เรือนประมุข
“เร็วเข้า! พวกเจ้าทำอันใดกันอยู่! หากลมหายใจของนางหมดลง ข้าจะส่งพวกเจ้าไปปรนนิบัตินางที่ปรโลก!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดตวาดก้อง พลางมองร่างเล็กบนเตียงด้วยดวงตาหวาดหวั่น
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกกระสับกระส่ายยิ่ง ยิ่งเห็นริมฝีปากของนางซีดลงจนคล้ำ หัวใจก็ยิ่งเต้นไม่เป็นส่ำ กระวนกระวายเป็นทบทวี ในใจนั้นเต็มไปด้วยคำถาม ว่าเหตุใดนางจึงคิดสั้นเช่นนี้ คิดทำลายชีวิตของตัวเอง ทำลายหัวใจของเขาจนแทบแหลกลาญ หากยามนั้นไม่ไปแอบมอง นางคงจมดิ่งสู่ก้นบึ้งของสระบัวอย่างเดียวดาย แม้จะกระโจนเข้าไปรับสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็ร่วงหล่นสู่ห้วงธาราร่วมกันทั้งคู่ วินาทีนั้นเป็นเขาที่รู้ตัวแล้วว่ามิอาจทำใจยอมรับได้หากต้องสูญเสียนางไป มิอาจทำใจยอมรับได้หากต้องแยกจากจากนางตลอดกาล
ท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของหมอประจำสำนักที่ถูกเกณฑ์เข้ามาเพื่อรักษาชีวิตของนายหญิง เยี่ยนอวี่หมิงยังคงยืนนิ่งตระหนักทบทวนถึงความโหดร้ายชั่วช้าสารเลวของตัวเอง จำได้แล้วว่าในวันที่เขาสั่งขังนางเอาไว้บนหอคอยเยี่ยนสุย เขาได้กล่าวกับนางว่าให้นางอยู่บนนั้นจนกว่าจะตาย นั่นมิต่างจากการไล่ให้นางไปตายเลยสักนิด
เพราะมั่นใจว่าไม่เกินหนึ่งเดือนนางจะต้องอ้อนวอนขอให้เขาอภัยแน่ แต่คาดการณ์นั้นกลับผิดไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อนางเลือกที่จะหลุดพ้น หยิบยื่นความตายด้วยมือของตัวเอง ทั้งที่มีนิสัยขลาดเขลาตาขาวเพียงนั้น เหตุใดจึงตัดสินใจหุนหันเช่นนี้ ไม่คิดบ้างเลยหรือว่าจะมีคนเสียใจ และหนึ่งในนั้นอาจมีคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของตัวเอง
สุดท้ายความคิดเหล่านี้ก็เป็นเพียงข้ออ้างเพียงเพื่อบรรเทาความละอายใจ เพราะถึงอย่างไรที่นางตัดสินใจเช่นนี้ สาเหตุล้วนมาจากวาจาพล่อย ๆ ของเขาทั้งสิ้น หากเขาไม่ออกปากไปเช่นนั้น ไม่สั่งจองจำนางในหอคอยนั่น อนาคตคงจะต่างออกไป และซีซีของเขาก็คงจะไม่อยู่ในสภาพกึ่งเป็นกึ่งตายเช่นนี้
นัยน์ตาสีเข้มทอดมองใบหน้าซีดเซียวด้วยความร้าวราน เสวี่ยหลานซีคือนามของนางที่ใช้แนะนำตัวกับเด็กรับใช้ ที่เขาสั่งให้ไปส่งอาหารให้นางทุกวัน จากนั้นให้รายงานทุกอย่างเกี่ยวกับนางให้เขาได้รับรู้ ว่านางมีสีหน้าเช่นไร
และเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายอย่างไรบ้าง ถึงได้รู้ว่านางพยายามพูดคุยกับผู้อื่นอยู่ไม่น้อย และไม่ได้ติดต่อกับหน่วยสอดแนมจากสำนักชิงฮวาอีก
รู้เช่นนี้แล้วจึงคิดว่าอีกสักเจ็ดวันจะแสร้งเป็นใจอ่อน ยอมให้นางกลับมาอยู่ที่จวนดังเดิม บังคับให้นางรู้สึกผิดมาก ๆ จะได้สยบยอมต่อเขาเพียงผู้เดียว แต่เขาคิดผิดเสียแล้ว คิดผิดไปมากจริง ๆ ไม่คาดคิดว่านางจะใจกล้า ลงมืออย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ เพียงเพราะต้องการอิสระจากเขา ทว่าทุกอย่างเป็นเพราะวาจาร้ายกาจของเขา ถ้อยคำที่มิต่างจากการหยิบยื่นความตายให้แก่นาง เป็นเขาที่ลงมือฆ่านางด้วยตัวเอง
หากนางจากไป...เพียงแค่คิดร่างกายก็หนาวเหน็บไปถึงแก่นกระดูก หากเป็นเช่นนั้น เขาคงกระโดดลงแม่น้ำลืมเลือนตามนางไป เผื่อว่าจะได้พบกับนางในอีกพบชาติหนึ่ง ถึงคราวนั้นจะตั้งมั่นรักนางอย่างไร้ข้อกังขา มิยอมให้นางจากลาไปอีก
เยี่ยนอวี่หมิงทำได้เพียงเฝ้ามองอย่างละอายใจ กาลนี้แม้แต่สุดยอดวิชาลับของสำนักเยี่ยนหยุนก็ยังไร้ประโยชน์ ได้ครอบครองพลังเหล่านั้นแล้วได้อันใด เมื่อมิอาจช่วยนางจากเงื้อมมือพญายมได้
แล้วหลังจากที่นางตื่นขึ้นมาจะทำเช่นไร นางจะผิดหวังหรือไม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ นางจะรังเกียจหรือไม่หากคนที่ช่วยนางจากห้วงธาราเงียบงันนั้นเป็นคนที่บอกให้นางไปตายด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างไรต่อให้นางมีชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชัง ชิงชังเขา ก็ยังดีกว่าไม่ได้เห็น ไม่ได้พบเจอ ไม่ได้ต่อบทสนทนากับนางไปตลอดกาล
ช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างปลายวสันต์แลต้นเหมันต์นั้นช่างหนาวเหน็บนัก เสมือนกับช่วงเวลาระหว่างความเป็นความตาย เพียงแค่ต้องสายลมก็สะท้านราวกับถูกกัดกร่อนกระดูก
หนึ่งเดือนมานี้ได้แต่ทบทวนความรู้สึกที่มีต่อนาง หลังจากร่วมใช้ชีวิตดั่งสามีภรรยากันมาถึงสองเดือน จึงค้นพบว่ายามมีนางช่วยแบ่งเบาความกังวล คอยปลอบประโลมยามเหนื่อยล้า ถูกนางออดอ้อนเป็นครั้งคราวอย่างเอาแต่ใจก็ดีไม่น้อย
เขาชอบที่จะใช้ชีวิตเช่นนั้น ชอบที่จะมีนางอยู่ในชีวิต แต่นางเป็นคนจากสำนักชิงฮวา ก็คงจะวางใจไม่ได้ แม้เรื่องของสำนักจะถูกแยกจากเรื่องส่วนตัวอย่างสิ้นเชิง แต่ความรู้สึกของเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสในสำนักนั้นเป็นเรื่องที่ละเลยมิได้ ยิ่งกับคนของสำนักศัตรูแล้ว ย่อมต้องต่อต้านอย่างรุนแรง
ด้วยเหตุนี้จึงได้ตัดสินใจขังนางเอาไว้บนหอคอยเยี่ยนสุยเสียก่อน รอจนกว่าพวกเขาเหล่านั้นจะสงบอารมณ์ได้ จึงค่อยวางแผนตัวตายตัวแทน แสร้งทำเป็นสำเร็จโทษกบฏ จากนั้นจึงค่อยพานางหวนคืนสู่สำนักอีกครั้งในฐานะตัวแทนของภรรยา อ้างว่ารับนางมาเพราะมีใบหน้าเหมือนกับภรรยาคนก่อน เพียงแค่มีข้ออ้างแม้เหตุผลนั้นจะเบาดั่งขนนก พวกเขาก็ต้องกล้ำกลืนฝืนยอมรับมิต่างจากกลืนเลือด
เพียงเท่านี้ก็ไม่จำเป็นต้องขวนขวายหาภรรยาคนใหม่แล้ว ส่วนถานซีซานตัวจริงนั้น เขาไม่มีความสนใจต่อนางเลยแม้แต่น้อย มีเพียงเสวี่ยหลานซี ในสายตานี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไร้ความหมาย
‘ซวนฉางเล่อ’ หมอชราคนสุดท้ายนั่งตรวจชีพจรอย่างสงบ ครู่เดียวก็ถอนหายใจออกมา ช้อนมองประมุขด้วยสายตาหวาดหวั่น ยิ่งดวงตาคมกริบจับจ้องไม่วาง ยิ่งกดดันจนมิกล้ารายงานสถานการณ์ของนางให้ฟัง