มารผจญ…4/2

1357 คำ
ด้วยความที่ตั้งแต่เล็กจนโตมาคีติกาคือที่รองรับอารมณ์โกรธของมารดาเพราะไม่กล้าลงกับคนอื่นในบ้าน มยุรีจึงลืมไปว่าขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ที่สำคัญคือไม่พอใจที่ลูกสาวที่แสนชังเปิดกิจการแบบเดียวกับที่บ้านแถมดูไปแล้วกำลังไปได้ดีกว่าร้านต้นตำรับของครอบครัวอีกด้วย อดีตนางเอกงิ้วจึงใส่อารมณ์เต็มที่ กระทั่งมีลูกค้าคนหนึ่งที่มานั่งรับประทานอาหารกับเพื่อนอีกสองคนเป็นผู้ชายวัยต้นสี่สิบทนไม่ไหวลุกขึ้นมาพูดแทนหลายคนว่า “ผมขอพูดอะไรหน่อยได้มั้ยครับ ในฐานะลูกค้า ถ้าร้านของคุณคืออึ้งสุนฮงล่ะก็ ผมก็เคยไปกินนะครับ” ชายคนนี้เป็นนักชิมและนักรีวิวอาหารที่มีชื่อเสียงมีผู้ติดตามในสื่อโซเชียลไม่น้อย “แต่ผมว่ารสชาติอาหารไม่เหมือนกันนะ คนละสูตรกับร้านของคุณ แล้วอาหารที่ร้านนี้ก็เป็นเมนูที่มีในร้านอื่นด้วยเหมือนกันนะครับ ไม่ได้มีแค่ร้านของคุณเท่านั้นที่มีเมนูพวกนี้ ใคร ๆ ก็ทำได้ ไม่อย่างนั้นผัดไทยหอยทอดคงหากินยากน่าดู หรือไม่ก็คงมีการฟ้องเรื่องก๊อปสูตรอาหารกันวุ่นไปหมดแล้ว อีกอย่างอย่าหาว่าผมสอดเสือกเรื่องในครอบครัวเลยนะ ถ้าผู้หญิงคนนี้เขาเป็นลูกสาวคุณ ก็เป็นธรรมดามั้ยถ้าลูกจะแยกตัวออกมาตั้งร้านใหม่ไม่ใช่เกาะพ่อแม่กินไปจนตาย พ่อแม่ก็น่าจะภูมิใจที่ลูกดูแลพึ่งพาตัวเองได้ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนไม่อยากเห็นลูกเจริญก้าวหน้าหรอก สูตรอาหารเดี๋ยวนี้เปิดยูทูบเอาก็ได้ ยิ่งคนเป็นเชฟเขามีเซนส์ด้านนี้อยู่แล้ว ไม่งั้นทำออกมาไม่ได้หรอก สูตรโบราณก็ดีแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะถูกใจไม่หมดเสียทุกคน” “นี่ นี่ลื้อเป็นใคร กล้ามาสอดเรื่องครอบครัวคนอื่น ไม่มีมารยาท” นางมยุรีโกรธจนตัวสั่น ยกมือชี้หน้าลูกค้าคนดังกล่าว “ผมก็เป็นลูกค้าของร้านนี้ไง แล้วก็อย่างที่บอกผมเป็นลูกค้าที่เคยกินอาหารในภัตตาคารของคุณด้วย พ่อผมน่ะชอบอาหารที่ร้านของคุณ แต่ผมกลับเฉย ๆ ผมชอบอาหารร้านนี้ เพราะถูกปากมากกว่า อาหารที่ร้านของคุณมันเหมาะสำหรับคนที่ชอบรสชาติแบบดั้งเดิมตามสูตรที่คุณพูดถึงนั่นแหละ ซึ่งผมก็ไม่เคยบอกว่าไม่ดีนะ” ลูกค้าซึ่งค่อนข้างเป็นคนรุ่นใหม่ย้ำอีกที “แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบเหมือนกัน” เมื่อเถียงสู้ลูกค้าไม่ได้ สองคนผัวเมียจึงหันไปแยกเขี้ยวใส่ลูกสาว คีติกาได้แต่ยืนน้ำตารื้นพูดอะไรไม่ออก ที่ผ่านมาเธอรู้ดีว่าพ่อกับแม่ไม่ได้อยากมีลูกสาวจึงไม่ได้รักเธอเท่ากับพี่ชายและน้องชาย แต่คิดไม่ถึงว่าบุพการีทั้งสองจะทำกับเธอที่เป็นลูกแท้ ๆ ได้ถึงขนาดนี้ ปกติคีติกาก็เป็นคนที่ไม่มีปากมีเสียงกับบิดามารดาอยู่แล้ว แม้จะถูกดุด่าอย่างไม่เป็นธรรมเธอก็ไม่เคยคิดจะพูดแก้ต่างให้ตัวเองเพราะรู้ว่าพูดไปก็จะยิ่งทำให้เรื่องเลวร้ายลง เธอจึงได้แต่เงียบ อีกอย่างเธอนึกไปถึงดวงดาวซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยกุ๊กในร้านของครอบครัว แม้ว่าจะไม่ใช่กุ๊กใหญ่แต่ก็เป็นผู้ช่วยกุ๊กอยู่ในครัวร้านอึ้งสุนฮงอยู่เกือบสิบปี ถ้าเตี่ยกับไอ๊รู้เข้าเธอคงเลี่ยงเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าต้องการเปิดร้านแข่งกับที่บ้านได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก “อีหลิว อีลูกอกตัญญูลื้อปล่อยให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มายืนด่าพวกอั๊วอยู่แบบนี้เหรอ ไล่มันออกจากร้านลื้อไปสิ ถ้ารู้ว่าเลี้ยงลื้อมาแล้วจะเป็นแบบนี้อั๊วเอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่เกิดไปแล้ว” เสียงมยุรีแผดขึ้นอย่างโกรธจัดเพราะเสียหน้าและไม่ได้อย่างใจ จังหวะนี้ปิยะดาเดินเข้ามาในร้านพอดี ว่าที่แม่สามีมาทำธุระแถวนี้จึงแวะมาดูว่าที่ลูกสะใภ้คนโปรดที่ร้าน และบังเอิญจริงที่พบกับสองสามีภรรยาที่กำลังองค์ลงเล่นงานคีติกา “มีอะไรกันเหรอ ไปไงมาไงลื้อสองคนถึงมาที่ร้านนี้ได้ล่ะ” หันไปถามสองผัวเมียที่ยืนหน้าดำคร่ำเครียด ก่อนจะมองไปยังว่าที่ลูกสะใภ้ที่ยืนก้มหน้าน้ำตาคลออยู่ สังเกตสีหน้าของลูกค้าในร้านที่ต่างพากันจ้องมองมาเป็นตาเดียว ก็เดาได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่อง นางมยุรีตวัดสายตาไปมองมารดาของปกเกศด้วยแววตาเอาเรื่องด้วยอีกคน สมชัยกับมยุรีไม่รู้ว่าปิยะดาเป็นคนลงทุนเปิดร้านนี้ให้กับคีติกา อดีตนางเอกงิ้วจึงเอ่ยอย่างไม่คิดจะถนอมเสียง “คิดไม่ถึงว่าลูกสาวจะเนรคุณ อีเอาสูตรลับของที่บ้านมาขายแข่งกับที่ร้านอั๊ว อั๊วก็เลยมาดูให้เห็นกับตาน่ะสิ” “หืม สูตรลับของที่บ้านลื้อ แล้วอาหลิวเอามาทำขายแข่งกับลื้อเหรอ” ปิยะดาทำท่าประหลาดใจ ก่อนจะยกยิ้ม นัยน์ตามีแววขบขัน “เอ...สูตรที่เป็นของครอบครัวก็ควรถ่ายทอดให้ลูกด้วยไม่ใช่รึ หรือว่าต้องเก็บไว้ให้แต่ลูกชายเท่านั้น แต่ว่านะถ้าอาหลิวจะได้สูตรอาหารของพวกลื้อมาโดยที่พวกลื้อไม่ต้องบอกก็ไม่แปลก เพราะเท่าที่อั๊วเห็นมีแต่อาหลิวที่ช่วยกิจการที่บ้านลื้องก ๆ ไม่เคยเห็นลูกชายสองคนของลื้อมาช่วย” มยุรีกับสมชัยเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าปิยะดาจะพูดเข้าข้างคีติกา “...อั๊วว่าลื้อสองคนต้องไปปรับทัศนคติเสียใหม่นะ บอกตรง ๆ สูตรอาหารที่ร้านของลื้อมันเป็นสูตรโบราณแล้ว ไม่ได้ถูกใจคนรุ่นใหม่หรอก ร้านลื้ออั๊วก็ไปกินมาทุกเมนูแล้วและรสชาติมันไม่เหมือนกับที่ร้านนี้... อีกอย่างพวกลื้อจะมาโวยวายอะไร ลื้อสองคนยกลูกสาวลื้อให้อั๊วแล้วไม่ใช่รึไง” มารดาของปกเกศพูดวิจารณ์สูตรอาหารของร้านอึ้งสุนฮงไปในทำนองเดียวกับชายคนก่อนหน้านี้โดยไม่ได้นัดหมาย คำพูดตอนท้ายกดเสียงต่ำพร้อมกับชักสีหน้ามองสองผัวเมียเป็นการเตือนให้สำเหนียกว่าไม่ควรมายุ่งกับคีติกาอีก สมชัยกับมยุรีไม่กล้ากับอีกฝ่ายมากนักเพราะรับเงินสินสอดไปแล้วและที่จริงก็เรียกได้ว่าเสือกไสไล่ส่งลูกสาวไปแล้วด้วย... แต่เรื่องที่ลูกสาวมาเปิดร้านขายอาหารโดยอาศัยชื่อเสียงเดิมของที่บ้านมาต่อยอดหากินแบบนี้อย่างน้อยก็ต้องมีค่าตอบแทนตรงนี้กันบ้างถ้าไม่มีก็อย่าหวังจะมาชุบมือเปิบ “ก็ได้ ต่อไปนี้อย่ามาอ้างชื่อร้านของพวกอั๊วมาหากิน อย่ามาเรียกอั๊วว่าไอ๊ ลูกอั๊วมีแค่อาโยวกับอาหยุน” คีติกาสะอึก เธอไม่คิดว่าการที่เธอเปิดร้านอาหารจะทำให้ทั้งพ่อกับแม่โกรธเกลียดเธอมากกว่าเดิม ถึงขนาดตัดขาดไม่นับเธอเป็นลูกอีกต่อไป “เตี่ย ไอ๊ หลิวไม่เคยอ้างชื่อร้านที่บ้านเลยนะ” คีติกาชี้แจงเสียงสั่น แต่มยุรีชี้หน้าลูกสาว “เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็ง กล้าทำไม่กล้ารับ ลื้อเอาชื่อเสียงร้านของพวกอั๊วมาหากินยังกล้ามาเถียง” ^ ^ ^ ***สงสารหลิวจุง ส่งกำลังใจมาให้หลิวด้วยนะคะ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม