราคาแพง เนื้อผ้าถูกถักทออย่างประณีตจนทำให้เรือนกายขาวราวกับไข่มุกดูสวยสง่าดั่งหงส์ที่สยายปีก
“คุณณิชาสวยมากเลยค่ะ” สาวช่างแต่งหน้าเอ่ยชม พร้อมทุกคนที่ปรบมือกันอย่างเห็นด้วย
“ขอบคุณมากเลยค่ะ” ณิชายกมือทาบอกพลางโค้งศีรษะขอบคุณ ทว่าใบหน้ากลับเปื้อนรอยยิ้มเศร้าทั้งแววตายังหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
เธอไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว..
“คุณเรน” ณิชาที่หมุนตัวหันหลังกลับมาระบายยิ้มให้เลขาเรนที่เข้ามาพอดี
“เดี๋ยวเราไปเตรียมตัวกันเลยนะคะ ใกล้ถึงเวลาแล้ว” เรนโค้งศีรษะพลางส่งสายตาให้ณิชาเตรียมตัว
ภายในงานถูกจัดขึ้นที่โรงแรมหรูที่มีระบบความปลอดภัยอันยอดเยี่ยม โดยมีคนของตระกูลเซียหลงกระจายตัวคุ้มกันความปลอดภัย เพราะแขกเหรื่อที่มางานล้วนแล้วแต่เป็นคนมีศักดิ์และอยู่ในแวดวงธุรกิจของอัคคีราห์ทั้งสิ้น
ญาติผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงนั่งรออยู่ในงานแล้วเรียบร้อย มีแต่ผู้เป็นพ่ออย่างท่านสาธิตที่เตรียมตัวให้ลูกสาวควงเพื่อส่งมอบเธอให้กับอัคคีราห์ในพิธี
ยิ่งได้เห็นว่าพ่อกับแม่ของเธอมีความสุขมากแค่ไหน ณิชาก็ยิ่งพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมามากเท่านั้น
เคยคิดว่ามันจะง่าย.. แต่ไม่ใช่เลยสักนิดเดียว
“ขอโทษนะคะคุณเรน แต่ฉันขอกลับเข้าไปเอามือถือสักครู่ได้มั้ยคะ” ณิชาถอนหายใจอย่างประหม่า ผลจากการหายใจได้ไม่ทั่วท้อง พลันมือก็ประสานกันไว้ข้างหน้าแน่น
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” เรนเลิกคิ้วถามด้วยสายตาจับพิรุธ แน่นอนว่าณิชาถูกจับผิดตั้งแต่วันแรกที่ได้เจออัคคีราห์แล้ว
ชีวิตไร้อิสระตั้งแต่วันนั้นแล้ว..
“มีงานที่ลูกค้าสั่งไว้น่ะค่ะ” เธอบอกเสียงเรียบ แต่ในแววตาวูบไหวไปมาคล้ายว่าปิดบังอะไรอยู่ “แค่แปปเดียวเองค่ะ คุณก็รู้นี่คะว่าฉันรักงานตัวเองมากแค่ไหน”
สิ้นประโยคนั้นคนที่ใช้สายตาจับผิดเธอก็ดูผ่อนคลายลง ก่อนจะผายมือเชิงให้เธอรีบทำธุระให้เสร็จก่อนพิธีงานจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้
“จะไม่มาสินะ” ณิชาเอ่ยขึ้นเบาๆ หลังเดินกลับเข้ามาในห้องแล้วรีบตรงไปยังกระเป๋าตัวเองทันที
เธอบอกกับเทียนไว้แล้วว่าวันนี้จะมีงานแต่งจัดขึ้น อย่างน้อยก็หวังว่าเขาจะพิมพ์อะไรตอบกลับมาบ้าง ทว่าตั้งแต่เมื่อวานกลับไม่มีการตอบกลับจากเทียนอีกเลย
มันเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้ณิชากังวลใจ..
พอหยิบมือถือออกมาณิชาก็พบว่ามีสายเรียกเข้าจากเทียนพอดี เธอรีบกดรับแบบไม่ลังเลเลยสักนิดเดียว พลันใบหน้าสวยก็แปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย
( น้องชาเป็นเด็กดี.. ไม่คู่ควรกับคนอย่างคุณ )
( พูดเหี้ยอะไรของมึง.. )
( ถึงคุณจะฆ่าผมให้ตาย ยังไงน้องชาก็ไม่มีทางรักคุณ )
“พี่เทียน.. อัคคี..” ดวงตาคู่สวยเบิกโพลง ก่อนจะยกมือขึ้นป้องปากกับเสียงฟังดูร้องเจ็บปวดของเทียนที่ดังเล็ดลอดมา
ซ้ำยังได้ยินเสียงบางอย่างที่น่าจะกระแทกเข้าที่ร่างของเทียนอย่างหนัก เพราะณิชาได้ยินเสียงเขาร้องจุก ก่อนทุกอย่างจะเงียบไปแล้วตามมาด้วยเสียงของผู้ชายที่กำลังจะเป็นเจ้าบ่าวในพิธีข้างหน้านี้
( กูไม่เก็บมึงไว้อยู่แล้วไอ้สวะ แต่กูแค่อยากเห็นมึงอยู่ทรมานอีกหน่อยว่ะ )
“นั่นนายจะทำอะไรเขา..”
( ตายซะเถอะมึง.. )
“อย่านะ..” ณิชาลนลานจนเกือบตั้งสติเอาไว้ไม่อยู่ หยาดน้ำตาเอ่อคลอจนไหลออกมาเป็นสาย ไม่สนว่าเครื่องสำอางบนใบหน้าจะลบหรือเลือนหาย
เสียงร้องของเทียนที่ดังให้ได้ยินบาดลึกความรู้สึกของคนฟัง ปะปนกับความโกรธที่ปรากฏใบแววตาทันทีที่ได้รู้ว่าคู่กรณีคืออัคคีราห์
“อย่า!” เสียงหญิงสาวกรีดร้องจนดังไกลไปถึงหน้าห้อง ทำให้เรนที่ยืนรออยู่รีบเข้ามาดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพบว่าเจ้าสาวจำเป็นทรุดฮวบลงไปกองกับพื้นแล้วเรียบร้อย
มือไม้ของเธอสั่นเทาจนควบคุมไม่อยู่ แม้แต่กระทั่งลมหายใจที่ฮืดฮาดในตอนนี้ ณิชาเงยหน้าตวัดสายตามองเลขาอย่างคาดโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น
พวกเขาทุกคนต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆ ยังไงเรนก็คือคนของตระกูลเซียหลงอยู่ดี
ใช่.. ทุกคนรอบกายเธอในตอนนี้ล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายทั้งสิ้นเลย
“คุณณิชา”
“เจ้านายของคุณทำอะไรเขา..”
“คะ”
“ฉันถามว่าไอ้เลวนั่นทำอะไรพี่เทียน!” ณิชาโวยวายคล้ายคนเสียสติ หลังสายของเทียนตัดไปทั้งที่ยังจับใจความอะไรไม่ได้
เธอไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ รู้แค่ว่าใจมันไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก
เรนไม่ตอบอะไรกลับมา ใบหน้าเรียบเฉยไม่มีแม้แต่ความตระหนกเกิดขึ้น มันยิ่งทำให้ณิชาเกรี้ยวกราดมากกว่าเดิม เพราะคิดว่าคนพวกนี้เมินเฉยต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ณิชาคว้าคอเสื้อของเรนเพื่อเค้นคำถาม แววตามาดหมายคล้ายว่าอยากจะให้คนตรงหน้าเป็นอัคคีราห์ที่ยืนอยู่
เพราะถ้าเป็นเขาเธอจะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แน่
“ฉันถามว่าไอ้เลวอัคคีราห์.. ทำอะไรเขา”