ตอนที่ 3 แผนหนึ่งเริ่ม

1849 คำ
ตอนที่ 3 แผนหนึ่งเริ่ม เมื่อได้พบหน้าชายหนุ่ม ตำแหน่งเขานั้นเป็นถึงองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเป่ยซาน ผู้ซึ่งมีนามว่าเป่ยเฟยเทียน ชายผู้นี้มิใช่มีดีแค่ใบหน้าและรูปร่าง อีกทั้งสติปัญญานั้นเฉลียวฉลาดยิ่งนัก นางละเลยความห่วงใยของเขาไปแล้วกี่ครั้งกี่หนกัน เมื่อนึกย้อนกลับมาก็น่าอนาถใจนัก “ข้ามิใช่เด็กตัวเล็ก ๆ ให้ท่านมาเช็ดน้ำตาให้อีกแล้วนะ นับตั้งแต่นี้ข้าจะเข้มแข็งมิอ่อนแออีกแล้ว” นางยืนกรานเสียงแข็ง แววตาแน่วแน่กว่าทุกครั้งเป็นไหน ๆ ไท่จื่อกดยิ้มเล็กน้อย แล้วยกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กสาวเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูปนขบขัน “เจ้าอายุเพิ่งสิบห้าเอง จะรีบโตไปไย อยู่เล่นเป็นเพื่อนของข้าเสียก่อน” เขามิเคยเชื่อถ้อยคำของนางนัก สตรีเรียบร้อยอ่อนหวานถูกอบรมมารยาทอันพึงมี จะเข้มแข็งหรืออ่อนแอมิใช่เรื่องแปลก แต่ที่แปลกคือนางสุขุมขึ้นน้ำเสียงหนักแน่น อีกทั้งท่าทางของนางช่างดูทระนงตนเสียยิ่งกระไร “ไม่ว่าเจ้าจะโตหรือเด็ก จงจดจำไว้ว่า ยังมีพี่ชายผู้นี้เป็นที่พักพิงและให้คำปรึกษาขอให้นึกถึงข้าเป็นคนแรกเข้าใจหรือไม่” ทั้งคู่พูดคุยกันระหว่างทางเดินไปยังตำหนักใหญ่ของฮองเฮา ผู้กุมอำนาจวังหลังอย่างแท้จริง แม้แต่เสียนเฟยหรือโจวกุ้ยเฟยยังต้องเกรงอกเกรงใจ “เช่นนั้นคืนนี้ข้าไม่อยากกลับจวน ขอนอนอยู่กับท่านป้าฮองเฮาได้หรือไม่เจ้าคะ” เพราะพรุ่งนี้ย่อมมีเหตุการณ์มิคาดฝันเกิดขึ้นเป็นแน่ ผู้ใดเล่าจะมีอำนาจนอกเสียจากจะเป็นฮองเฮา ซึ่งมีฐานะสูงส่งมากด้วยอำนาจ แล้วยังเป็นสหายกับมารดาของนางอีกด้วย เช่นนั้นแล้วคืนนี้จะเป็นผลดียิ่งนัก หากได้ค้างคืนที่ตำหนักเหวินหนิง ตำหนักนี้ส่วนมากฮ่องเต้ประทับออกบ่อยครั้ง ดังนั้นแล้วหากวันนี้นางจำไม่ผิด ฮ่องเต้ย่อมต้องประทับอยู่กับท่านป้าฮองเฮาอย่างแน่นอน “เหตุใดจะไม่ได้เล่า ห้องตำหนักของท่านแม่มีเยอะแยะไป หากเจ้าไม่ชอบละก็ ไปพักยังตำหนักเหวินเทียนของข้าก็ได้” ชายหนุ่มอมยิ้มกรุ้มกริ่มนัก แววตาพร่างพราวมองหญิงสาวด้วยหัวใจอันฟูฟ่อง “ชายหญิงมิควรใกล้ชิดกัน ท่านพูดเล่นหยอกเย้าแต่พองามเถิด หากผู้ใดคิดเกินเลยไปจะทำเช่นไรเจ้าคะ” เด็กสาวกล่าวน้ำเสียงเครียด สีหน้าจริงจังยิ่งนัก แม้จะรู้สึกดีใจมีเขาคอยช่วยเหลือปกป้อง แต่เรื่องที่นางกำลังคิดวางแผนนั้น สองมือคู่นี้ย่อมต้องเต็มไปด้วยคราบเลือด “ข้าปรารถนาให้มันกลายเป็นเรื่องจริง” เขาตัดสินใจเอ่ยสารภาพความรู้สึกกับนางไปตามตรง แต่ทว่านางมิได้ชะลอฝีเท้า กลับย่างก้าวเดินเหม่อลอย ทอดทิ้งให้เขาเดินตามแผ่นหลังของนาง แม้กระทั่งสาวใช้ยังก้มหน้าซ่อนความปีติยินดีจนพวกนางเผลอยิ้มออกมาในที่สุด “หนี่ว์เอ๋อร์ รอข้าก่อน” เขาเร่งฝีเท้าตามร่างบอบบาง เหมือนมีบางอย่างขวางกั้นเอาไว้ ทำให้เขาเข้าไปไม่ถึงหัวใจดวงน้อย ๆ ที่เขาปรารถนาครอบครองมาเนิ่นนาน สีหน้าและท่าทางที่ไร้เดียงสาน่ารักน่าเอ็นดูนั้น หายไปไหนเสียแล้วหลงเหลือเด็กสาวท่าทางเคร่งขรึม เมื่อผู้ถูกเอ่ยเรียกได้สติ นางก็เดินมาถึงยังตำหนักของผู้เป็นท่านป้าฮองเฮา นางหยุดยืนหน้าตำหนัก เงยหน้าขึ้นมองป้ายอันทรงเกียรติ แล้วจึงเอ่ยกับนางกำนัลด้านหน้าทั้งสองซึ่งยืนรอรับใช้ปรนนิบัติผู้เป็นนายอยู่ด้านใน “รบกวนพี่จื่อจีกราบทูลท่านป้าให้ข้าด้วย” “มากับเปิ่นไท่จื่อไยต้องมากพิธีด้วยเล่า เสด็จแม่อยู่ข้างในกับเสด็จพ่อหรือไม่” ชายหนุ่มส่งเสียงต่ำ แต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยอำนาจ นางกำนัลจื่อจียอบกายลงอย่างงดงาม มิกล้าเงยหน้าสบตาผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ ซึ่งตำแหน่งรองลงมาจากบิดาแห่งแว่นแคว้นเท่านั้น “เชิญเพคะ ทั้งสองพระองค์กำลังอยู่ในห้องเดินหมากเพคะ” จื่อจีกล่าวรายงาน จากนั้นจึงเดินนำทางทั้งสองเข้าไปด้านในของตำหนัก “หนี่ว์เอ๋อร์ กำลังโกรธข้าหรือ” เมื่อเห็นนางเงียบเช่นนี้ จิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วกังวลใจนัก เกรงว่านางจะไม่ชมชอบคำพูดของเขา นางคงกำลังกรุ่นโกรธเขาเป็นแน่ เพราะในใจของนางนั้นล้วนมีแต่น้องชายต่างมารดา แต่ทว่าฐานะของเขากับนางนั้นคือพี่ชายที่นางมักเอ่ยปากเช่นนี้เสมอ แม้เจ็บปวดใจเพียงใดฝืนทนสักแค่ไหน แต่ก็ยังได้ใกล้ชิดนางเพียงแค่นี้ก็สุขใจมากแล้ว “ข้ามิได้โกรธท่านเจ้าค่ะ ข้าแค่กำลังใช้ความคิด” จะตีงูต้องตีให้ตาย นางจะต้องเริ่มจากจุดไหนก่อนเดินหมาก หากเดินนำหน้าองค์ชายสามหนึ่งก้าวย่อมเป็นผลดีนัก และวันนี้นางก็เดินนำหน้าชายผู้โฉดชั่วผู้นั้นแล้ว จิตใจของเขาทำด้วยอะไรกันโหดเหี้ยมเลวทรามยิ่งนัก แม้แต่เลือดเนื้อของเขาก็มิแยแส ถ้าหากพรุ่งนี้ย่อมไม่มีเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีกครั้ง สมรสพระราชทานและราชโองการย่อมไม่เกิด นางภาวนาอ้อนวอนขอร้องให้สวรรค์เห็นใจนางอีกสักครั้ง ขออย่าให้หายนะนั้นมาเยือนนางด้วยเถิด ซึ่งวันเวลากว่าจะผ่านพ้นไปในแต่ละวันนั้น มันช่างยาวนานเหลือเกิน ความเจ็บปวดทรมานเจียนตายมันยังฝังรากลึกในจิตใจ และจดจำได้ขึ้นใจถึงความโหดเหี้ยมอำมหิต ด้วยเพราะเป่ยหรงจิ่นมีใจเอนเอียงเข้าข้างนางปีศาจจิ้งจอกนางนั้นได้ดี ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม จะต้องลากพวกมันทั้งสองลงนรกให้ได้ แต่การเดินหมากครั้งนี้ หากมิคิดให้รอบคอบถี่ถ้วนนั่นเท่ากับรนหาที่ตาย “เจ้ามีสิ่งใดให้คิดกัน มานี่เร็ว ๆ เข้า เด็กดีของป้า มิเจอกันหลายเดือนโตขึ้นมากจริง ๆ” น้ำเสียงหวานเอ่ยขึ้นเมื่อได้พบหน้าบุตรสาวของสหายรัก นางยกมือกวักเรียกพร้อมกับระบายยิ้มละมุนละไมมอบให้เด็กสาวใบหน้าสะสวย ซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าวางตัวเรียบร้อยน่ารักยิ่งนัก “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท ถวายบังคมเพคะท่านป้าฮองเฮา” ด้วยเพราะทุกครานางมักเรียกขานเช่นนี้เสมอมา ด้วยเพราะว่านางได้รับความเอ็นดูจากฮองเฮาผู้เป็นมารดาแผ่นดินเสมอ มิต้องใช้ถ้อยคำราชาศัพท์เพราะสนิสนมและคุ้นเคยกันมานานแสนนาน “ตามสบายเถิด อาการเป็นเช่นไรบ้าง ดีขึ้นแล้วหรือยัง” เป่ยเฟิ่งหวงฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยเอ่ยสอบถามเด็กสาวเบื้องหน้า พบว่าใบหน้าของนางยังดูอิดโรยเช่นนี้พระองค์ไม่สบายใจยิ่ง “ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วงเพคะ อาการดีขึ้นมาแล้ว แต่ว่า...” จางชิงหนี่ว์ถูกไท่จื่อประคองให้นั่งลงยังเก้าอี้ ความเป็นห่วงเป็นใยดูแลเอาใจใส่นางนั้น ทุกการกระทำล้วนอยู่ในสายตาของผู้เป็นบิดาและมารดา “แต่ว่าอันใดกัน” เป่ยเฟิ่งหวงเลิกขึ้นอย่างสงสัย ในพระหัตถ์ยังคงมีหมากสีดำมิได้วางลงในกระดานชะงักค้างมองใบหน้าของเด็กสาวอย่างต้องการคำตอบ “ท่านพ่อ ท่านแม่ คืนนี้อนุญาตให้นางค้างที่ตำหนักนี้ได้หรือไม่ ยามนี้ก็ดึกดื่นแล้ว เกรงว่าการเดินทางในยามค่ำคืนจะไม่สะดวกนักแล้วยังเป็นสตรี หากเกิดมีโจรดักปล้นขึ้นมาระหว่างจะทำเช่นไร” ชายหนุ่มจึงชิงตอบคำถามเสียก่อน ด้วยเพราะเป็นห่วงเด็กสาวจึงมีความกังวลพาดผ่านดวงตาคมกริบคู่นี้ เขานั่งอยู่เก้าอี้ข้าง ๆ หญิงสาวแล้วเหลือบมองใบหน้าซีดเซียวรู้สึกเป็นห่วงนางยิ่งนัก หากเกิดเหตุร้ายระหว่างทางขึ้นมา เขาจะช่วยเหลือปกป้องนางทันได้อย่างไรกัน หรือว่าเขาจะต้องเดินทางไปส่งนางเองจึงจะปลอดภัยมากกว่า หากทำเยี่ยงนี้นางจะตั้งนั่งรถม้าไปอีกเกือบครึ่งชั่วยาม แล้วคงปวดเมื่อยเนื้อตัวไม่น้อย เพราะเพิ่งฟื้นจากหมดสติมาได้ไม่นาน จะนั่งรถม้านาน ๆ คงไม่ดีสักเท่าไหร่ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว มีทางเดียวคือขอร้องให้มารดาเอ่ยอนุญาต ให้น้องสาวผู้นี้พักอยู่ในตำหนักสักคืนก็มิได้เสียหายอันใดนัก “เป็นห่วงคุณหนูจาง จนออกนอกหน้าเสียขนาดนี้” สุรเสียงทุ้มอบอุ่นขององค์ฮ่องเต้ พลางลอบมองพระโอรสองค์โตเป็นระยะ แล้วพระพักตร์มีความสุขยิ่งนัก จึงหยอกเย้าพระโอรสของพระองค์เล็กน้อย เดิมทีคุณหนูจางผู้นี้เรียบร้อยอ่อนหวาน เหมาะสมคู่ควรกับพระโอรสยิ่งนัก ทว่าพระโอรสลำดับที่สามก็มีจิตปฏิพัทธ์ต่อคุณหนูจางเช่นเดียวกัน พระองค์ลำบากใจยิ่ง ซึ่งเห็นว่าพระโอรสทั้งสองมีจิตผูกสมัครรักใคร่ต่อสตรีผู้นี้ ทางด้านตำหนักฉางอัน “เหตุใดนางจึงมีท่าทีเปลี่ยนไปเช่นนี้” เสียนเฟยนั่งจ้องหน้าลูกชายอย่างเอาความ “ลูกจะรู้ได้อย่างไรกัน ก็ลูกนั่งอยู่กับท่านแม่ในนี้มิได้ทำอันใดผิดพลาด” นางฟื้นขึ้นมาก็มีทีท่าเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเขาจะทราบได้อย่างไรกัน “ไม่ได้การแล้ว เจ้าต้องรีบกราบทูลเสด็จพ่อ รับผิดชอบนางเสีย” เสียนเฟยลุกขึ้นยืนพร้อมกับสีหน้ากลัดกลุ้มครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา ดวงตาคู่สายมีแต่ความกังวลใจพาดผ่าน แผนการที่เริ่มต้นขึ้นจะพังลงมาไม่ได้เด็ดขาด “ข้าต้องรับผิดชอบอันใดกัน ท่านแม่ก็ทราบดีว่า ข้ามิเคยชอบนาง ข้าชอบ...” เป่ยหรงจิ่นอึดอัดใจเหลือเกิน ด้วยเพราะมิเคยมีจิตพิศวาสนางสักครั้ง ความน่ารักอ่อนหวานยังสู้สตรีที่เขาหลงรักปักใจไม่ได้ “หุบปากของเจ้าเสีย หากเจ้ายังคิดอยากช่วงชิงความไว้วางใจจากเสด็จพ่อ จงทำตามคำสั่งของแม่ มิมีใครหวังดีกับเจ้า สนับสนุนเจ้าเช่นแม่หรอกนะ” เสียนเฟยตะคอกเสียงเหี้ยม พร้อมกับยกนิ้วขึ้นชี้ใบหน้าของลูกชายอย่างเดือดดาล เพราะโง่งมในรัก จึงคิดอ่านอันใดตื้นเขินเพื่ออำนาจวาสนาแล้ว แม้ความรักจักต้องหักห้ามใจ “ข้าจะต้องทำเยี่ยงไรขอรับ เพื่อที่จะรั้งนางเอาไว้ ให้เป็นหมากชีวิตนำความรุ่งเรืองมาสู่พวกเรา” เมื่อเห็นมารดาเกรี้ยวกราด เขาจึงยินดีน้อมรับฟังความคิดเห็นของมารดา เพื่อสักวันหนึ่งเขาจะได้ครองรักกับหญิงอันเป็นที่รักอย่างผาสุก “ทูลขอสมรสพระราชทานกับนางเท่านั้น! หมากตัวสำคัญเยี่ยงนี้ จะทิ้งขว้างได้อย่างไรกัน!”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม