Hi, Darling 3
“น้องเฟื่องไปไหนลูก” เสียงแม่หมี่เอ่ยถามฉันในเช้าของวันถัดมา
“ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวค่ะแม่ แม่เอาด้วยไหมคะ อร่อยมาก ๆ เลยนะคะแม่” ฉันนำเสนอแม่หมี่อย่างเต็มที่เพราะเป็นร้านโปรดของตัวเองด้วย
“ไปยังไงลูก แดดแรงอยู่นะ” แม่หมี่เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ฉันยิ้มกว้างส่งกลับไปพร้อมกับเอ่ยตอบท่านอย่างอารมณ์ดี
“เดี๋ยวขับรถไปค่ะแม่ เดี๋ยวหนูกลับมานะคะ” พอเห็นว่าแม่หมี่พยักหน้าฉันจึงรีบเดินไปยังรถตัวเองที่จอดอยู่ทันที แต่พอไปถึงก็ต้องชะงักเท้าค้างไป น้องออดี้เอสามของฉันหายไปไหน!! ทำไมเหลือเพียงไอเอ็กสามของพี่กริช เพราะความตกใจทำให้ฉันล้วงโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าด้วยมือที่สั่นเทา รอสักพักปลายสายก็รับสายอย่างเป็นปกติ
“พี่กริช รถหนูหายไปไหน เมื่อเช้าพี่เห็นไหม หนูออกมาแล้วไม่เห็น...”
(พี่ขับมาทำงาน เราก็ขับรถพี่ไปก่อน)
“พี่ไม่บอกหนู...”
(ก็หนูบอกให้พี่เอามาตรวจสภาพให้เมื่อสองวันก่อน อีกอย่างขับรถยังไงให้น้ำมันใกล้หมดแบบนี้ กลับไปต้องมาคุยกันหน่อยแล้ว ประมาทเกินไปแล้วนะ)
“ไม่เอาแล้ว ๆ ไม่ดุแล้ว หนูจะออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวแล้วหนูใช้รถพี่นะคะถ้างั้นน่ะ”
(ก็ใช้เลย ไม่ต้องขอ กุญแจรถก็มี) ใช่แล้วค่ะ ฟังไม่ผิดหรอก ทั้งฉันและเขาถือกุญแจรถกันคนละดอก ที่บ้านมีรถสองคันก็มีคนละสองดอก แทบจะทุกอย่างที่เป็นของส่วนตัวแต่เรากลับแชร์กันอย่างไม่รู้สึกหวงความเป็นส่วนตัว ทั้งกุญแจบ้าน กุญแจรถ และบนห้องนอนห้ามมีทีวีถ้าจะดูให้ลงมาดูด้านล่างที่ห้องนั่งเล่น ถ้าไม่จำเป็นหรือมีธุระต้องกินข้าวเย็นด้วยกัน งงเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแต่เราก็ทำมันมาจนชินเสียแล้ว ไม่สิ ฉันเต็มใจที่จะทำเสียมากกว่ากับเรื่องราวพวกนี้
“งั้นหนูวางแล้วนะ”
(ครับ ขับรถดี ๆ)
“จ้า”
อ้อ เรื่องหมั้นอะไรนั่นฉันมั่นใจว่าฝันไปแน่ ๆ เพราะตื่นมาแม่หมี่ก็ไม่พูดอะไรที่สื่อไปยังเรื่องนั้น ส่วนพี่กริชฉันตื่นไม่ทันตอนเขาไปทำงานแต่คิดว่าเขาก็ยังทำตัวปกติ ไม่มีอะไรน่าตกใจ ฉันแค่ฝันไปเองก็เท่านั้นแหละ เมื่อขึ้นรถมาได้ฉันก็จัดการเชื่อมโทรศัพท์เข้ากับรถของอีกฝ่ายจากนั้นก็เปิดเพลงที่ชอบทันที เสียงเพลงดังคลอเบา ๆ ในรถขับกล่อมให้ใจเย็นเวลาเจอรถติด ใช้เวลาสักพักก็มาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ร้านโปรด
“ลุงคะ หมี่ขาวสอง เกาเหลาหนึ่ง กุ้งแช้น้ำปลาสอง กลับบ้านค่ะ”
“ได้ลูก นั่งรอก่อน” ลุงที่ยืนอยู่หลังหม้อต้มน้ำซุปขนาดใหญ่เอ่ยบอกฉันพร้อมกับรอยยิ้มใจดีฉบับคนสูงอายุ
“เฮ้อ โล่งอกไปเนอะ นึกว่าจะต้องตกงานกันหมดเสียแล้ว” เสียงพนักงานคุยกันอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลจากที่ฉันนั่งรอก๋วยเตี๋ยว
“จริง เจ้าของร้านคนใหม่ดูพร้อมเซ้งต่อจากเจ๊อ่ะ”
“เขามีเงิน เขาจ้างเราต่อก็ดีมากแล้ว เราก็ตั้งใจทำงานต่อ”
“อื้อ ขอบคุณเขามากแต่เขาบอกว่าอาจจะปรับปรุงร้านเพิ่มเติม แต่อาจจะค่อย ๆ ทำไปเพราะไม่อยากให้ร้านปิด”
“อื้อ เอาละ ไปเสิร์ฟโต๊ะเจ็ด”
“จ้าป้า”
มีคนมาเซ้งร้านก๋วยเตี๋ยวแล้วอย่างนั้นเหรอ ดีจังเซ้งแล้วร้านก็ยังอยู่เหมือนเดิมฉันก็จะได้มาซื้อทุกวัน ระหว่างที่รอก๋วยเตี๋ยวเสร็จฉันก็เดินไปสั่งเครื่องดื่มหวาน ๆ สองแก้วให้ตัวเองและแม่หมี่ เดินกลับมาก็รับถุงก๋วยเตี๋ยวจ่ายเงินแล้วเดินกลับมาขึ้นรถ ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวแบบนี้เครื่องดื่มหวาน ๆ ช่วยได้เยอะเลยนะ ฉันพยายามสะกดจิตตัวเองไม่ให้ดูเผื่อกปั่นในแก้วก่อนถึงบ้าน เพราะถ้าดูดหนึ่งครั้งมักจะมีครั้งที่สองสามสี่จนหมดแก้วและฉันก็จะอิ่มก่อนได้กินก๋วยเตี๋ยว
“ฝนจะตกไหมเนี่ย” ฉันพึมพำกับตัวเองเสียเบาเมื่อมองเห็นท้องฟ้าด้านนอกเริ่มเปลี่ยนสี ช่วงนี้อากาศแปรปรวนมากจริงนะหนึ่งวันสามฤดู พอเลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้านมาได้เล็กน้อยฝนก็เริ่มลงเม็ดและแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนฉันขับมาถึงบ้าน ฉันจอดรถที่รั้วบ้านยังไม่ทันที่จะได้ลงจากรถไปเปิดประตูรั้ว ก็เห็นลุงคง พ่อของพี่กริชกางร่มเดินเข้ามาใกล้ประตูรั้วจากนั้นท่านก็เปิดประตูรั้วให้ เมื่อขับรถเข้ามาจอดที่โรงจอดรถ ท่านก็ปิดระตูและเดินมาทางฉัน
“คุณลุงสวัสดีค่ะ”
“สวัสดีลูก ไป ๆ เข้าบ้านก่อนโดนฝนแล้วจะเป็นหวัดได้” คุณลุงคงบอกมาแบบนั้นฉันก็รีบหอบหิ้วถุงก๋วยเตี๋ยวจากท้ายรถแล้วเดินเข้าไปในบ้าน ฉันไม่รู้ว่าคุณลุงมา เมื่อวานนึกว่าตัวเองฝันไป เลยไม่ได้ซื้อมาเผื่อท่าน
“มาแล้วเหรอลูก หนูจะกินเลยไหม แม่บ้านทำกับข้าวอีกสองอย่างเผื่อหนูอยากกินข้าวด้วย”
“แค่ก๋วยเตี๋ยวก็อิ่มแล้วค่ะแม่ แม่กินพร้อมกับหนูเลยไหมคะ”
“ได้ลูก จะเที่ยงแล้วนี่เนอะ งั้นเรากินมื้อเที่ยงกันเลยดีกว่า” แม่หมี่ชวน ลมเย็น ๆ พักเข้ามาในบ้านเมื่อแม่หมี่เปิดประตูตรงเฉลียงบ้านไว้ให้ลมโกรก ฝนตกปรอยปรายแบบนี้อากาศดีมาก ๆ เลยล่ะ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จฉันจะขอตัวขึ้นไปทำงานต่อให้เสร็จแล้ว อากาศดีมีแรงทำงาน ทำงานก็จะมีเงิน
“แม่จะกินก๋วยเตี๋ยวกับลูกเหรอ”
“...”
“แม่ คุยกับพ่อหน่อยครับ” ลุงคงถามแต่แม่หมี่เงียบ ฉันไม่รู้ว่าทั้งคู่ทะเลาะหรืองอนอะไรกันไหมแต่ฉันว่าน่าจะเป็นเรื่องที่อ่อนไหวน่าดูเพราะแม่หมี่ไม่คุยไม่มองหน้าลุงคงเลย คนที่ทำหน้าที่ง้อภรรยาก็ไม่มีท่าทีท้อถอยเช่นเดียวกัน ให้ท่านทั้งสองได้คุยกันเองดีกว่านะ
“แม่คะ ลุงคง มากินข้าวกันค่ะ”
“จ๊ะลูก” แม่หมี่ขานรับ ส่วนลุงคงมองฉันด้วยท่าทีแสนงอน อีกไรอ่ะ ฉันทำอะไรผิดไปอย่างนั้นเหรอ
“ทำไมไม่เรียกพ่อว่าพ่อบ้างล่ะ เรียกแต่ลุง แบบนี้พ่อก็น้อยใจเหมือนกันนะ” ลุงคงเอ่ยออกมาตรง ๆ ฉันขำเล็กน้อยก่อนจะส่งยิ้มอ้อน ๆ ส่งกลับไปให้ท่าน
“ไม่งอนนะคะ ต่อไปหนูจะเรียกว่าพ่อก็ได้ค่ะ”
“ดีลูก ไปกินข้าวกันเถอะ”
“น้องเฟื่องพี่กริชจะกลับตอนไหนนะลูก” เรานั่งกินข้าวกันไปสักพักแม่หมี่ก็ถามเสียงเบา ดูท่าแล้วท่านแทบจะไม่แตะกับข้าวที่ถูกตักมาใส่จานโดยพ่อคงเลย นอกจากกินก๋วยเตี๋ยวที่ฉันซื้อมาเงียบ ๆ
“วันนี้น่าจะเย็นเลยค่ะแม่ หกโมงเย็นพี่ก็คงถึงถ้ารถไม่ติด”
“งั้นเราไปกินข้าวนอกบ้านกันดีไหม รอพี่กลับมาก่อน”
“ได้ค่ะแม่ แม่กินเยอะ ๆ เลยนะคะ อันนี้ของโปรดหนูเลยค่ะ”
“จ๊ะลูก”
บรรยากาศอึมครึมระหว่างแม่หมี่และพ่อคงทำให้ฉันเอ่ยขอตัวขึ้นห้องพักทันทีหลังจากกินข้าวเสร็จ ฉันบอกพวกท่านว่าจะขอกลับขึ้นมาทำงานเพราะถึงกำหนดส่งแล้ว แม่หมี่เองก็เข้าใจให้ฉันกลับมาทำงานส่วนพ่อคงก็นั่งง้อแม่หมี่อยู่แบบนั้น ง้อโดยที่อีกฝ่ายพยายามปฏิเสธการสนทนาทุกประโยค
นั่งทำงานไปสักพักใหญ่เพื่อนสนิทที่อยู่ห่างกันไกลก็โทรเข้ามา ด้วยความคิดถึงฉันจึงกดรับสายวีดีโอคอลกลุ่มทันทีจากนั้นก็วางโทรพิงกับแก้วน้ำโดยที่หน้าจอยังจับภาพมาที่ฉันอยู่ รอสักพักสัญญาณอินเทอร์เน็ตของเราทั้งสามคนก็เชื่อมกันสำเร็จ
(เป็นจั่งได๋สาว) เสียงแหลม ๆ ของกลัฟ เพื่อนชายใจสาวเอ่ยทักเป็นคนแรก
(translation please) หยก เพื่อนสาวคนสนิทเอ่ยกลับไปจากนั้นก็ได้ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างพอใจดังมาจากกลัฟ
(เป็นยังไงกันบ้าง เงียบหายไปเลย) กลัฟถามด้วยน้ำเสียงปกติ ด้านหลังยังมีคนเดินไปมาคาดว่าจะน่าเป็นแฟนของกลัฟนั่นแหละ
“งานเยอะมาก”
(รับเยอะเหรอเดือนนี้) หยกถามฉันบ้าง
“ใช่ เยอะอยู่ แล้วทางนั้นเป็นไงกันบ้าง” ฉันถามกลับ ฉันมีเพื่อนสนิทสองคนคบกันตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงตอนนี้ พอเรียนจบกลัฟก็กลับไปช่วยงานพ่อกับแม่ที่สระบุรี ส่วนหยกพอจบก็สมัครงานที่บริษัทในกรุงเทพและฉันเองก็ทำงานฟรีแลนซ์ เกี่ยวกับกราฟฟิกดีไซด์ เกี่ยวกับการวาดปกนิยายหรือการออกแบบ Give away หรือจะเรียกง่าย ๆ ว่าของแจกเวลามีงานต่าง ๆ นั่นแหละ ตอนนี้งานที่ค้างอยู่เป็นปกนิยายของนักเขียนคนหนึ่งที่ติดต่อเข้ามา ตอนนี้เหลือลงสีและเก็บรายละเอียดอยู่มากทีเดียว
(เอายังไงไปเที่ยว) เสียงกลัฟถาม
(แกขึ้นมาหาฉันที่กรุงเทพพักกับฉันหนึ่งคืนเช้าวันศุกร์ค่อยเดินทางไปพร้อมกัน) หยกเป็นฝ่ายเอ่ยชวน
(เอาแบบนั้นก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้เย็น ๆ จะขึ้นไปหา)
“ได้ ๆ เออ วันก่อนเราเห็นรีวิวร้านกาแฟที่พัทยาอ่ะ พาไปด้วยด้วยได้ไหม”
(ได้อยู่แล้ว แต่เอารถฉันไปใช่ไหม)
“รถแกหรือรถฉันได้หมดนะ เอางี้แกขับรถมาจอดที่คอนโดไอ้หยก เดี๋ยววันเดินทางฉันจะออกไปรับจะได้ไม่ต้องวนไปมา” ฉันเสนอ
(ตามนั้นเลยจ๊ะ // คุณกลัฟครับ มีลูกค้าเข้ามาสั่งทรายครับ // ชะนี แปบนะขายของก่อน) พูดจบกลัฟก็ปปิดไมค์แต่ยังเปิดกล้องอยู่ ฉันจึงคุยกับหยกต่อ มองเพื่อนบ้างมองดูหน้าจอคอมบ้างสลับกันไป ฉันคุยกับเพื่อนนานเกือบชั่วโมงครึ่ง พอถึงเวลาสมควรก็วางสายและตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยที่ไม่ได้สนใจเวลาอีกเลย จวบจนเสียงเคาะประตูและบานประตูถูกเปิดเข้ามา พี่กริชเดินเข้ามาในห้องนั่งลงที่ปลายเตียงจ้องมองฉันอย่างสนใจ แววตาเขาที่มองมาดูพราวระยิบจนน่าตี
“มองอะไรขนาดนั้นคะ”
“หึ มองก็ไม่ได้หรือไง” เขาแกล้งถามกลับ
“ไม่ได้ ไม่ให้มอง”
“งอแงจังวันนี้ เป็นไงทำอะไรบ้างวันนี้” เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างรู้งาน และเพิ่งจะสังเกตเอาตอนนี้ว่าเขาน่าจะอาบน้ำเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วเรียบร้อย เพราะปกติเขาจะใส่เสื้อเชิ้ตไปทำงานแต่ตอนนี้กลับสวมเพียงเสื้อยืดกางเกงขาสั้น
“ก็ออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวค่ะ กลับมากินพร้อมกับพ่อแม่ เสร็จแล้วก็ขึ้นมาทำงานยาว ๆ เลย”
“งั้นเหรอ ไปเปลี่ยนชุดได้แล้วจะพาไปกินข้าว”
“กินที่ไหนคะ หนูไม่ไปได้ไหม” ฉันไม่ชอบเลยเวลาต้องออกไปกินข้าวข้างนอกพร้อมกับพี่กริช ไม่ชอบที่มีสายตาหลายคู่จ้องมองมาทางเรา
“ไม่ได้ ไปเปลี่ยนชุด เดี๋ยวพี่ไปรอข้างล่าง อย่าอิดออดเพราะพ่อกับแม่ไปด้วย” เขาสั่งเสียงเข้ม ไม่รอฟังคำคัดค้านจากฉันเลยสักประโยค เมื่อประตูห้องปิดลงฉันถึงกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความหงุดหงิด ฉันอยากจะทำงานให้เสร็จทำไมเขาไม่ฟังฉันบ้าง ถึงแม้จะไม่พอใจแต่ฉันก็ยอมบันทึกงานและเดินไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ ก่อนออกจากห้องฉันปิดคอมพิวเตอร์ปิดไฟปิดแอร์เสร็จถึงได้ยอมเดินออกจากห้อง ภายในบ้านมีเพียงไฟตรงห้องนั่งเล่นที่ถูกเปิดอยู่ เสียงรถถูกสตาร์ทรอแล้วที่หน้าบ้าน ไอเอ็กสามคันสวยเป็นยานพาหนะของเราในครั้งนี้ เมื่อปิดประตูรั้วบ้านเสร็จก็เดินเข้าไปใกล้รถตั้งใจจะเปิดประตูรถด้านหลัง มือที่กำลังยื่นไปชะงักเล็กน้อยเมื่อกระจกด้านหน้าฝั่งข้างคนขับก็ถูกเลื่อนลง
“นั่งด้านหน้า” เสียงพี่กริชเอ่ยบอก ฉันจึงเดินมาเปิดประตูด้านหน้าคู่คนขับแทรกตัวเข้าไปนั่ง แอร์ภายในรถเย็นฉ่ำบ่งบอกว่าอีกฝ่ายสตาร์ทรถรอได้สักพักแล้ว เบาะด้านหลังมีแม่หมี่และพ่อคงนั่งอยู่
“อยากกินอะไรครับ” พี่กริชเป็นฝ่ายถามระหว่างที่กำลังเคลื่อนรถออกจากหน้าบ้าน
“แล้วแต่พี่เลยค่ะ”
“ปิ้งย่างไหม อยากกินหรือเปล่า”
“กินได้ค่ะ”
“ไปกินข้าวดีกว่าไหม...พ่อจะได้ชวนเพื่อนออกมาด้วย...” พ่อคงเอ่ยแทรกเข้ามา ฉันเงียบเสียงไปไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“งั้นไปส่งเขาที่ร้านอาหาร แล้วเราค่อยไปร้านปิ้งย่างลูก” แม่หมี่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบที่เกิดขึ้น
“คุณหมี่ ทำไมไม่ฟังผมบ้าง”
“คุณต่างหากที่ไม่ยอมฟังฉัน”
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมไอของพี่กริชทำให้ทั้งพ่อและแม่เขาเงียบไป ตอนนี้ภายในรถเลยมีเพียงเสียงเพลงที่คลออยู่เบา ๆ เป็นแนวเพลงที่ฉันฟังไม่ว่าจะรถฉันหรือรถพี่กริชเพลงที่เปิดในรถล้วนเป็นเพลงที่ฉันชอบฟังทั้งนั้น เขาเองก็ไม่เปลี่ยนหากต้องใช้รถ ไม่รู้เหมือนกันเวลาเขาไปข้างนอกแล้วมีคนอื่นไปด้วยแล้วเขาจะตอบว่ายังไงหากถามว่าฟังเพลงแนวนี้เหรอ
“เฟื่อง”
“คะ?”
“ไปปิ้งย่างร้านนั้นกันไหม ร้านที่เราบอกว่าอร่อยตอนไปกินครั้งก่อน”
“พ่อกับแม่ต้องกินข้าวไม่ใช่เหรอคะ เราไปร้านข้าวก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไรลูก เอาร้านที่หนูอยากกินเลยแม่ยังไงก็ได้ แม่อยากลองอะไรใหม่ ๆ ด้วยน่ะ”
“งั้นไปร้านปิ้งย่างกันนะคะแม่”
“จ๊ะลูก”
“อย่าเล่นโทรศัพท์ตอนนั่งรถครับ” คนที่ทำหน้าที่ขับรถอยู่หันกลับมาดุเสียงเข้ม ฉันที่เล่นโทรศัพท์อยู่ก็รีบเก็บโดยเร็ว พี่กริชน่ะ ใจดีก็ใจดีอยู่หรอกแต่อย่าให้ดุเลย ฉันกลัว
“อย่าดุน้อง” แม่หมี่เอ่ยห้ามพี่กริชเสียงเข้ม ฉันลอบยิ้มดีใจอย่างน้อยแม่หมี่ก็เข้าข้างฉัน
“ใช่ ๆ อย่าดุน้อง” ฉันบอกย้ำประโยคที่แม่หมี่พูดกับพี่กริช คนที่ขับรถอยู่หันมามองแวบหนึ่งก่อนจะกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ว่ายิ้มเพราะอะไร
“ก็น้องดื้อพี่ก็ต้องดุ”
บ้าจริง! ไปหมดแล้วสมงสมองฉัน เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ ของเขาทำเอาหัวใจฉันเต้นแรงตึกตักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บ้าไปแล้ว นี่ฉันเป็นอะไรไป!!