ร่างสูงนั่งยองๆ ลงด้านล่างให้ความสูงใกล้เคียงกันกับลูกสาววัยสี่ขวบของตัวเองที่ออกมาส่งตรงหน้าบ้านในเวลาเจ็ดโมงเช้า แบบนี้ทุกวันในช่วงปิดเทอมของเด็กตัวป้อมๆ เรียนอยู่อนุบาลสอง เด็กหญิงกรธิดาจะตื่นแต่เช้าเพื่อมาส่งผู้เป็นพ่อแล้วโบกมือให้จนลับสายตา
"คุณพ่อไปทำงานแล้วนะคะ" บอกลูกสาวตัวน้อยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น มันแฝงไปด้วยความรัก ชื่นชม คิดถึง และความสุขภายในส่วนลึกที่มีลูกสาวแก้มป่องคนนี้เป็นอย่างมาก
"ค่ะ คุณพ่อ ขับรถดีดีนะคะ รีบกลับมาหาน้องแก้มกับคุณแม่ค่ะ"
ตาคมค่อยๆ ละสายตาจากใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาว เงยหน้าขึ้นมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเด็กหญิงตัวอวบอ้วนมีผิวขาวแล้วมองนิ่ง เพียงแวบเดียวเขาดึงสายตากลับมายิ้มสดใสให้ใบหน้าไร้เดียงสาที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลย
"ค่ะ งั้นพ่อไปก่อนนะคะ จะรีบกลับมาหาค่ะ" นายแพทย์กันต์ธรในวัยสามสิบห้าปีบอกลาลูกสาวอีกครั้ง หอมแก้มลูกน้อยทั้งสองข้าง โอบกอดอย่างคิดถึง จำใจต้องผละออกเมื่อได้เวลาไปทำงาน คนไข้ที่มารอรับการรักษายังต้องพึ่งเขาอยู่
เขาเปิดคลินิกร่วมกันกับเพื่อนสนิทอีกหนึ่งคนซึ่งเป็นคลินิกรักษาโรคทั่วไป เปิดทำการในเวลาแปดโมงครึ่งถึงหกโมงเย็น หยุดเสาร์อาทิตย์เพียงสัปดาห์ละสองครั้ง
"เดี๋ยวค่ะคุณพ่อ!" มือป้อมๆ รั้งมือผู้เป็นพ่อเมื่ออีกฝ่ายลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินจากไป ทำให้กันต์ธรมองลงตามมือที่กระตุก
"มีอะไรคะ" กันต์ธรอมยิ้มนิดๆ ถามด้วยความเอ็นดูออกมา
"ทำไมคุณพ่อถึงไม่ชอบหอมแก้มคุณแม่ล่ะคะ เหมือนที่คุณพ่อชอบหอมน้องแก้มค่ะ"
กันต์ธรนิ่งไปเมื่อลูกว่าอย่างนั้น เกศราก็เช่นกัน ไม่คิดว่าวันที่เด็กหญิงกรธิดาโตพอรู้เรื่องรู้ราวจะช่างพูดและช่างจดจำได้ถึงเพียงนี้ ทำเอาคนทั้งคู่เผลอมองสบตากัน แวบเดียวเป็นเกศราที่มองไปทางอื่น
เธอไม่ได้บอกลูก ไม่ได้สอนเขา ไม่แน่ใจว่าพ่อของลูกจะพอใจหรือเปล่า เพราะเธอคงไม่มีวันสอนลูกแบบนี้แน่ๆ
"ทำไมล่ะคะ" กันต์ธรเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามอย่างอยากรู้เหตุผลที่มากกว่านี้
"ก็คุณครูบอกว่า..คนในครอบครัวเดียวกันต้องกอดหอมกันแสดงความรักค่ะ เหมือนที่คุณพ่อทำกับน้องแก้มไงคะ คุณพ่อรักน้องแก้มคุณพ่อจึงหอมน้องแก้ม แล้วคุณพ่อรักคุณแม่มั้ยคะ ถ้ารักก็ต้องหอมค่ะ"
เด็กตัวน้อยพูดออกมาตามที่เคยได้ฟังมาอย่างไม่ต้องคิดไตร่ตรองให้มาก เพราะเธอก็เห็นด้วย
เธอมีความสุขเมื่อพ่อแสดงความรักกับเธอออกมา และแม่ต้องมีความสุขเหมือนกันแน่นอนหากว่าพ่อก็ทำเหมือนอย่างทำกับเธอเช่นเดียวกัน
ทุกครั้งที่เธอออกมาส่งผู้เป็นพ่อพร้อมกับแม่ พ่อจะหอมเธอฝ่ายเดียวแต่ไม่หอมแม่เลย แบบนี้มันจะไปตรงตามที่คุณครูของเธอบอกได้ยังไงกันล่ะ
กันต์ธรพยักหน้าเบาๆ พลางถอนหายใจออกมาเมื่อได้ฟังเหตุผล ก่อนจะสืบเท้าเดินเข้าไปใกล้คนที่สูงเพียงติ่งหูของเขา มองลงสบตากับอีกคนนิ่ง เขาเห็นความประหม่าในตัวเกศรา
หญิงสาวรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างนั้นเมื่อเขาเขยิบเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน โน้มใบหน้าลงมาตรงข้างแก้มจนเธอขนลุกซู่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เราใกล้ชิดกันมากขนาดนี้นับจากคืนนั้นเมื่อห้าปีก่อน
ถึงเราจะอยู่ในบ้านหลังเดียวกันก็ตาม แต่เพราะเหตุผลอะไรเราทั้งคู่รู้ดี เพราะไม่อยากให้เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้กำพร้าพ่อกับแม่ยังไงล่ะ
"ฉันทำเพื่อให้ลูกสบายใจเท่านั้นล่ะ อย่าคิดว่าฉันจะพิศวาสเธอ" กันต์ธรบอกเสียงเรียบ กระซิบกระซาบพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
แล้วจมูกโด่งก็กดลงที่ข้างแก้มได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งเด็กไม่ต่างจากลูกสาว ก่อนจะผละออกมามองใบหน้าขาวนวลเมื่อกี้ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดง บอกไปอยู่หยกๆ ว่าทำเพื่อลูกยังมาอาย
เกศราเผลอกำมือตอนเขาโน้มมาข้างแก้ม ทว่าจิกเล็บลงไปกับนิ้วตัวเองแรงๆ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยบอกเหตุผลที่ต้องทำ เตือนสติตัวเองแรงๆ ว่าเขาไม่ได้เต็มใจ
ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนแล้วก็ตาม สถานะของเราสองคนไม่เคยเปลี่ยนไปเลย ทำหน้าที่พ่อแม่ยังไงก็คงทำอยู่อย่างนั้น เกี่ยวข้องกันแต่เรื่องลูก ส่วนเรื่องของเราไม่เคยคืบหน้า เหมือนว่านับวันมันยิ่งแย่ลงไปด้วยซ้ำ
"เย้..ต่อไปคุณพ่อต้องหอมน้องแก้มกับคุณแม่ก่อนไปทำงานแบบนี้ทุกวันนะคะ" เด็กหญิงตัวน้อยกระตุกมือพ่อตัวเองหลังจากกำมือแล้วชูขึ้นด้วยความดีใจ กระโดดโลดเต้นเพราะลุ้นตั้งแต่แรกว่าพ่อจะทำไหม เมื่อพ่อทำตัวเธอจึงเกิดอาการดีใจอย่างที่เห็นไง
กันต์ธรพยักหน้าให้ลูกสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ เด็กหญิงกรธิดาจึงปล่อยมือของผู้เป็นพ่อออกให้อีกฝ่ายไปทำงานได้ มองพ่อของเธอเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไป พอหันกลับมากลับเห็นผู้เป็นแม่ร้องไห้เสียอย่างนั้น
"คุณแม่! คุณแม่ร้องไห้ทำไมคะ!!" คนเป็นลูกสาวถามด้วยความตกใจ รั้งตัวแม่ลงมานั่งยองๆ ที่ด้านล่าง แล้วใช้หลังมือป้อมๆ เช็ดน้ำตาออกให้ เกศรายิ่งปล่อยโฮใหญ่เมื่อลูกสาวทำแบบนั้น มันกลั้นไม่ไหวจริงๆ
ปกติเธอไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดร้องไห้ให้ลูกเห็น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมทำตามคำขอของลูกสาว ถึงมันจะเป็นไปด้วยความจำใจก็ตาม
"ไม่ร้องนะคะคุณแม่ โอ๋ๆ ใครทำอะไรบอกน้องแก้มมาค่ะ เดี๋ยวน้องแก้มจะไปจัดการให้"
เด็กน้อยไม่ได้ร้องไห้ตามแม่ของเธอ กลับกันมีความกล้าหาญที่จะไปจัดการกับสิ่งนั้นให้คนเป็นแม่สบายใจ เมื่อในยามที่เธอเศร้า แม่มักถามเสมอว่า 'ใครทำอะไรลูกสาวแม่บอกแม่มาค่ะ' และแม่เธอก็แก้ไขได้เสมอมา เธอหายร้องภายในห้านาที
มาวันนี้ที่แม่เธอร้องไห้ เธอก็จะไปจัดการสิ่งนั้นให้เช่นเดียวกัน
ยิ่งลูกสาวทำเป็นเข้มแข็งเกศรายิ่งต้องโอบกอดตัวเองให้แข็งแกร่งกว่า เธอเคยปลอบลูกเสมอมาพอในวันนี้กลับถูกเด็กอายุน้อยกว่าปลอบแทนเสียอย่างนั้น
"มะ..เมื่อกี้ฝุ่นมันเข้าตาคุณแม่ค่ะ" คุณแม่ยังสาววัยยี่สิบสามปีบอกกับผู้เป็นลูกอย่างมีเหตุและผล ถึงแท้จริงมันจะเป็นเรื่องโกหกก็ตาม
"ว้า..แย่จังเลยค่ะ งั้นแบบนี้น้องแก้มต้องไปบอกกับพี่แม่บ้านแล้วค่ะว่าบ้านเราฝุ่นเยอะ เห็นมั้ยคะเนี่ย ฝุ่นมันเข้าตาคุณแม่น้องแก้มหมดเลยค่ะ" เด็กน้อยทำสีหน้าออกมาอย่างเซ็ง ยิ่งเช็ดให้ผู้เป็นแม่เข้าไปใหญ่ เธอไม่อยากให้แม่ร้องไห้เลย เหมือนที่แม่ไม่อยากให้เธอร้องไง
เกศรายิ้มออกมาทั้งน้ำตาไปกับความน่ารักและความไร้เดียงสานี้ ที่ทำให้เธอต้องอดทนอยู่ในสถานะที่เขาไม่ได้รักก็เพื่อถนอมน้ำใจเด็กหญิงกรธิดา
มีเพียงความสัมพันธ์แบบพ่อกับแม่ของลูกสาวเท่านั้นที่เราทั้งคู่ยังต้องดำเนินต่อไป หากในนามสามีภรรยาแล้วมันไม่เคยเกิดขึ้น