ณ บ่ายแก่ๆเริ่มเย็นในเดือนมกราคม ที่นี่ นิวแฮมป์เชียร์ ที่นี่ดูเหมือนว่าน้ำแข็งเริ่มละลายไปบ้างแล้ว นี่คือปี2023 อา...สิ่งที่คั่งค้างไว้ก็เริ่มกลับมาแล้ว ทุกอย่างในโลกดูเหมือนจะวนลูปไปไม่รู้จบ เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นที่นี่ ที่รัฐนี้ ผมจอนส์ จอนส์ ไวท์เฮาส์สันท์ เป็น...นายหน้าค้าที่ดินเทือกนั้น เรื่องของเรื่องคือในตอนนั้นวันเสาร์ที่เริ่มถึงเวลาตกเย็นแล้ว ผมที่นอนอยู่ที่โซฟากำลังนอนเยียดยาวอยู่นั้น ก็เกิดท้องร้องขึ้นมา ผมเห็นว่าตัวเองหิวแล้วจึงได้เดินไปในครัว ผมเปิดแล้วก็หดหู่ใจ เฮ้อ...มีแต่ของหวานที่ลูกเมียผมซื้อมา หึ! หวาน หวาน หวาน เฮ้อ! ผมจึงเดินไปที่รถแล้วขับมันไปที่ซุปเปอร์ฯแถวนี้เพื่อจะซื้อกับข้าวพวกเนื้อพวกผักที่ไม่ใช่พวกอาหารอ้วนๆที่คนอ้วนๆชอบกินกัน เมื่อไปถึงผมก็จัดการซื้อของ แต่พอเดินกลับ ผมก็เห็นพวกอันตพาลกำลังข่มเหงรังแกคนแก่ชาวเอเชียคนหนึ่งที่กำลังจะออกไปแต่ถูกพวกมันขวางไว้ ผมที่เห็นก็อดไม่ได้จึงได้เข้าไปห้ามเจ้าหนุ่มสามสี่คนนั้น ไอ้เปรตคนหนึ่งมันเลยต่อยหน้าผมแต่ผมหลบทันได้ มันพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าที่จะตีผมแต่ผมหลบได้บ้างปัดป้องบ้าง มันเลยเอามีดสปริงในเสื้อจะแทงผมเลยเอาหมัดเขวี้ยงตีมันจนล้ม เพื่อนของมันจึงล่าถอยไป ผมที่เป็นห่วงชายแก่จึงถามเขาว่า
"คุณตาไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ"
เขาเลยตอบผมว่า
"ขอบคุณคุณมากนะที่ช่วยผมไว้ มันเห็นว่าผมมีสร้อยทองแน่ๆมันเลยจะจี้ผม คุณเป็นผู้มีพระคุณต่อผมเพราะคุณช่วยให้ผมรอดจากวิกฤติครั้งนี้มา ผมไม่มีอะไรจะให้คุณมากมายนัก แต่ผมมีนี่"
แล้วชายแก่คนนั้นก็หยิบเอาแหวนวงหนึ่งมาให้ผม มันเป็นแหวนเงินที่มีแร่มูนสโตนประดับโดยมีพลอยสีแดงเม็ดเล็กติดอยู่ด้วย ผมที่เห็นจึงกล่าวกับเขาว่า
"นี่มันแร่มูนสโตนนี่ครับ เอ่อ...มันจะดีเหรอครับที่จะให้ผม"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ เอ่อ...ที่นี่เรียกแร่อันนี้ว่าหินพระจันทร์ แต่ที่ไทยบ้านผมเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า"มุกดา"แหวนนี้ผมได้จากลูกผมที่ไทยซึ่งมุกดาที่ประดับเป็นหนึ่งในอัญมณีที่ถูกปลุกเสกที่จังหวัดอยุธยาเมื่อแรมสิบห้าค่ำ คุณรับไว้เถอะ ถือเสียว่านี่คือค่าตอบแทนแล้วกันนะครับ"
ผมที่ได้รับแหวนนี่มาแบบงงๆก็ได้แต่กล่าวขอบคุณเขา เราแยกกันแล้วผมก็เดินทางกลับมาบ้าน ที่นั่นผมเอาข้าวของเข้ามาบ้าน เมื่อจัดการทำอะไรต่อมิอะไรเสร็จผมจึงเดินมาที่โซฟาเพื่อนอนหลับอีกครั้ง จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงลูกเมียผมก็กลับจากการไปเที่ยวที่บันจี้รูมสกายบีช เธอได้มาที่ผมแล้วปลุกให้ตื่น
"คุณค่ะ พวกเรากลับมาแล้วค่ะ"
จากนั้นลูกเมียผมก็นั่งอยู่ข้างกายผม ผมที่งัวเงียจึงถามเธอว่า
" กลับมาแล้วเหรอ มีอะไรเหรอถึงถึงได้ปลุกฉัน"
เมียผมจึงตอบว่า
" ก็ฉันเห็นแหวนหินจันทรกานต์นี่ติดอยู่กับนิ้วของคุณนี่ค่ะ"
เมื่อผมยันตัวลุกขึ้นนั่งสนทนาผมจึงไดอธิบายว่า
" คืออย่างนี้นะที่รัก ผมไปช่วยชายชาวเอเชียจากพวกอันตพาล แล้วเขาก็ได้มอบแหวนนี้ให้ผมเพื่อตอบแทนที่ช่วยเขาไว้"
ทันใดนั้น ก็เกิดได้ยินเสียงออดจากข้างนอกห้องดังขึ้นมาในบ้าน นั้นเป็นเสียงออดที่จินนี่ น้องสาวของผมกดนั้นเอง เมียผมออกไปรับแล้วพบว่าเธอกำลังร้องให้ ผมจึงได้ไต่ถามเธอว่า
" จินนี่ เธอร้องให้ทำไมกัน"
จินนี่เธอจึงเล่าไปพลางสะอึกสะอื้น
" ก็ทอมมี่นะสิ เขาทำตัวแปลกไป ตั้งแต่กลับมาจากไทยก็ทำตัวเย็นชามาก หลายวันเข้าเขาเริ่มก้าวร้าวมากขึ้น วันหนึ่งแทมเมอร์แม่ของทอมมี่เอาไม้กางเขนมาให้ เขาก็โกรธเป็นฟืนไฟตบมือของแม่เขาให้ไม้กางเขนร่วง เขากล่าวด้วยถ้อยคำรุนแรงจนแม่ของเขาร้องให้ เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ฉันกลัวเหลือเกิน"
"เอาหละๆทำใจดีๆไว้ เดี๋ยวเราจะไปหาเขาในวันพรุ่งนี้เพื่อคุยกัน อะไรกันนะไอ้เพื่อนคนนี้ สงสัยจริงนะว่าเขาเป็นอะไรถึงได้ทำตัวแบบนี้"
วันรุ่งขึ้นผมและจินนี่ก็ขับรถไปที่บ้านของทอมมี่ที่อยู่อีกแห่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านของผมมากนัก เมื่อผมมาถึงผมเห็นแม่ของเขากำลังรำพึงรำพันถึงบุตรชายของข้างนอกถึงสิ่งที่แปรเปลี่ยนไป
" ฮือ!... ทอมมี่น้อยของแม่ ทอมมี่ เมลเวอร์ริคซ์ผู้อ่อนโยน ฮือ...! ทำไมถึงกลายเป็นคนใจร้ายไปซะได้ โถ!..."
ผมที่เห็นเธอจึงได้ถามนางว่า
"คุณป้าแทมเมอร์ครับ ทอมมี่เขาอยู่ที่ไหนฮะ"
" ฮึก! อึก! อยู่ที่ห้องทำงานของเขาจ้ะ"
ดังนั้นแล้วผมจึงได้เดินพาจินนี่ไปที่ห้องโดยทิ้งนางแมเรียนผู้เป็นมารดาไว้ข้างหลัง ผมเดินไปถึงห้องแล้วจึงได้เปิดเข้ามาในห้อง ในห้องนั่นที่เขาอยู่มีรูปวาดที่เต็มไปด้วยการขีดเขียนบนกระดาษ บรรยากาศมืดดำมีเพียงแสงแดดลอดเข้ามาเท่านั้น ที่นั่น ตรงกลางห้อง ทอมมี่กำลังวาดขีดดินสอจนดินสอกุดไป ผมมองภาพนั้นอย่างพิเคราะห์แล้วเห็นว่ารูปภาพเหล่านั้นต่างเชื่อมโยงถึงกัน แต่ทันใดนั้นทอมมี่ที่วาดอยู่ก็เห็นผมจึงได้ขว้ารูปกลับไป ผมถามด้วยความสงสัยว่า
"แกทำอะไรอยู่วะ ทำไมไม่ออกไปสู่โลกภายนอกกับเขาบ้างวะ"
เพื่อนผมจึงตอบมาด้วยเสียงห้วนๆผิดไปจากธรรมดาที่ผมเคยรู้จัก
" ถอยไป แกสองคนถอยไปจากห้องของฉันได้แล้ว"
" ถอยไปเหรอ? "
ผมทวนคำพูดของเขา
"นี่ฉันเจมส์ ไวท์เฮาส์สันท์เพื่อนที่ปกป้องแกยี่สิบสี่ชั่วโมงไงหละ แกเป็นอะไรไป หมู่นี้แกดูใจร้ายและเย็นชามาก"
" ฉันบอกว่าให้ถอยไปไง! แกไม่ได้ยินเหรอ!"
เมื่อเป็นเช่นนั้นผมจึงได้กล่าวถามเพื่อที่จะช่วยเหลือเขา
" ฉันจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น แกเป็นอะไรของแกวะทอม แกเป็นบ้าอะไรของแกวะ นับแต่แกกลับจากไทยแกก็เปลี่ยนไป แกเป็นอะไรก็บอกซิ ไม่พอใจก็ระบายมาซิวะเพื่อน! ไม่ใช่มาลงอารมณ์กับคนอื่นอย่างนี้!"
เมื่อเป็นเช่นนั้นนายทอมมี่ก็ได้กล่าวว่า
"ถ้าแกยังไม่ออกไป ฉันตีแกแน่!"
ผมไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย แต่ผมเห็นแขนของทอมเข้า แขนของเขามีผ้าพันแผลอยู่ผมเลยถามว่า
"แขนแกไปโดนอะไรมาหนะ"
"แขนฉันจะเป็นอะไรนั่นมันไม่ใช่เรื่องของแก!! จะไปรึว่าไม่ไป ถ้าไม่ไป...เจ็บ!!"
ผมที่ไม่กลัวคนเป็นเพื่อนจึงได้กล่าวว่า
"ถ้าฉันไม่ไป แกจะทำอะไรฉัน"
ทอมมี่ที่ฟังก็เกิดบันดาลโทสะผิดวิสัยจึงขว้าหนังสือปกแข็งหมายจะตีผม ผมจึงใช้แขนจับแขนของอีกฝ่ายเพื่อหยุดหยั่งเขาไว้ ทันใดนั้นเขาก็เกิดปวดแสบปวดร้อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ จนกระทั่งเขาหมดสติไป เสียงที่ดังจากข้างบนทำให้แม่ของทอมมี่ขึ้นมาบนบ้าน เธอค่อนข้างตระหนกตกใจพอสมควร ผมจึงอธิบายให้เธอทราบ เธอเข้าใจแล้วจึงออกไปเพื่อหายามาปฐมพยาบาล เมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้งจึงได้ถามผมว่า
"นี่ฉันอยู่ที่บ้านได้ยังไงกันเนี่ย ก่อนปาร์ตี้ฉันก็อยู่ที่บ้านสินอมรอยู่เลย แล้วนี่แม่ เจมส์ และจินนี่ เธอ พวกเธอสองคนมาที่บ้านฉันทำไม นี่ฉัน เป็นอะไรไปเนี่ย?!"
ผมที่เห็นว่าเขาเป็นปรกติจึงได้ถามเขาว่า
" แล้วนี่นาย จำเหตุการณ์อะไรที่ไทยบ้าง"
เขาทำท่าคิดสักครู่ แล้วจึงนั่งเล่าประสบการณ์ที่ไทยว่า
"เมื่อฉันได้ไปเที่ยวปีใหม่ที่ไทย เอ๊บบอตเจ้านายฉันเธอได้พาฉันไปที่บ้านสินอมรพร้อมพวกพนักงาน ที่นั่นเปิดเป็นโรงแรมให้คนไปพัก แล้วเขาก็ให้พวกฉันไปปาร์ตี้ที่นั่น หลังปาร์ตี้ปีใหม่ฉันเมามากก็เลยให้เพื่อนที่ทำพาฉันไปที่ห้อง แต่ตอนฉันนอนฉันจำได้ลางๆว่า...มีชายคนหนึ่งเรียกฉัน หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้อีกเลย พอตื่นมาอีกทีฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย จินนี่ เธอช่วยเล่าตอนที่ฉันกลับมาได้มั้ย มันเกิดอะไรขึ้น"
จินนี่จึงได้เล่าให้แก่ทอมมี่ว่า
"เธอกลับมาไทยเมื่อสองสัปดาห์ก่อน เธอกลับมาบ้านเธอก็ทำตัวแปลกไป เธอไม่สุงสิงกับคนอื่น เอาแต่หลบตัวอยู่ในห้อง คอยแต่วาดรูปแปลกๆ พอฉันจะทำความสะอาดเธอก็ผลักไสไล่ฉันออกจากห้อง แม่เธอเห็นเข้าจึงเอาไม้กางเขนมาให้ เธอก็ตกใจตีแม่เธอแล้วด่าทอ..."
" บ้า! ฉันไม่เคยทำตัวอย่างนั้น อย่าว่าแต่ตีเลย ด่าฉันก็ไม่เคยด่าใคร! นี่ฉันทำอย่างนั้นจริงเหรอจินนี่!"
ทอมมี่ที่ไม่เชื่อจึงได้ถามจินนี่เพื่อรับรองคำตอบ
" มันเป็นเรื่องจริงทอมมี่ "
เมื่อเป็นเช่นนั้นทอมมี่จึงได้เอามือลูบหน้าตัวเองแล้วกล่าวถามคนเป็นแม่ว่า
" พ่อผมเขาว่าไงบ้างครับ "
นางแทมเมอร์จึงได้ตอบว่า
" พ่อของลูกเขาไปปรึกษากับบาทหลวง เขาเลยเอาสร้อยกางเขนเงินติดพลอยให้แกได้สวมไว้นี่ไง พ่อแกเล่าว่าสร้อยนี้ถูกลงเวทย์จากแสงแห่งพระเจ้ามาเจ็ดวันแล้ว"
เมื่อเป็นเช่นนั้นทอมมี่จึงขว้าสร้อยนั้นมาสวม เขาทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนปัดทั่วตัวแล้วขอพระจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนนับถือ
" โอ้พระแม่มารีผู้สถิตในจิตของลูกทุกนาม จงมาสถิตคุ้มครองลูกด้วยเถิด อาเมน"
ผมสงสัยในเรื่องผ้าพันแผลจึงถามเขาในเรื่องนี้ว่า
" แล้วตกลงแผลของแกเป็นอะไรวะ"
เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงแกะผ้าพันแผลออก สิ่งที่เห็นคือแผลของมีดที่ถูดกรีดให้เป็นรอย เขาตกใจมากกับเรื่องที่เห็น เราจึงปรึกษากันว่าเราจะสืบเรื่องนี้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น...
¢=}}ประเทศไทย}}>
ผม จินนี่ และทอมมี่พากันไปที่ไทยอีกครั้ง เขานำทางผมไปที่บ้านสินอมรในเวลากลางวัน ซึ่งอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี อำเภอสองพี่น้อง ที่บ้านสินอมรแห่งนี้เป็นโรงแรมซึ่งดูแล้วเคยเป็นบ้านเก่า แต่น่าจะถูกจัดใหม่ให้เป็นโรงแรม เมื่อผมเข้าไปผมก็ได้พบกับหญิงคนหนึ่ง เป็นหญิงวัยกลางคนอายุราวห้าสิบปี เธอถามผมด้วยภาษาอังกฤษอย่างชัดเจนว่า
"คุณจะพักที่นี่หรือคะ ดิฉันเป็นผู้จัดการโรงแรมและเจ้าของบ้านสินอมรแห่งนี้"
ผมจึงถามเธอว่า
"แล้วนี่มีห้องพักให้เรารึเปล่าครับ"
" มีค่ะ เชิญคุณสามคนมาที่โต๊ะอาหารนี่ก่อนค่ะ"
เมื่อสามคนมาที่โต๊ะอาหาร เธอจึงกล่าวถามว่า
"แล้วคุณจะรับกับข้าวอะไรดีคะ วันนี้มีปลาสลิด จะทำต้มส้มรึว่าฉูฉี่ก็ได้ รึว่าจะรับทานกับข้าวอื่น เรามีกุ้งผัดดอกแค ทอดหัวปลี แกงกะหรี่ รึว่าจะรับเป็นไข่ดาวไส้กรอกคะ"
เมื่อเป็นเช่นนั้นผมจึงสั่งว่า
"ถ้างั้นขอเป็นข้าวผัดกะเพรากุ้งผสมหมูกรอบ ผมได้ยินเพื่อนที่ไทยคนหนึ่งเขาแนะนำมาฮะ แล้วก็...เอ่อ...ขอน้ำพริกลงเรือและผักแหนมด้วยฮะ"
หญิงเจ้าของโรงแรมทำหน้าขมวดคิ้วยิ้มเล็กน้อย สงสัยในตัวผมที่สั่ง คงเพราะตั้งแต่ที่เธอทำโรงแรมมาก็ไม่มีคนต่างชาติเขาสั่งน้ำพริกเลย ผัดผักผัดกะเพราพอว่า แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เธอถามอีกสองคนว่า
" คุณสองคนจะรับอะไรดีคะ "
จินนี่สั่งอาหารก่อนที่ทอมมี่จะสั่งตาม
"ฉันขอเป็นผัดไทแล้วกันค่ะ"
"ผมขอเป็นผัดกะเพราซีฟู้ดมักโรนีแล้วกันครับ"
เธอผู้เป็นเจ้าของโรงแรมจึงจดบิลแล้วเดินไปมอบให้แก่คนครัว แล้วเธอก็ยกเครื่องดื่มจำพวกน้ำสมุนไพรไทยที่อัดลมจนซ่า สมัยนี้เครื่องอัดลมมีซื้อหากันได้ทั่วไปแล้ว ที่บาร์ของโรงแรมจึงทำให้โดยที่ไม่ต้องไปใส่โซดาให้เจือจาง ตอนนั้นเองผมจึงเรียกเธอให้มานั่งด้วยกัน
" คุณครับ คุณมานั่งเป็นเพื่อนผมก่อนครับ"
" ขอบคุณค่ะ "
ดังนั้นเธอก็มานั่งข้างผม ผมเลยถามพอเป็นพิธีว่า
"คุณชื่อว่าอะไรครับ"
" ชื่อประไพค่ะ ประไพ สินอมร แล้วคุณละคะ"
" ผมชื่อเจมส์ครับ เจมส์ ไวท์เฮาส์สันท์ ทำงานเป็นนายหน้าค้าที่ดินแถวนิวแฮมป์เชียร์ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมเธอคือน้องสาว ชื่อจินนี่ ทำงานเป็นครีเอเตอร์อยู่ที่เน็ตฟลิกซ์ คนที่ข้างกันนั่นชื่อทอมมี่ เขาเป็นแฟนน้องผมและก็...เป็นเพื่อนผมด้วย เขาเป็นนักเขียนการ์ตูนให้บริษัทหนึ่งเหมือนกัน"
เมื่อผมอธิบายจบ ผมก็มองไปที่รอบๆโรงแรม ซึ่งมีรูปภาพและการตกแต่งที่สวยงามใช้ได้ ผมจึงชมคุณนายประไพว่า
"โรงแรมนี้ถือว่าใช้ได้เลยนะครับ เสียอย่างเดียวห้องน้อยไปหน่อย ตามที่ผมอ่านดูในใบปลิวมีแค่เจ็ดห้องเท่านั้นเอง"
เมื่อผมพูดเช่นนี้ เธอก็ทำท่าเหนื่อยใจและหนักใจมาก เธอขมวดคิ้วย่นก้มหน้าเอามือกุมไปที่สันจมูกแล้วกล่าวว่า
"ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยมีคนเข้าเลยค่ะ"
เธอพูดเช่นนั้นผมจึงถามด้วยความสนใจ
"หมายความว่าไงครับ"
เธอเงยหน้าแล้วจึงกล่าวตอบไปด้วยอารมณ์เฉือยชา
" ถ้าอย่างนั้น ฉันก็จะเล่าอะไรเผื่อคุณจะได้เข้าใจ และบางทีพวกคุณอาจช่วยเหลือโรงแรมและบ้านของฉันให้เป็นปกติสุขสักที"
ในระหว่างที่เธอเล่า พนักงานบริกรซึ่งเป็นผู้ชายร่างเตี้ยโกร่งก็ยกอาหารมาให้พวกเรา คุณประไพจึงสั่งให้บริกรคนนั้นยกน้ำส้มมาบริการเธอ เรานั่งฟังด้วยความสนใจและประหลาดใจมาก เนื้อความก็มีประมาณนี้
" เมื่อปีค.ศ.1948 โรงแรมหลังนี้เคยเป็นบ้านของตระกูลฉัน คุณทวดของฉัน พระยาศิลป์สุรกานต์ดามพ์ตักษัย เป็นต้นตระกูลของบ้านสินอมรแห่งนี้ ท่านเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้และเป็นเจ้าของท่าเรือในกรุงเทพค้าขายขนส่งสินค้าหลายอย่าง แล้วท่านยังทำนาค้าข้าวได้เงินเป็นจำนวนมาก ในด้านครอบครัวท่านมีบุตรกับคุณนายคนหนึ่งในเมียหลายคนของท่าน และบุตรคนนี้แหละที่ทำให้ฉันต้องปวดหัวและเสียใจอยู่จนถึงทุกวันนี้"
ผมที่กินข้าวแล้วฟังเธอเล่ากำกวมอย่างนั้นผมจึงถามเธอว่า
" แล้วเขาคนนั้นทำไมถึงทำให้คุณหนักใจเหรอครับ แล้วเขาทำไมถึงทำให้คุณเสียใจจนถึงเวลานี้ทั้งๆที่เขาก็เอ่อ...เขาเป็นคนยังไงครับ"
แล้วเธอก็เล่าว่า
" บุตรของคุณทวดคนนั้น เขามีชื่อว่าอาร์ม อาร์มจบการศึกษาจากอินเดียสาขาวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ ในตอนเด็กเขามีอดีตฝั่งใจค่ะ แม่ของเขาถูกฝรั่งชาวอเมริกันฆ่าตาย ด้วยความแค้นเขาจึงเสาะหาเบาะแสและจับตัวครอบครัวของนายฝรั่งคนนั่น เขาฆ่านายฝรั่งอย่างทรมานแล้วจับลูกสาวไปเป็นเมียที่บ้านฟ้าคำรณซึ่งเป็นบ้านพักแยกจากบ้านนี้ ส่วนแม่ของเธอเขากลับขังไว้ในบ้านหลังหนึ่ง คุณทวดทราบก็ไม่อาจห้ามเขาได้เพราะญาติพี่น้องข้างเมียบังคับ ต่อมาเมียฝรั่งพาแม่ตนหนีเขาจึงออกตามล่า ปรากฏว่าเขาประสบอุบัติเหตุกลายเป็นคนพิการ ท่อนล่างเดินไม่ได้ ช่วงชีวิตสุดท้ายเขามักวาดรูปในบ้านฟ้าคำรณและเขียนหนังสือนิยายออกวางขายบ้าง เขาทนทุกข์ทรมานกับร่างกายนี้มาสี่ปี วันดีคืนดีเขาแอบเผาบ้านที่ตนพัก เมื่อคนใช้ดับไฟก็พบร่างของเขาปักมีดเสียบอกตายคาบ้านนั่น"
พวกเรากินข้าวไปแล้วฟังเธอเล่าด้วยความสนใจว่า
" หลังจากนั้นเป็นต้นมา ในทุกสี่ปี จะมีคนต่างชาติมาตายอยู่ที่นี่ไม่มากก็น้อย ในหลายครั้ง...ฉันเห็นข่าวก็อยากจะจากไปอยู่ที่อื่น แต่เพราะเป็นห่วงลูกหลานทางนี้ที่เรียนอยู่ ไหนจะเป็นห่วงคนงานในบ้านที่อยู่ทางนี้อีก"
ผมที่กินไปคิดไปก็เสนอว่า
"แล้วทำไมคุณไม่กำจัดผีตนนั้นหละครับ"
ประไพเธออธิบายแก่ผมว่า
"ฉันพาหมอผีหลายคนไปกำจัดเขา แต่ก็ไม่เป็นผลเลยค่ะ ส่วนมากถูกผีชาวต่างชาติที่ถูกครอบงำลุกขึ้นมากำจัดพวกเขาจนไม่กล้าต่อสู้ได้อีก"
ผมที่ฟังแล้วอดสงสารไม่ได้ จึงได้หยุดรับประทานอาหารแล้วกล่าวแก่เธอว่า
" ถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้มั้ยครับ พวกผมสามคนจะเอาคนมากำจัดผีตนนี้ให้ที่นี่หมดสมัยฆาตกรรมแบบโอลิมปิกเสียที"
แล้วทีนี้ผมก็เล่าเรื่องของตัวเองบ้าง เธอค่อนข้างตกใจพอสมควร เพราะในครั้งนี้ผีตนนี้มันสั่งการถึงนอกประเทศทีเดียว หลังจากกินข้าวเราก็ขึ้นไปพักในโรงแรมแห่งนี้ซึ่งที่เราพักถือว่าสะดวกสบาย มีอินเทอร์เน็ตใช้ มีไวไฟฟรี มีห้องพิเศษให้เช่า เป็นห้องเบอร์01 ที่ห้องนี้มีหลายอย่างสะดวกครบ ทั้งไฟฟ้า แอร์ ทีวี ตู้เย็น เตียงคู่ หนังสืออ่านเล่นหลายเล่ม น่าเสียดายที่มีหนังสือภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่เล่ม นอกนั้นเป็นนิยายภาษาไทย แต่ช่างเถอะ ประเด็นคือแอร์ห้องนี้เสียซะงั้น คุณประไพจึงให้เด็กรับใช้ยกพัดลมไอเย็นมาให้ ยังไงก็ตาม ตอนบ่ายพวกผมจึงพักผ่อนที่สระน้ำของโรงแรมกัน