This is an unlikely life experience.(นี่คือ​ประสบ​การ​ณ์ชีวิตที่ไม่น่าเกิดขึ้น)​

3243 คำ
ณ​ บ่ายแก่ๆเริ่มเย็นในเดือนมกราคม​ ที่นี่​ นิวแฮมป์เชียร์​ ที่นี่ดูเหมือนว่าน้ำแข็งเริ่มละลายไปบ้างแล้ว​ นี่คือปี2023 อา...สิ่งที่คั่งค้าง​ไว้ก็เริ่มกลับมาแล้ว​ ทุกอย่างในโลกดูเหมือนจะวนลูปไปไม่รู้จบ​ เรื่องทุกอย่างมันเกิดขึ้นที่นี่​ ที่รัฐนี้​ ผมจอนส์​ จอนส์​ ไวท์เฮาส์สันท์​ เป็น...นายหน้าค้าที่ดินเทือกนั้น​ เรื่องของเรื่องคือในตอนนั้นวันเสาร์ที่เริ่มถึงเวลาตกเย็นแล้ว​ ผมที่นอนอยู่ที่โซฟากำลังนอนเยียดยาวอยู่นั้น​ ก็เกิดท้องร้องขึ้นมา​ ผมเห็นว่าตัวเองหิวแล้วจึงได้เดินไปในครัว​ ผมเปิดแล้วก็หดหู่ใจ​ เฮ้อ...มีแต่ของหวาน​ที่ลูกเมียผมซื้อมา หึ! หวาน​ หวาน​ หวาน​ เฮ้อ!​ ผมจึงเดินไปที่รถแล้วขับมันไปที่ซุปเปอร์​ฯแถวนี้​เพื่อจะซื้อกับข้าวพวกเนื้อพวกผักที่ไม่ใช่พวกอาหารอ้วนๆที่คนอ้วนๆชอบกินกัน​ เมื่อไปถึงผมก็จัดการซื้อของ​ แต่พอเดินกลับ​ ผมก็เห็นพวกอันตพาล​กำลังข่มเหงรังแกคนแก่ชาวเอเชีย​คนหนึ่งที่กำลังจะออกไปแต่ถูกพวกมันขวางไว้​ ผมที่เห็นก็อดไม่ได้จึงได้เข้าไปห้ามเจ้าหนุ่มสามสี่คนนั้น​ ไอ้เปรตคนหนึ่งมันเลยต่อยหน้าผมแต่ผมหลบทัน​ได้​ มันพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า​ที่จะตีผมแต่ผมหลบได้​บ้างปัดป้องบ้าง​ มันเลยเอามีดสปริง​ในเสื้อจะแทงผมเลยเอาหมัดเขวี้ยง​ตีมันจนล้ม​ เพื่อนของมันจึงล่าถอยไป​ ผมที่เป็นห่วงชายแก่จึงถามเขาว่า "คุณตาไม่เป็นไรใช่มั้ยครับ" เขาเลยตอบผมว่า "ขอบคุณ​คุณมากนะที่ช่วยผมไว้​ มันเห็นว่าผมมีสร้อยทองแน่ๆมันเลยจะจี้ผม​ คุณเป็นผู้มีพระคุณ​ต่อผมเพราะคุณช่วยให้ผมรอดจากวิกฤติ​ครั้งนี้มา​ ผมไม่มีอะไรจะให้คุณมากมายนัก​ แต่ผมมีนี่" แล้วชายแก่คนนั้นก็หยิบเอาแหวนวงหนึ่งมาให้ผม​ มันเป็นแหวนเงินที่มีแร่มูนสโตนประดับโดยมีพลอยสีแดงเม็ดเล็กติดอยู่ด้วย​ ผมที่เห็นจึงกล่าวกับเขาว่า "นี่มันแร่มูนสโตนนี่ครับ​ เอ่อ...มันจะดีเหรอครับที่จะให้ผม" "ไม่เป็นไรหรอกครับ​ เอ่อ...ที่นี่เรียกแร่อันนี้ว่าหินพระจันทร์​ แต่ที่ไทยบ้านผมเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่า"มุกดา"แหวนนี้ผมได้จากลูกผมที่ไทยซึ่งมุกดาที่ประดับเป็นหนึ่งในอัญมณี​ที่ถูกปลุกเสกที่จังหวัดอยุธยา​เมื่อแรมสิบห้าค่ำ​ คุณรับไว้เถอะ​ ถือเสียว่านี่คือค่าตอบแทนแล้วกันนะครับ​" ผมที่ได้รับแหวนนี่มาแบบงงๆก็ได้แต่กล่าวขอบคุณ​เขา​ เราแยกกันแล้วผมก็เดินทางกลับมาบ้าน​ ที่นั่นผมเอาข้าวของเข้ามาบ้าน​ เมื่อจัดการทำอะไรต่อมิอะไรเสร็จ​ผมจึงเดินมาที่โซฟาเพื่อนอนหลับอีกครั้ง​ จากนั้นไม่กี่ชั่วโมง​ลูกเมียผมก็กลับจากการไปเที่ยวที่​บันจี้รูมสกายบีช​ เธอได้มาที่ผมแล้วปลุกให้ตื่น "คุณค่ะ​ พวกเรากลับมาแล้วค่ะ" จากนั้นลูกเมียผมก็นั่งอยู่ข้างกายผม​ ผมที่งัวเงียจึงถามเธอว่า " กลับมาแล้วเหรอ​ มีอะไรเหรอถึงถึงได้ปลุกฉัน" เมียผมจึงตอบว่า " ก็ฉันเห็นแหวนหินจันทรกานต์​นี่ติดอยู่กับนิ้วของคุณนี่ค่ะ" เมื่อผมยันตัวลุกขึ้นนั่งสนทนาผมจึงไดอธิบาย​ว่า " คืออย่างนี้นะที่รัก​ ผมไปช่วยชายชาวเอเชียจากพวกอันตพาล​ แล้วเขาก็ได้มอบแหวนนี้ให้ผมเพื่อตอบแทนที่ช่วยเขาไว้" ทันใดนั้น​ ก็เกิด​ได้ยินเสียงออดจากข้างนอกห้องดังขึ้นมาในบ้าน​ นั้นเป็นเสียงออดที่จินนี่​ น้องสาวของผมกดนั้นเอง​ เมียผมออกไปรับแล้วพบว่าเธอกำลังร้องให้​ ผมจึงได้ไต่ถามเธอว่า " จินนี่​ เธอร้องให้ทำไมกัน" จินนี่เธอจึงเล่าไปพลางสะอึก​สะอื้น​ " ก็ทอมมี่นะสิ​ เขาทำตัวแปลกไป​ ตั้งแต่กลับมาจากไทยก็ทำตัวเย็นชามาก​ หลายวันเข้าเขาเริ่มก้าวร้าวมากขึ้น​ วันหนึ่งแทมเมอร์แม่ของทอมมี่เอาไม้กางเขนมาให้​ เขาก็โกรธ​เป็นฟืนไฟตบมือของแม่เขาให้ไม้กางเขนร่วง​ เขากล่าวด้วยถ้อยคำรุนแรง​จนแม่ของเขาร้องให้​ เขาไม่เคยเป็น​อย่างนี้มาก่อน​ ฉันกลัวเหลือเกิน" "เอาหละๆทำใจดีๆไว้​ เดี๋ยวเราจะไปหาเขาในวันพรุ่งนี้​เพื่อคุยกัน อะไรกันนะไอ้เพื่อนคนนี้​ สงสัย​จริงนะว่าเขาเป็นอะไรถึงได้ทำตัวแบบนี้" วันรุ่งขึ้นผมและจินนี่ก็ขับรถไปที่บ้านของทอมมี่ที่อยู่อีกแห่งซึ่งไม่ไกลจากบ้านของผมมากนัก​ เมื่อผมมาถึงผมเห็นแม่ของเขากำลังรำพึงรำพันถึงบุตรชายของข้างนอกถึงสิ่งที่แปรเปลี่ยน​ไป " ฮือ!... ทอมมี่น้อยของแม่​ ทอมมี่​ เมลเวอร์​ริคซ์ผู้อ่อนโยน​ ฮือ...! ทำไมถึงกลายเป็นคนใจร้ายไปซะได้​ โถ!..." ผมที่เห็นเธอจึงได้ถามนางว่า "คุณป้าแทมเมอร์ครับ​ ทอมมี่เขาอยู่ที่ไหนฮะ" " ฮึก! อึก! อยู่ที่ห้องทำงานของเขาจ้ะ" ดังนั้นแล้วผมจึงได้เดินพาจินนี่ไปที่ห้องโดยทิ้งนางแมเรียนผู้เป็นมารดาไว้ข้างหลัง​ ผมเดินไปถึงห้องแล้วจึงได้เปิดเข้ามาในห้อง​ ในห้องนั่นที่เขาอยู่มีรูปวาดที่เต็มไปด้วยการขีดเขียนบนกระดาษ​ บรรยากาศ​มืดดำมีเพียงแสงแดดลอดเข้ามาเท่านั้น​ ที่นั่น​ ตรงกลางห้อง​ ทอมมี่กำลังวาดขีดดินสอจนดินสอกุดไป​ ผมมองภาพนั้นอย่างพิเคราะห์​แล้ว​เห็น​ว่า​รูปภาพเหล่านั้นต่างเชื่อมโยงถึงกัน​ แต่ทันใดนั้นทอมมี่ที่วาดอยู่ก็เห็นผมจึงได้ขว้ารูปกลับไป​ ผมถามด้วยความสงสัยว่า "แกทำอะไรอยู่วะ​ ทำไมไม่ออกไปสู่โลกภายนอก​กับเขาบ้างวะ" เพื่อนผมจึงตอบมาด้วยเสียงห้วนๆผิดไปจากธรรมดาที่ผมเคยรู้จัก " ถอยไป​ แกสองคนถอยไปจากห้องของฉันได้แล้ว" " ถอยไปเหรอ?​ " ผมทวนคำพูดของเขา "นี่ฉันเจมส์​ ไวท์เฮาส์สันท์เพื่อนที่ปกป้องแกยี่สิบสี่ชั่วโมง​ไง​หละ แกเป็นอะไรไป​ หมู่นี้แกดูใจร้ายและเย็นชามาก" " ฉันบอกว่าให้ถอยไปไง! แกไม่ได้ยินเหรอ!" เมื่อเป็นเช่นนั้นผมจึงได้กล่าวถามเพื่อที่จะช่วยเหลือเขา " ฉันจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น​ แกเป็นอะไรของแกวะทอม​ แกเป็นบ้าอะไรของแกวะ​ นับแต่แกกลับจากไทยแกก็เปลี่ยนไป​ แกเป็นอะไรก็บอก​ซิ ไม่พอใจก็ระบายมาซิวะเพื่อน!​ ไม่ใช่มาลงอารมณ์​กับคนอื่นอย่างนี้!" เมื่อเป็นเช่นนั้นนายทอมมี่ก็ได้กล่าวว่า "ถ้าแกยังไม่ออกไป​ ฉันตีแกแน่!" ผมไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่าย​ แต่ผมเห็นแขนของทอมเข้า​ แขนของเขามีผ้าพันแผลอยู่ผมเลยถามว่า "แขนแกไปโดนอะไรมาหนะ" "แขนฉันจะเป็นอะไรนั่นมันไม่ใช่เรื่องของแก!! จะไปรึว่าไม่ไป​ ถ้าไม่ไป...เจ็บ!!" ผมที่ไม่กลัวคนเป็นเพื่อนจึงได้กล่าวว่า "ถ้าฉันไม่ไป​ แกจะทำอะไรฉัน" ทอมมี่ที่ฟังก็เกิดบันดาลโทสะผิดวิสัยจึงขว้าหนังสือปกแข็งหมายจะตีผม​ ผมจึงใช้แขนจับแขนของอีกฝ่ายเพื่อหยุดหยั่งเขาไว้​ ทันใดนั้นเขาก็เกิดปวดแสบปวดร้อนอย่างไม่ทราบสาเหตุ​ จนกระทั่ง​เขาหมดสติไป​ เสียงที่ดังจากข้างบนทำให้แม่ของทอมมี่ขึ้นมาบนบ้าน​ เธอค่อนข้างตระหนกตกใจ​พอสมควร​ ผมจึงอธิบาย​ให้เธอทราบ​ เธอเข้าใจแล้วจึงออกไปเพื่อหายามาปฐมพยาบาล​ เมื่อเขาตื่นขึ้นอีกครั้งจึงได้ถามผมว่า "นี่ฉันอยู่ที่บ้านได้ยังไงกันเนี่ย​ ก่อนปาร์ตี้​ฉันก็อยู่ที่บ้านสินอมรอยู่เลย​ แล้วนี่แม่​ เจมส์​ และจินนี่​ เธอ​ พวกเธอสองคนมาที่บ้านฉันทำไม​ นี่ฉัน​ เป็นอะไรไปเนี่ย?!" ผมที่เห็นว่าเขาเป็นปรกติ​จึงได้ถามเขาว่า " แล้วนี่นาย​ จำเหตุการณ์​อะไรที่ไทยบ้าง" เขาทำท่าคิดสักครู่​ แล้วจึงนั่งเล่าประสบการณ์​ที่ไทยว่า "เมื่อฉันได้ไปเที่ยวปีใหม่ที่ไทย​ เอ๊บบอตเจ้านายฉันเธอได้พาฉันไปที่บ้านสินอมร​พร้อมพวกพนักงาน ที่นั่นเปิดเป็นโรงแรมให้คนไปพัก แล้วเขาก็ให้พวกฉันไปปาร์ตี้​ที่​นั่น​ หลังปาร์ตี้​ปีใหม่ฉันเมามากก็เลยให้เพื่อนที่ทำพาฉันไปที่ห้อง​ แต่ตอนฉันนอนฉันจำได้ลางๆว่า...มีชายคนหนึ่งเรียกฉัน​ หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้อีกเลย​ พอตื่นมาอีกทีฉันก็อยู่ที่นี่แล้ว​ นี่ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย​ จินนี่​ เธอช่วยเล่าตอนที่ฉันกลับมาได้มั้ย​ มันเกิดอะไรขึ้น" จินนี่จึงได้เล่าให้แก่ทอมมี่ว่า "เธอกลับมาไทยเมื่อสองสัปดาห์​ก่อน​ เธอกลับมาบ้านเธอก็ทำตัวแปลกไป​ เธอไม่สุงสิง​กับคนอื่น​ เอาแต่หลบตัวอยู่ในห้อง​ คอยแต่วาดรูป​แปลกๆ​ พอฉันจะทำความสะอาดเธอก็ผลักไสไล่ฉันออกจากห้อง​ แม่เธอเห็นเข้าจึงเอาไม้กางเขนมาให้​ เธอก็ตกใจตีแม่เธอแล้วด่าทอ..." " บ้า!​ ฉันไม่เคยทำตัวอย่างนั้น​ อย่าว่าแต่ตีเลย​ ด่าฉันก็ไม่เคยด่าใคร! นี่ฉันทำอย่างนั้นจริงเหรอจินนี่!" ทอมมี่ที่ไม่เชื่อจึงได้ถามจินนี่เพื่อรับรองคำตอบ " มันเป็นเรื่องจริงทอมมี่​ " เมื่อเป็นเช่นนั้นทอมมี่จึงได้เอามือลูบหน้าตัวเอง​แล้ว​กล่าวถามคนเป็นแม่ว่า " พ่อผมเขาว่าไงบ้างครับ​ " นางแทมเมอร์จึงได้ตอบว่า " พ่อของลูกเขาไปปรึกษา​กับบาทหลวง​ เขาเลยเอาสร้อยกางเขนเงินติดพลอยให้แกได้สวมไว้​นี่ไง​ พ่อแกเล่าว่าสร้อยนี้ถูกลงเวทย์​จากแสงแห่งพระเจ้า​มาเจ็ดวันแล้ว" เมื่อเป็นเช่นนั้นทอมมี่จึงขว้าสร้อยนั้นมาสวม​ เขาทำสัญลักษณ์​ไม้กางเขนปัดทั่วตัวแล้วขอพระจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์​ที่ตนนับถือ " โอ้พระแม่มารีผู้สถิตในจิตของลูกทุกนาม​ จงมาสถิต​คุ้มครองลูกด้วยเถิด​ อาเมน" ผมสงสัย​ในเรื่องผ้าพันแผลจึงถามเขาในเรื่องนี้ว่า " แล้วตกลงแผลของแกเป็นอะไรวะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงแกะผ้าพันแผลออก​ สิ่งที่เห็นคือแผลของมีดที่ถูดกรีดให้เป็นรอย​ เขาตกใจมากกับเรื่องที่เห็น​ เราจึงปรึกษา​กันว่าเราจะสืบเรื่องนี้เพื่อแก้ไขปัญหา​ที่เกิดขึ้น... ¢=}​}​ประเทศ​ไทย}}​> ผม​ จินนี่​ และทอมมี่พากันไปที่ไทยอีกครั้ง​ เขานำทางผมไปที่บ้านสินอมร​ในเวลากลางวัน ซึ่งอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี​ อำเภอ​สองพี่น้อง​ ที่บ้านสินอมรแห่งนี้เป็นโรงแรมซึ่งดูแล้วเคยเป็นบ้านเก่า​ แต่น่าจะถูกจัดใหม่ให้เป็นโรงแรม​ เมื่อผมเข้าไปผมก็ได้พบกับหญิงคนหนึ่ง​ เป็นหญิงวัยกลางคนอายุราวห้าสิบปี​ เธอถามผมด้วยภาษาอังกฤษ​อย่างชัดเจนว่า "คุณจะพักที่นี่หรือคะ​ ดิฉันเป็นผู้จัดการ​โรงแรม​และเจ้าของบ้านสินอมรแห่งนี้" ผมจึงถามเธอว่า "แล้วนี่มีห้องพักให้เรารึเปล่าครับ" " มีค่ะ​ เชิญคุณ​สามคนมาที่โต๊ะอาหาร​นี่ก่อนค่ะ" เมื่อสามคนมาที่โต๊ะอาหาร​ เธอจึงกล่าวถามว่า "แล้วคุณจะรับกับข้าวอะไรดีคะ วันนี้มีปลาสลิด​ จะทำต้มส้มรึว่าฉูฉี่ก็ได้​ รึว่าจะรับทานกับข้าวอื่น​ เรามีกุ้งผัดดอกแค​ ทอดหัวปลี​ แกงกะหรี่​ รึว่าจะรับเป็นไข่ดาวไส้กรอกคะ" เมื่อเป็นเช่นนั้นผมจึงสั่งว่า "ถ้างั้นขอเป็นข้าวผัดกะเพรา​กุ้งผสมหมูกรอบ​ ผมได้ยินเพื่อนที่ไทยคนหนึ่งเขาแนะนำ​มาฮะ​ แล้วก็...เอ่อ...ขอน้ำพริกลงเรือและผักแหนมด้วยฮะ" หญิงเจ้าของโรงแรมทำหน้าขมวดคิ้ว​ยิ้มเล็กน้อย​ สงสัยในตัวผมที่สั่ง​ คงเพราะตั้งแต่ที่เธอทำโรงแรมมาก็ไม่มีคนต่างชาติเขาสั่งน้ำพริกเลย​ ผัดผักผัดกะเพรา​พอว่า แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร​ เธอถามอีกสองคนว่า " คุณสองคนจะรับอะไรดีคะ​ " จินนี่สั่งอาหารก่อนที่ทอมมี่จะสั่งตาม "ฉันขอเป็นผัดไท​แล้วกันค่ะ" "ผมขอเป็นผัดกะเพรา​ซีฟู้ด​มักโรนีแล้วกันครับ" เธอผู้เป็นเจ้าของ​โรงแรม​จึงจดบิลแล้วเดินไปมอบให้แก่คนครัว​ แล้วเธอก็ยกเครื่องดื่มจำพวกน้ำสมุนไพร​ไทยที่อัดลมจนซ่า​ สมัยนี้เครื่องอัดลมมีซื้อหากันได้ทั่วไปแล้ว​ ที่บาร์​ของโรงแรมจึงทำให้โดยที่ไม่ต้องไปใส่โซดาให้เจือจาง​ ตอนนั้นเองผมจึงเรียกเธอให้มานั่งด้วยกัน " คุณครับ​ คุณมานั่งเป็นเพื่อนผมก่อนครับ" " ขอบคุณ​ค่ะ​ " ดังนั้นเธอก็มานั่งข้างผม​ ผมเลยถามพอเป็นพิธีว่า "คุณชื่อว่าอะไรครับ" " ชื่อ​ประไพค่ะ​ ประไพ​ สินอมร​ แล้วคุณละคะ" " ผมชื่อเจมส์​ครับ เจมส์​ ไวท์​เฮาส์สันท์​ ทำงานเป็นนายหน้าค้าที่ดินแถวนิวแฮมป์เชียร์​ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมเธอคือน้องสาว​ ชื่อจินนี่​ ทำงานเป็นครีเอเตอร์​อยู่ที่เน็ตฟลิกซ์​ คนที่ข้างกันนั่นชื่อทอมมี่​ เขาเป็นแฟนน้องผมและก็...เป็นเพื่อนผมด้วย​ เขาเป็นนักเขียนการ์ตูน​ให้​บริษัท​หนึ่งเหมือนกัน" เมื่อผมอธิบายจบ​ ผมก็มองไปที่รอบๆโรงแรม​ ซึ่งมีรูปภาพ​และการตกแต่งที่สวยงามใช้ได้​ ผมจึงชมคุณนายประไพว่า "โรงแรมนี้ถือว่าใช้ได้เลยนะครับ​ เสียอย่างเดียวห้องน้อยไปหน่อย​ ตามที่ผมอ่านดูในใบปลิว​มีแค่เจ็ดห้องเท่านั้นเอง" เมื่อผมพูดเช่นนี้​ เธอก็ทำท่าเหนื่อยใจและหนักใจมาก​ เธอขมวดคิ้ว​ย่นก้มหน้าเอามือกุมไปที่สันจมูก​แล้วกล่าวว่า "ถึงอย่างนั้นก็ไม่ค่อยมีคนเข้าเลยค่ะ" เธอพูดเช่นนั้นผมจึงถามด้วยความสนใจ "หมายความว่าไงครับ" เธอเงยหน้าแล้วจึงกล่าวตอบไปด้วยอารมณ์​เฉือยชา " ถ้าอย่างนั้น​ ฉันก็จะเล่า​อะไรเผื่อคุณจะได้เข้าใจ​ และบางทีพวกคุณอาจช่วยเหลือ​โรงแรม​และบ้านของฉันให้เป็นปกติ​สุข​สักที​" ในระหว่างที่เธอเล่า​ พนักงาน​บริกรซึ่งเป็นผู้ชายร่างเตี้ยโกร่งก็ยกอาหารมาให้พวกเรา​ คุณประไพจึงสั่งให้บริกรคนนั้นยกน้ำส้มมาบริการเธอ​ เรานั่งฟังด้วยความสนใจและประหลาดใจมาก​ เนื้อความก็มีประมาณนี้ " เมื่อปีค.ศ.1948 โรงแรมหลังนี้เคยเป็นบ้านของตระกูล​ฉัน​ คุณทวดของฉัน​ พระยาศิลป์​สุรกานต์​ดามพ์​ตักษัย​ เป็นต้นตระกูล​ของบ้านสินอมรแห่งนี้​ ท่านเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้และเป็นเจ้าของท่าเรือในกรุงเทพค้าขายขนส่งสินค้า​หลายอย่าง​ แล้วท่านยังทำนาค้าข้าวได้เงินเป็นจำนวนมาก ในด้านครอบครัว​ท่านมีบุตรกับคุณนายคนหนึ่งในเมียหลายคนของท่าน​ และบุตรคนนี้แหละที่ทำให้ฉันต้องปวดหัวและเสียใจอยู่จนถึงทุกวันนี้​" ผมที่กินข้าวแล้วฟังเธอเล่ากำกวมอย่างนั้นผมจึงถามเธอว่า " แล้วเขาคนนั้นทำไมถึงทำให้คุณหนักใจเหรอครับ​ แล้วเขาทำไมถึงทำให้คุณเสียใจจนถึงเวลานี้ทั้งๆที่เขาก็เอ่อ...เขาเป็นคนยังไงครับ" แล้วเธอก็เล่าว่า " บุตรของคุณทวดคนนั้น​ เขามีชื่อว่าอาร์ม​ อาร์ม​จบการศึกษา​จากอินเดีย​สาขาวิทยาศาสตร์​และประวัติศาสตร์​ ในตอนเด็กเขามีอดีตฝั่งใจ​ค่ะ​ แม่ของเขาถูกฝรั่งชาวอเมริกัน​ฆ่าตาย​ ด้วยความแค้นเขาจึงเสาะหาเบาะแส​และจับตัวครอบครัว​ของนายฝรั่งคนนั่น​ เขาฆ่านายฝรั่งอย่างทรมาน​แล้วจับลูกสาวไปเป็นเมีย​ที่บ้านฟ้าคำรณซึ่งเป็นบ้านพักแยกจากบ้านนี้ ส่วนแม่ของเธอเขากลับขังไว้ในบ้าน​หลังหนึ่ง คุณทวดทราบก็ไม่อาจห้ามเขาได้เพราะญาติพี่น้อง​ข้างเมียบังคับ​ ต่อมาเมียฝรั่งพาแม่ตนหนีเขาจึงออกตามล่า​ ปรากฏ​ว่า​เขาประสบอุบัติเหตุ​กลายเป็นคนพิการ​ ท่อนล่างเดินไม่ได้​ ช่วงชีวิต​สุดท้ายเขามักวาดรูป​ในบ้านฟ้าคำรณและเขียนหนังสือ​นิยาย​ออกวางขายบ้าง​ เขาทนทุกข์​ทรมาน​กับร่างกาย​นี้มาสี่ปี วันดีคืนดีเขาแอบเผาบ้านที่ตนพัก​ เมื่อคนใช้ดับไฟก็พบร่างของเขาปักมีดเสียบอกตายคาบ้านนั่น​" พวกเรากินข้าวไปแล้วฟังเธอเล่าด้วยความสนใจว่า " หลังจากนั้นเป็นต้นมา​ ในทุกสี่ปี​ จะมีคนต่างชาติ​มาตายอยู่ที่นี่​ไม่มากก็น้อย​ ในหลายครั้ง...ฉันเห็นข่าวก็อยากจะจากไปอยู่ที่อื่น​ แต่เพราะเป็นห่วงลูกหลานทางนี้ที่เรียนอยู่ ไหนจะเป็นห่วงคนงานในบ้านที่อยู่ทางนี้อีก" ผมที่กินไปคิดไปก็เสนอว่า "แล้วทำไมคุณไม่กำจัดผีตนนั้นหละครับ" ประไพเธออธิบาย​แก่ผมว่า "ฉันพาหมอผีหลายคนไปกำจัดเขา​ แต่ก็ไม่เป็นผลเลยค่ะ​ ส่วนมากถูกผีชาวต่างชาติ​ที่ถูกครอบงำ​ลุกขึ้นมากำจัดพวกเขาจนไม่กล้าต่อสู้​ได้อีก​" ผมที่ฟังแล้วอดสงสารไม่ได้​ จึงได้หยุดรับประทานอาหารแล้วกล่าวแก่เธอว่า " ถ้าอย่างนั้น​เอาอย่างนี้มั้ยครับ​ พวกผมสามคนจะเอาคนมากำจัดผีตนนี้ให้ที่นี่หมดสมัยฆาตกรรม​แบบโอลิมปิกเสียที" แล้วทีนี้ผมก็เล่าเรื่องของตัวเองบ้าง​ เธอค่อนข้างตกใจพอสมควร​ เพราะในครั้งนี้ผีตนนี้มันสั่งการถึงนอกประเทศทีเดียว​ หลังจากกินข้าวเราก็ขึ้นไปพักในโรงแรมแห่งนี้ซึ่งที่เราพักถือว่าสะดวกสบาย​ มีอินเทอร์เน็ต​ใช้​ มีไวไฟฟรี​ มีห้องพิเศษ​ให้เช่า​ เป็นห้องเบอร์​01 ที่ห้องนี้มีหลายอย่างสะดวก​ครบ​ ทั้งไฟฟ้า​ แอร์​ ทีวี​ ตู้เย็น​ เตียงคู่​ หนังสือ​อ่านเล่นหลายเล่ม​ น่าเสียดายที่มีหนังสือภาษาอังกฤษ​เพียงไม่กี่เล่ม​ นอกนั้นเป็นนิยายภาษาไทย​ แต่ช่างเถอะ​ ประเด็น​คือแอร์ห้องนี้เสียซะงั้น​ คุณประไพจึงให้เด็กรับใช้ยกพัดลมไอเย็นมาให้​ ยังไงก็ตาม​ ตอนบ่ายพวกผมจึงพักผ่อนที่สระน้ำของโรงแรมกัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม