สำนักคุ้มภัยเป่าจินจง
ในเมืองเกาซาน แคว้นจ้าว ไม่มีใครไม่รู้จักสำนักคุ้มภัยเป่าจินจง เพราะเป็นสำนักคุ้มภัยที่ยิ่งใหญ่ และได้รับความน่าเชื่อถือจากคนในเมืองเป็นอย่างมาก ถ้าหากใครต้องการส่งสินค้า จดหมาย ของล้ำค่าไปยังต่างเมือง หรือสถานที่ใดในแคว้นจ้าวก็ต่างวางใจได้ว่าสิ่งของล้ำค่าเหล่านั้นจะไปถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัย สำนักคุ้มภัยเป่าจินจงก่อตั้งมากว่าสามชั่วอายุคน ตอนนี้มาถึงรุ่นที่สามแห่งตระกูล
คุณชายใหญ่หยางต้าหลงหรือประมุขแห่งสำนักคุ้มภัยรุ่นที่สาม เป็นชายหนุ่มรูปงาม อายุ25ปี ใบหน้าหล่อเหลาราวกับหยกสลัก รูปร่างไม่ต้องกล่าวถึงเพราะงามสง่าราวเทพสรรค์สร้าง แต่ยังไม่มีฮูหยิน จนบิดามารดาต่างเป็นห่วงกลัวว่าคุณชายใหญ่ผู้จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไปจะไร้ซึ่งทายาทสืบสกุลซึ่งเป็นการผิดต่อบรรพบุรุษ เป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้
ทว่าคุณชายใหญ่ก็หาได้สนใจไม่ คุณชายใหญ่ยังยึดหลัก
บุปผางามไม่เคลื่อนผ่าน ดินฟ้าไม่เลื่อนสลาย
คุ้มภัยเป็นหลัก เรื่องรักเป็นรอง
ความคิดที่ว่าทำงานก่อน ส่วนแต่งงานมีบุตรไว้ทีหลัง ทำให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองคือท่านหยางจงหมิงอดีตประมุขสำนักคุ้มภัยและฮูหยินผู้เฒ่าต่างปวดหัว ยกมือกุมขมับกันวันละหลายรอบเพราะเป็นห่วงกลัวว่าตระกูลหยางสายหลักจะหมดผู้สืบสกุล แต่ก็ไม่อยากถึงขั้นบังคับให้คุณชายใหญ่ต้องแต่งงาน
“ท่านพ่อท่านแม่โปรดวางใจ ยังไงข้าก็ต้องแต่งฮูหยินแน่นอน หากแต่ข้ายังไม่คิดแต่งตอนนี้”
“ยังไม่แต่งตอนนี้แล้วจะแต่งเมื่อไรกันเล่า อายุอานามของเจ้าปีนี้ก็25แล้วนะต้าหลง”
หยางต้าหลงนิ่งเงียบ ก่อนเงยหน้าขึ้นตอบมารดา “เมื่อไรก็เมื่อนั้นขอรับท่านแม่”
“ต้าหลงแม่อยากตายจริงๆ ชายหนุ่มรุ่นเดียวกับเจ้าแต่งอนุกันไปไม่รู้กี่คนแล้ว เจ้ายังไม่ยอมแต่งใครเขาเข้าบ้านสักคน แต่งเถอะนะ”
หลายวันนี้เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ การเป็นชายไร้เมียมันน่ารังเกียจนักหรือไง ถึงได้เคี่ยวเข็ญให้เขาแต่งงานทุกครั้งที่พบหน้า
“แม่อยากตายเหลือเกิน สกุลหยางสายหลักของเราจะไร้ผู้สืบต่อ แม่รู้สึกผิดกับบรรพชนยิ่งนัก”
“ท่านแม่ยังตายไม่ได้ขอรับ หากท่านตายข้าจะไม่ยอมแต่งฮูหยินเข้าบ้าน ข้าจะอยู่เป็นโสด นั่นเท่ากับตระกูลหยางสายหลักจะไม่มีทายาทสืบสกุล หากแต่ท่านแม่บำรุงร่างกายให้แข็งแรง ข้าจะรีบหาฮูหยินแต่งเข้าบ้าน”
“ภายในปีนี้ได้หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าต่อรอง
“ข้าขอคิดดูก่อน”
“ปีนี้ก็แล้วกัน แม่รอไม่ไหว แม่มีของดีให้เจ้า” นางพูดแล้วพลางยื่นไข่ต้มสามฟองของดีที่เถ้าแก่หลงสหายของนางมอบมาให้
“ไข่ต้ม ท่านแม่นำไข่ต้มมาให้ข้า”
เนื่องจากไม่สามารถเหนี่ยวรั้งความสนใจของบุตรชายให้อยากออกเรือนแต่งคุณหนูสกุลใหญ่ทั้งหลายมาเป็นสะใภ้ได้ บางทีหากหยางต้าหลงได้ชิมไข่ต้มสูตรพิเศษที่บุรุษหนุ่มในเกาซานที่ต่างหามากินกัน เลือดในกายหนุ่มของเขาอาจจะถวิลหาความอ่อนนุ่มของสตรี
“นี่มันไข่อะไรหรือขอรับ กลิ่นหอมแปลกๆ”
นางชำเลืองมอง เกรงลูกชายจะไม่กิน “กินสิ เจ้ากินให้หมดก่อนแล้วแม่จะเล่าให้ฟัง”
หยางต้าหลงดมดูรู้สึกกลิ่นของไข่หอมดี แต่เขาไม่ใช่นักชิม เมื่อดมอีกทีทำให้นึกถึงไข่ต้มโสม
‘คงเป็นไข่ต้มโสม’
เรื่องที่เขาใส่ใจมากที่สุดคือการฝึกปรือวรยุทธ์ เรื่องกินนั้นหาได้สนใจ กินอะไรท้ายสุดแล้วมันก็ไปรวมกันในท้อง
“กินเถอะ เจ้ากินแล้วจะต้องติดใจ”
เมื่อถูกคะยั้นคะยอมากๆเข้า เขาก็ยอมตามใจมารดา เมื่อไข่เข้าไปในปากรสชาติเค็มปะแล่มแต่ก็ชวนกินทำให้เขากินใบแรกและกินใบที่สองสามตามเข้าไปจนหมด “ไข่ต้มกับใบชาหรือขอรับท่านแม่รสชาติดีนัก งั้นข้าจะกินให้หมด”
ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าเหมือนกลืนยาขมเห็นหยางต้าหลงกินอย่างเอร็ดอร่อยแล้วขมคอแทน“ไข่นี่ไม่ได้ถูกต้มกับใบชา”
“ถ้าเช่นนั้นกลิ่นหอมแปลกนั่นเป็นสมุนไพรชนิดใด หรือจะนำไปต้มกับโสม แต่กลิ่นไม่คล้ายโสม”
“ไม่ใช่โสม แต่เป็นไข่ต้มกับฉี่เด็กชายบริสุทธิ์ต่างหากเล่า เถ้าแก่หลงว่าถ้าเจ้าได้กินมันต้องขยันหาสะใภ้ให้แม่แน่ เผลอๆ หาไม่ทันต้องหาสาวงามมาอุ่นเตียงรอเจ้าแต่งฮูหยินเข้าบ้าน”
“สรรพคุณมันยอดเยี่ยมขนาดนั้น ข้าอยากรู้นักใครเป็นคนต้มไข่นี้” หยางต้าหลงแสดงสีหน้าปั่นปึ่งเฉยชา แล้วคว้ากระบี่มาถือไว้กำมันจนแน่น
“ข้ากินไข่ต้มไปสามใบ ข้าจะตัดนิ้วมันออกมาสามนิ้ว”
นั่นคือเหตุการณ์เมื่อห้าวันที่แล้ว ก่อนหยางต้าหลงบอกแก่บิดามารดาก่อนจะออกจากคฤหาสน์ ตอนนี้เขากำลังเดินทางกลับสู่เมืองเกาซาน แคว้นจ้าว พร้อมกับขบวนเกี้ยวเจ้าสาวที่เขารับคุ้มภัยมาจากเมืองฉู่ งานในวันนี้คือคุ้มภัยขบวนเกี้ยวเจ้าสาวให้มาถึงเมืองเกาซานอย่างปลอดภัย เจ้าสาวจากเมืองฉู่นั้นเป็นลูกขุนนางใหญ่เป็นเครือญาติกับฮองเฮา ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของเจ้าสาวและขบวนทรัพย์สินที่นำมาเป็นสินเดิม จึงต้องการความปลอดภัยอย่างสูง ทางบ้านเจ้าสาวจึงจ้างสำนักคุ้มภัยให้มาคุ้มครองความปลอดภัยตั้งแต่ขบวนเกี้ยวเคลื่อนออกจากบ้านที่เมืองฉู่จนมาถึงเมืองเกาซาน
หยางต้าหลงขี่ม้านำอยู่หน้าขบวน สายตาสอดส่องทั้งซ้ายทั้งขวา เขาไม่เคยไว้ใจผืนป่าแถวชานเมืองเลยสักนิด ถึงจะใกล้เข้าเขตเมืองหลวงมากแล้วก็ตาม เขากำชับศิษย์ในสำนักที่ร่วมขบวนมาด้วยทั้งสิบคนด้วยน้ำเสียงกร้าวแข็ง ดุดัน
“ห้ามประมาทเด็ดขาด อีกสามสิบลี้ก็จะเข้าสู่ตัวเมืองหลวงแล้ว ต้องเพิ่มความระมัดระวัง จะผิดพลาดไม่ได้” หยางต้าหลงสั่งเสียงเข้มงวดเพราะเจ้าสาวในเกี้ยวมีความสำคัญอย่างมาก นางมีศักดิ์เป็นถึงหลานของฮองเฮา
บรรดาศิษย์ในสำนักที่ยืนขนาบทั้งซ้ายขวา หน้าหลังต่างขานรับเสียงดัง
“ขอรับท่านประมุข”
เสียงขานรับและการใส่ใจดูแลความปลอดภัยที่เข้มงวดทำให้เจ้าสาวที่อยู่ในเกี้ยวหรูหราค่อยคลายความกังวล หลับตาฟังเสียงคนในขบวนย่ำฝีเท้าลงกับผืนหญ้าไปอย่างสงบ เพราะอีกนิดเดียวก็จะถึงบ้านของเจ้าบ่าวแล้ว