สุดยอดอาหารสี่อย่าง อันได้แก่ หูฉลาม รังนก อุ้งตีนหมี และเป๋าฮื้อล้วนเป็นของดี รังนกนั้นเปรียบดั่งทองคำขาวและเป็นของโปรดปรานของฮ่องเต้ ทำให้ขุนนางใหญ่น้อยต่างนิยมชมชอบ ไม่เว้นแม้กุ้ยไป๋เทียน นอกจากจะช่วยเสริมพละกำลัง เสริมสมรรถภาพทางปอด ยังเชื่อกันว่าต่อต้านความชรา ด้วยเหตุนี้ หากท่านอัครเสนาบดีต้องเดินทางไปต่างเมือง เขามักนำรังนกกลับมาที่จวนเสมอ แต่คนที่กินรังนกได้ในจวนนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น ย่อมต้องเป็นกุ้ยไป๋เทียน หม่าอี้หวาซึ่งเป็นฮูหยินใหญ่ และกุ้ยเหมยลี่คุณหนูใหญ่
ร่างอรชรอ้อนแอ้นแต่แฝงไว้ด้วยแววตาซุกซนเฉลียวฉลาด ในมือถือถ้วยกระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินขาวเนื้อแกร่งที่น้ำเคลือบทำจากเถ้าถ่านและหินฟันม้า ภายในถ้วยเคลือบเต็มไปด้วยรังนกต้มกับน้ำตาลกรวดผสมโสมและพุทราจีนที่นางลงมือปรุงอย่างสุดฝีมือ ของด้านในถ้วยยังอุ่นมือ ส่งกลิ่นหอมหวน นางถนอมมันอย่างดี ระมัดระวังทุกฝีก้าว
ฮุ่ยชิงได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของฮูหยินใหญ่ก็เบ้หน้า วันนี้แม่ใหญ่อยู่ในชุดสีเขียวปีกแมลงทับ เสียงเอะอะนั้นดังมาก่อนตัว คงมีใครไปบอกว่าเห็นนางแถวนี้ ขณะที่เท้าเล็กๆ รีบเดินกำลังจะเลี้ยวไปทางเรือนเล็กของมารดากลับต้องหยุดชะงักเมื่อถูกคนทั้งสามมาขวางหน้าเอาไว้ ด้านหลังของหม่าอี้หวาคือสาวใช้สองคนที่จ้องมองคุณหนูรองอย่างไม่ยำเกรง
“หยุดนะนังตัวดี ที่แท้เจ้าไม่ได้อยู่ในห้องครัวแต่แอบมาอู้แถวนี้เอง” น้ำเสียงตวาดของหม่าอี้หวาพลันทำให้นางตื่นตระหนกเกือบจะทำถ้วยรังนกตก
“แม่ใหญ่! ท่านตามหาข้าหรือเจ้าคะ”
ดวงตาเรียวเล็กที่มีร่องรอยของตีนกาจ้องไปที่ถ้วยกระเบื้องเคลือบเขม็ง พลันเพลิงโทสะกลับพวยพุ่ง
“แล้วนี่ถ้วยอะไร” กุ้ยฮูหยินมองนางอย่างดูแคลน ยิ่งเห็นร่างเล็กสีหน้าถอดสีอย่างมีพิรุธ ในถ้วยคงไม่ใช่แค่น้ำแกงธรรมดา
หม่าอี้หวาปรายตาสองสาวใช้ข้างกาย พวกนางต่างรู้งานตรงเข้ารวบตัวคุณหนูรองเอาไว้ ถ้วยกระเบื้องเคลือบที่ใส่รังนกมาถึงสามในสี่ถ้วย ถูกหัวหน้าแม่ไก่สกุลกุ้ยแย่งเอาไปถือไว้แล้วมองนางด้วยแววตาสมเพช
ฮุ่ยชิงถูกผลักเต็มแรงให้นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างเล็กเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง
“แม่ใหญ่ท่านจะทำอะไร...”
“หุบปาก! นังตัวดีไม่ต้องพูดมาก หลักฐานคาตา เจ้าขโมยของยังกล้าปฏิเสธอีกหรือ”
“ข้าไม่ได้ขโมย”
เพียะ
คำพูดของฮุ่ยชิงกลืนหายไปในลำคอ เมื่อฝ่ามือหนึ่งฟาดลงบนแก้มฉ่ำด้วยเลือดฝาดอย่างเต็มแรงจนใบหน้าสวยแช่มช้อยสะบัดไปตามแรง ฮุ่ยชิงรู้สึกชาหนึบไปทั่วหน้า
หม่าอี้หวาแสยะยิ้ม แค่เห็นหน้าเจื่อนๆ ของฮุ่ยชิง นางก็หมั่นไส้เต็มทน แล้วยิ่งเห็นถ้วยรังนก นางไม่อาจเก็บอาการบันดาลโทสะไว้ได้อีกเพราะรู้ถึงจุดประสงค์เพียงเดินผ่านตรงนี้ไปได้ก็ถึงเรือนของนังแพศยาที่ยังอยู่ร่วมจวนให้ตำใจ
“นังหัวขโมย เจ้าตั้งใจขโมยรังนกถ้วยนี้ไปให้แม่เจ้ากินใช่หรือไม่ มักใหญ่ใฝ่สูงเกินตัวจริงๆ ของพวกนี้ใช่ของที่พวกเจ้าแม่ลูกจะมาหยิบฉวยไปกินได้หรือ”
ที่ล้มลงไปก็จุกพอแรง นางจึงไม่คิดพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืนหรือเถียงกลับ ฮุ่ยชิงก้มหน้ายอมรับ นางรู้ดีว่าบิดาไม่อยู่ แม่ใหญ่ต้องจ้องเล่นงานนางอยู่แล้ว เรื่องถูกตบไม่ใช่ครั้งแรก หากนางคิดต่อสู้แม่ใหญ่ สาวใช้ในเรือนใหญ่จะถูกสั่งให้ช่วยกันรุมทำร้ายนาง
“เจ้าค่ะ ข้าผิดไปแล้ว ข้าแค่อยากให้ท่านแม่ได้กินของดีๆ บ้างเท่านั้น ท่านแม่กำลังป่วย แต่อาหารที่ส่งไปถึงเรือนท่านแม่มีเพียงเศษผัก แล้วแบบนี้เมื่อไรท่านแม่จะหายจากอาการป่วย”
นิ้วชี้ที่มีแหวนหยกสวมอยู่ดันหน้าผากของฮุ่ยชิงออกห่างอย่างแรง “นังตัวดี สกุลกุ้ยเราปรานีหญิงแพศยาอย่างแม่เจ้า ไม่ขับไล่ออกนอกจวนนับว่าท่านอัครเสนาบดีเมตตาพวกเจ้าสองแม่ลูกมาแล้ว เจ้ามีแม่เป็นนางหญิงชั่ว แพศยา แล้วเจ้าจะเป็นลูกกตัญญูได้หรือ”
คำพูดถากถางเสียงหัวเราะเย้ยหยันทำให้มือเล็กที่กำอยู่แล้วยิ่งกำแน่นกว่าเดิม นางย่อมเจ็บแค้นเป็นธรรมดา แต่เมื่อมองรอบตัวแล้ว หากนางบันดาลโทสะลุกขึ้นตบแม่ใหญ่สักฉาด แล้วถีบสักสองทีให้ล้มหน้าคะมำ นางคงได้รับความสะใจอยู่ไม่น้อย ทว่าหลังจากนั้นคงเป็นนางเองที่ย่อยยับ ส่วนแม่ของนางคงได้รับเคราะห์กรรมนี้ไปด้วย เรื่องนี้ย่อมได้ไม่คุ้มเสีย สู้นิ่งเสียดีกว่า
เอาชนะผู้อื่นได้นั้นแข็งแกร่ง ข่มใจตัวเองได้นั้นคือผู้ยิ่งใหญ่
หม่าอี้หวายิ้มหยันเมื่อเห็นร่างเล็กเอาแต่ซ่อนหน้าเนื้อตัวสั่นเทา ฮุ่ยชิงคงจะเกรงกลัวอำนาจของนางเหมือนแม่ของมันที่ไม่เคยปกป้องลูกได้ ทำให้นางคิดอยากจะตบอีกสักสองฉาด
นางหารู้ไม่ว่าอาการแบบนั้นฮุ่ยชิงกำลังสั่นสู้ สู้ด้วยวิธีของนาง ตามแบบฉบับของนาง
ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ก้มซ่อนหน้า หาได้กลัวเกรงแต่กำลังลอบยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
สักวันข้าจะต้มแม่ไก่สกุลกุ้ยกิน
ฮุ่ยชิงลอบประเมินสถานการณ์ตรงหน้าแล้วพร่ำบ่นอยู่ในใจ หากนางใจร้ายสักนิด ฮูหยินใหญ่คงลาโลกไปแล้ว ฮูหยินใหญ่เกลียดนางแต่กลับชื่นชอบอาหารที่นางเป็นคนลงมือปรุง ความน่าสมเพชของแม่ใหญ่ทำให้นางได้แต่ลอบถอนใจ
เกลียดข้าแต่มองรังนกในชามที่ข้าปรุงตาเป็นมัน
ฮุ่ยชิงเงยหน้าขึ้นมองถ้วยเคลือบใบนั้นราวกับแสนเสียดาย หม่าอี้หวาหันไปสบตาอย่างรู้กันกับสาวใช้คนสนิทแต่ยังคงเชิดหน้าไว้อย่างถือตัว ดวงตาของสาวใช้คนสนิทเปล่งประกายน่ากลัว จมูกงุ้ม ปากหนา สาวใช้ผู้นี้ ฮูหยินใหญ่ซื้อตัวมาได้ปีกว่าแต่ทำงานถูกใจ โดยเฉพาะงานกลั่นแกล้งกาฝากสองแม่ลูก
หม่าอี้หวาตวัดสายตามองร่างบอบบางตรงหน้าแล้วสั่งเสียงเข้ม “หลิ่งอี้ ลากนางออกไปโบย โทษฐานขโมยรังนกของท่านอัครเสนาบดี”
“ฮูหยินใหญ่จะให้ข้าโบยนางสักกี่ไม้เจ้าคะ”
ไม่ถึงห้าไม้รูปร่างอ้อนแอ้นอย่างนางคงเจ็บหนักปางตาย เผลอๆ อาจสลบไปตั้งแต่สามไม้แรก
“หากข้าไม่สั่งหยุด เจ้าห้ามเลิกโบยนาง” สิ้นเสียงคำสั่ง สาวใช้หลิ่งอี้ก้าวออกมาใช้สายตาจ้องคุณหนูรองตาเขม็งอย่างไร้ความเกรงใจ ราวกับคุณหนูรองเป็นลูกกระต่ายน้อยเคราะห์ร้าย หลิ่งอี้ตรงเข้ามาหมายลากจะคุณหนูรองไปทำโทษตามที่ฮูหยินใหญ่สั่งการ
ทว่าเสียงอ่อนหวานจากร่างเล็กดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
“แม่ใหญ่เจ้าคะ ท่านได้กลิ่นหอมมาจากห้องครัวหรือไม่เจ้าคะ”