บ้านตระกูลชีเฟิ่ง
มือเรียวคว้าชุดคลุมอาบน้ำขึ้นมาคลุมร่างกาย หลังเพิ่งขึ้นจากอ่างน้ำนมเพื่อบำรุงผิวพรรณเสร็จ เธอเดินลงมานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งพร้อมหยิบครีมบำรุงขึ้นมาบรรจงทาบนผิวหน้า สายตาดูครุ่นคิดบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
ทว่า..
ใบหน้าสวยส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ สบมองภาพของเธอในกระจกเงา หลังภาพของเขาผุดแทรกเข้ามาในหัว วินาทีที่อัคคีราห์ทาบทามริมฝีปากลงมา มันเหมือนกับว่าถูกดูดกลืนวิญญาณจนไร้เรี่ยวแรง
ยังจดจำทุกการเคลื่อนไหวบนเรียวปากได้อยู่เลยว่ามันนุ่มนวลขนาดไหน ซ้ำสายตาของอัคคีราห์ที่หลุบมองมาตอนจูบ เธอก็ยังจำไม่ได้ลืม
“อัคคีราห์.. ไอ้คนบ้า” ณิชาหัวเสียจนเรียวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น
คนเราต้องเคยรู้สึกไม่ถูกชะตากับใครสักคนตั้งแต่แรกเห็นบ้างแหละ..
อัคคีราห์ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ถึงเมื่อวันก่อนจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนได้เจอกัน เพราะทั้งสองตระกูลเป็นพันธมิตรกันมานาน การพบปะของพวกเขาก็มีมาแต่ตั้งณิชายังเด็ก เพียงแต่เธอไม่คิดว่าจะต้องมาเกี่ยวดองกับตระกูลนี้เท่านั้นเอง
โตมาหล่อราวเทพบุตรก็จริง แต่นิสัยคนละขั้วกันเลย
“หาเมียหรือหาคนออกรบ เอาปืนมาจ่อกันขนาดนั้น..”
ณิชาพูดขึ้นกับตัวเองหน้ากระจก ก่อนจะทำหน้าแหยด้วยความขนลุกขนพอง หลังนึกถึงใบหน้าของอัคคีราห์ที่มักจะใช้สายตาด้านชาไร้ความรู้สึกมองกันเสมอ
“ถ้าคราวหน้าเอามาจ่ออีกล่ะก็ เหอะ แม่จะฟาดด้วยหน้าแข้งให้ดู” ไม่พูดเปล่าณิชายังออกหมัดประกอบ ก่อนจะหรี่ตามองผิวหน้านวลเนียน พร้อมกับหยิบแผ่นมาร์กขึ้นมาวางทาบลงบนผิวหน้าอย่างเบามือ
แต่ยังไม่ทันจะหมุนตัวไปไหน โทรศัพท์ในมือของเธอก็สั่นคลอนขึ้นมา หน้าจอปรากฏเบอร์สิบหลักไม่ทราบชื่อ
“สวัสดีค่า ณิชาพูดสายค่ะ” เธอกรอกเสียงลงไปตามสายฟังดูอู้อี้ เนื่องมาจากขยับหน้าได้ไม่คล่องเท่าไหร่ ก่อนจะหุบยิ้มลงทันทีที่ปลายทางตอบกลับมา
( พรุ่งนี้จะเข้าไปรับ )
“อัคคีราห์..”
( เจอกันสี่โมงเย็น )
พอรู้ว่าเป็นเขาณิชาก็อยากจะแก้เผ็ดคืน โทษฐานมางับปากคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
“ในสายเสียงหล่อจังเลยค่ะ แต่น่าเสียดายไม่มีมารยาทแนะนำตัวกันก่อนพูดคุย ยังดีนะคะเนี่ยที่ฉันจำเสียงได้..” เธอพ่นคำพูดยาวเหยียดเชิงกระแทกแดกดันอีกฝ่าย ก่อนที่สายจะถูกตัดไปในจังหวะอ้าปากค้างกลางอากาศพอดี
“ไอ้..” ณิชากลอกตามองบน ก่อนจะกำหนดลมหายใจเข้าออก กลัวแผ่นมาร์กหน้าจะหลุดเพราะอารมณ์เกรี้ยวโกรธของเธอเมื่อครู่
ท่องไว้ว่าถ้าโมโหไปเดี๋ยวหน้าแก่ก่อนวัย เพราะงั้นเธอจะไม่ยอมให้ผู้ชายอย่างเขาเข้ามารบกวนจิตใจเด็ดขาด
“เหอะ เราได้เจอกันอีกนานแน่นอน.. อัคคีราห์”
NI-CHA HOME MADE
ณิชามีงานอดิเรกที่ขายบนโลกออนไลน์และเปิดหน้าร้านเอง นั่นคือการเพ้นท์แก้วเซรามิคที่มีลวดลายเป็นฝีมือของเธอ อีกทั้งยังเปิดสอนทำเป็นของที่ระลึกในวันพิเศษอีกต่างหาก
ต่อให้คนอื่นมองยังไงก็ตาม แต่มีแค่เจ้าของผลงานเท่านั้นที่รู้ว่าเธอทำออกมาได้ดีแค่ไหน
ถึงจะไม่ได้เป็นหมอเหมือนลูกลุงป้าน้าอาในตระกูลชีเฟิ่ง แต่เธอก็ไม่ได้เสียใจเพราะรู้ดีว่าความชอบของคนเราไม่เหมือนกัน ณิชาโชคดีที่พ่อแม่เข้าใจยอมให้ทำในสิ่งที่ชอบ
ทว่ามันก็แลกมาด้วยความกดดันเช่นกัน กลัวว่าจะทำให้พวกเขาผิดหวังที่ให้ความไว้ใจ แต่เธอกลับห่วยแตกไปซะทุกอย่าง
ห่วยแตกชะมัดเลยตัวเรา..
“แต่อย่างน้อยก็ยังมีเค้กพี่เทียนฮีลใจนี่.. ช่างเถอะณิชา อย่าคิดมากเลย” ณิชาที่ตั้งใจเพ้นท์แก้วระบายยิ้มปลอบประโลมตัวเอง สายตาจดจ่อกับแก้วเซรามิคตรงหน้าแล้วถอนหายใจทิ้งแรงๆ กับความคิดที่ไม่เข้าท่า
ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครเขาดีที่สุดแล้ว..
วันนี้ร้านไม่ได้เปิดเพราะเธอต้องการมาพักผ่อนเพียงลำพัง ผลมันก็มาจากที่ณิชาไม่อยากไปนัดดูตัวกับอัคคีราห์ก็เท่านั้นเอง
ซึ่งตัวร้านณิชาโฮมเมดตั้งอยู่ใจกลางซอย ที่เธอมั่นใจมากว่ามันทั้งสงบแล้วก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายแก่ผู้สนใจในชิ้นงานศิลปะแน่นอน
“อ่า ปวดคอแฮะ” เธอหมุนคอแก้อาการเมื่อยขบเล็กน้อย
มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นคลอนแล้วร้องเสียงดัง หน้าจอปรากฏรายชื่อของใครบางคนที่ณิชาบันทึกเอาไว้ว่า ‘มนุษย์หิน’ ซึ่งแน่นอนว่ามันคือเบอร์ของอัคคีราห์ที่โทรมาเมื่อคืน
“อัคคีราห์” ดวงตากลมเบิกโพลงหลังเมินสายเรียกเข้า แต่พอเงยหน้าสายตาดันปะทะเข้ากับร่างสูงที่ชูมือถืออยู่ตรงหน้าร้าน เล่นเอาหญิงสาวหัวใจเกือบวายด้วยความตกใจ
ณิชาส่ายหน้าเชิงว่าจะไม่เปิด แต่ก็ถูกอัคคีราห์ทำท่าจะพังเข้ามา สุดท้ายเธอก็ไม่มีทางเลือกต้องลุกขึ้นเดินไปเปิดให้เขาอยู่ดี
“นายหา.. ไม่สิ มาทำไม” เธออยากถามว่าเขาหาที่นี่เจอได้ยังไง แต่คนระดับอัคคีราห์พูดไปก็คงเปลืองน้ำลายเปล่า เจาะจงไปเลยซะยังดีกว่า
“ใกล้นัดแล้ว ทำไมเธอถึงมัวแต่ทำอะไรไร้สาระอยู่อีก” เสียงทุ้มเอ่ยพลางกวาดสายตาไปรอบร้าน พลันคิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากันคล้ายว่าไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอทำอยู่
“ไร้สาระเหรอ เมื่อกี้นายว่ายังไงนะไอ้มาเฟียผมเจล” ณิชาเถียงกลับทันควันเมื่ออีกฝ่ายพูดจาไม่เข้าหู
“ว่าไงนะ”
“นายไม่ควรรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ของฉัน กลับไปได้แล้ว”
“เมื่อคืนโทรไปบอกไม่เข้าหูหรือสมองเลยหรือไง”
“คิดว่าฉันแคร์เหรอ ฉันไม่แคร์หรอกย่ะ ฉันมีอย่างอื่นให้ทำเยอะแยะ” มือเล็กที่พยายามจะดันแผงอกอัคคีราห์ให้ออกนอกร้าน ถูกคนตัวสูงกว่าเดินพรวดพราดเข้ามาข้างใน ก่อนจะตวัดสายตามองเธอที่สวมผ้ากันเปื้อน รวมถึงผมเผ้าที่ถูกมัดรวบลวกๆ ดูไม่เป็นทรง
“ขี้เหร่” อัคคีราห์ว่าแล้วเบือนสายตาหนีไปด้านข้างครู่หนึ่ง
“อะไรนะ” ณิชาถลึงตามองเขาที่เพิ่งจะไล่สายตามองเธอแล้วพูดคำว่าขี้เหร่ออกมาหน้าตาเฉย
“ไปเตรียมตัว” เขากล่าวสั้นๆ คล้ายว่าหมดความอดทนเต็มที
“ฉันจะไม่ไปทานข้าวเย็นกับครอบครัวเราสองคน” ณิชาบอกปัดปฏิเสธไป
“เหอะ คิดว่าฉันอยากนักหรือไง”
“อีกอย่างฉันไม่อยากแสดงละครคุณธรรมต่อหน้าผู้ใหญ่ ยิ่งกับนาย.. มันคลื่นไส้”
“งั้นเธอก็ฝืนไว้หน่อยละกัน แค่แปปเดียวไม่สำลักจนลงแดงตายหรอก”
ไม่พูดเปล่าคนตัวสูงกว่ายังคว้าข้อมือเธอเชิงบังคับให้ทำตามคำสั่ง ก็เข้าใจว่าเขาเป็นหัวหน้าคน คงจะมีลูกน้องที่คอยทำตามโดยง่าย แต่คงใช้ไม่ได้กับณิชาเพราะเธอไม่ใช่ลูกน้องเขา ไม่แม้แต่จะยอมตกอยู่ในโอวาทของอัคคีราห์ด้วย
“นายคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน นายไม่มีสิทธิ์สั่งให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไรอัคคีราห์” เธอว่าแล้วขืนตัวเองเอาไว้สุดแรง
“มันเป็นคำสั่งของผู้ใหญ่” อัคคีราห์ตอบกลับแล้วกดสายตามองเธอนิ่งๆ
“ฉันจะบอกพวกเขาว่าฉันป่วย ไปไม่ได้” เธอเชิดหน้าเสนอความเห็นด้วยสีหน้าตึงเครียด
อัคคีราห์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย วันนี้ท่านศิลาจะมาด้วยและนั่นคืออีกหนึ่งเหตุผลที่เขาถ่อสังขารตามหาเธอถึงที่นี่
“ไม่ได้”
“อย่ามาสั่งฉันนะ”
“ขึ้นรถซะ ในตอนที่ฉันยังพูดดีกับเธออยู่”
สิ้นประโยคนั้นอัคคีราห์ก็กระตุกแขน จนณิชาเซถลาเข้าไปใกล้ จะยั้งตัวก็ไม่ทันเพราะเรียวแขนแกร่งวาดวงกว้างโอบรั้งแผ่นหลังเธอให้ประชิดกายหนาแล้วเรียบร้อย
เขาใช้จังหวะนี้ฉวยโอกาสยื่นหน้าเข้าไปใกล้เธอ พลันรอยยิ้มร้ายก็ผุดขึ้นบนมุมปากเมื่อเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของณิชา ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเชิงกดดันและตักเตือนอีกฝ่ายในคราเดียวกัน
“หรือชอบให้โดนจูบก่อน.. ถึงจะเคลิ้มตามง่ายๆ หืม”
“อะ.. ไอ้บ้า”
“ถ้าไม่อยากแบบตบจูบก็ไปเตรียมตัวซะ” อัคคีราห์ไล่สายตามองเธออีกครั้ง “..ยัยเพิ้ง”