เหอจิ้นเค่อ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเหอผู้เป็นบุตรชายคนโตของท่านเจ้าเมือง ด้วยความเสียใจเพราะเขาถูกหญิงคนรักทอดทิ้งไป จึงทำให้เหอจิ้นเค่อก่อความผิดมหันต์ขึ้นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เพราะผิดหวังจากความรักจึงหวังดื่มสุราย้อมใจให้คลายทุกข์คิดใช้สุราล้างความกลัดกลุ้มและชะล้างความเจ็บปวดในหัวใจของตนเองจากความรักที่ไม่สมหวัง แต่มันกลับกลายเป็นว่าการดื่มสุราแก้ปัญหาครั้งนี้นอกจากจะไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้นมาแล้ว
มันกลับสร้างปัญหาให้กับตนเองและผู้อื่นจนเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไข เพียงเพราะความขาดสติในการยับยั้งชั่งใจ จึงทำให้เขากระทำผิดอย่างร้ายแรงขึ้น ถึงขั้นย่ำยีเด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์คนหนึ่งอย่างเลือดเย็นไร้ปรานี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธความผิดได้ เพราะถึงอย่างไรเสียทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ล้วนมาจากความประมาทพลั้งเผลอของเขาทั้งสิ้น จนลากคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเช่นเด็กหนุ่มผู้นั้นมารับเคราะห์กรรมไปกับเขาด้วย
อันที่จริงแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ จะว่าเขาไม่ได้ตั้งใจก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะใช่ว่าเขาจะไม่รู้ว่าคนในอ้อมกอดของเขาเมื่อคืนนี้หาใช่คนที่ตนเองเฝ้าพร่ำหา แต่เพราะกว่าเขาจะรู้สึกตัวว่าคนในอ้อมกอดนั้นมิใช่คนรักของตน มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เมื่อยากำหนัดกำลังออกฤทธิ์อย่างหนักจนทำให้เขาสติเลอะเลือนไป เขาก็ไม่เหลือสติมากพอที่จะยับยั้งตนเองเอาไว้ได้
ด้วยความมึนเมาและอารมณ์กำหนัดที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงนั้น มันยากที่เขาจะห้ามตนเองไม่ให้กระทำเรื่องเลวร้ายลงไปได้ ร่างบางจึงต้องพลอยมารับเคราะห์ไปเช่นนี้ สิ่งที่เขาได้ก่อขึ้นมานั้นเป็นสิ่งที่ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าตนเองจะกล้ากระทำเรื่องเช่นนั้นลงไปได้ คุณชายเหอผู้เป็นสุภาพบุรุษมาตลอดชีวิตต้องกลับกลายเป็นมารร้ายในชั่วพริบตาเพียงเพราะขาดสติในการยับยั้งชั่งใจ
เหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้เพราะเขาถูกเหล่าหญิงคณิกาในหอนางโลม ที่เขาเรียกมาดื่มเป็นเพื่อนเพื่อหวังให้ช่วยคลายความกลัดกลุ้มเหล่านั้นรุมมอมเหล้าเข้า หากเขาคิดไม่ผิดยากำหนัดที่ตนเองได้รับคงถูกวางในเหล้าที่พวกนางส่งให้ดื่มเป็นแน่ เหอจิ้นเค่อแม้จะเป็นคุณชายผู้รอบรู้เก่งกาจทั้งบุ๋นและบู๊ แต่ด้านสุรานารีนั้นกลับไร้ประสบการณ์ยิ่งกว่าใคร
ด้วยเพราะอารมณ์ไม่ดีและกำลังเสียใจหนัก เขาจึงได้ทำตัวขาดสติลงไปเช่นนั้น ประชดชีวิตด้วยการพาตัวเองไปยังสถานเริงรมย์ ที่ที่ชีวิตนี้สุภาพชนเช่นเขาไม่เคยคิดจะย่างกรายเข้าไปใกล้แม้แต่น้อย เพียงเพราะเจ็บแค้นใจที่ตนเองทำดีมาทั้งชีวิตแต่กลับถูกคนที่รักหักหลังอย่างไร้เยื่อใย ความคิดชั่ววูบจึงเกิดขึ้นว่าหากเขาทำตัวเหลวแหลกเลวทราม ร่ำสุรานารีเช่นบุรุษทั่วไปบ้างหญิงผู้นั้นจะเห็นคุณค่าเขาขึ้นมาบ้างหรือไม่
เหอจิ้นเค่อจึงเลือกที่จะไปยังสถานที่แห่งนั้นเพียงผู้เดียวไร้เงาผู้ติดตามอย่างที่เคยเป็น เพราะไม่ต้องการเห็นสายตาที่สงสารเขาจากเหล่าคนสนิทและข้ารับใช้ที่เสียใจไปกับเขาเพราะเรื่องนี้ จึงเป็นเหตุให้ตนเองพลาดท่าถูกวางยากำหนัดเอาเสียได้เมื่อเริ่มเมามายไร้สติ แม้เขาจะคอยระวังตัวเองอย่างดีตลอดแต่ก็ยังสู้เล่ห์กลของหญิงสาวผู้ช่ำชองเหล่านั้นไม่ได้ ซึ่งโชคดีว่าเขาสามารถออกมาจากสถานที่นั้นได้โดยปลอดภัยและไม่ได้พลาดท่าเสียทีให้กับหญิงสาวเหล่านั้น แต่มันก็กลับกลายเป็นเขามาก่อความเดือดร้อนให้กับเด็กหนุ่มผู้นี้แทนเสีย
ร่างบางที่ถูกนำตัวกลับมายังจวนตระกูลเหอได้รับการดูแลปรนนิบัติอย่างดี คุณชายเหอเป็นผู้จัดการดูแลทำความสะอาดร่างกายให้กับหยางจิวเมิ่งและจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้กับเขาด้วยตนเอง อีกทั้งยังตามหมอประจำตระกูลมาดูอาการร่างบางยังนอนตัวร้อนผ่าวไม่ได้สติเช่นนี้มาตลอดนับตั้งแต่ถูกเขาพาตัวมาถึงที่นี่ในทันที คนตัวเล็กมีอาการหวาดผวาตลอดเวลาอย่างหนัก ทั้งยังเพ้อจนไม่เป็นภาษาเพราะพิษไข้ที่กำลังเล่นงานเวลานี้ เหอจิ้นเค่อนั่งมองร่างที่ไร้สติตรงหน้าอย่างชั่งใจเพื่อคิดหาทางออกที่เหมาะสม เพราะอย่างไรทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะเขานำพาความเดือดร้อนวุ่นวายนี้มาให้ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ใดๆ เช่นเด็กหนุ่มผู้นี้
หยางจิวเมิ่งหมดสติไปถึงสองวันเต็มๆ เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง หลังพบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แปลกตา ร่างหนาที่เขาคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีกำลังเดินเข้ามาหาเขาที่ยังนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่กำยำหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้าต่อให้ตายเขาก็ไม่มีวันลืม ใบหน้าของคนใจร้ายที่ย่ำยีศักดิ์ศรีของเขาอย่างไม่เหลือชิ้นดี
ร่างบางรวบรวมแรงที่มีหุนหันหยัดกายขึ้น เพื่อกระถดตัวหนีคนตรงหน้าด้วยความรวดเร็ว เมื่อร่างหนาเดินเข้ามาถึงตัว แม้จะปวดร้าวจนระบมไปทั่วทั้งร่าง คนตัวเล็กก็ยังคงกระถดกายหนีอีกฝ่ายไปจนสุดขอบเตียง นั่งกอดเข่ามองคนตรงหน้าอย่างหวาดระแวง กายบางสั่นระริกไปหมดด้วยความหวาดกลัวที่ยังไม่จางหายไป ภาพที่เขาถูกคนผู้นี้กระทำย่ำยียังฉายชัดอยู่ในหัว ขณะที่ดวงเนตรสวยหวานสองข้างนั้นล้วนเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ริมฝีปากบางสั่นระริกเม้มเข้าหากันจนแน่นไม่กล้าที่จะคิดเอื้อนเอ่ยคำใดๆ ออกมาแม้ครึ่งคำ
ร่างบางพินิจมองคนตรงหน้าอย่างละเอียด ดูจากอาภรณ์ที่เขาสวมใส่รวมถึงห้องหับแห่งนี้ คนผู้นี้คงเป็นคนฐานะใหญ่โตหาใช่เล็กน้อย ในหัวน้อยๆ ได้แต่คิดหาทางเอาตัวรอดอย่างหนักว่าจะทำเช่นไรดี ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนธรรมดามาจากตระกูลเล็กๆ ไร้ซึ่งชื่อเสียงเงินทอง มีหรือจะสู้อำนาจคนที่มาจากตระกูลใหญ่เช่นนี้ได้ คนผู้นี้พาเขามาที่สถานที่แห่งนี้เพราะเหตุใดกัน คงมิใช่ว่าชายผู้นี้จะเป็นเศรษฐีโรคจิตวิปลาสที่หมายคิดจะจับเขาขังเอาไว้เป็นของเล่น ทำหน้าที่นายบำเรอที่คอยปรนเปรอกามารมณ์ เป็นเครื่องมือรองรับอารมณ์ระบายความใคร่เพื่อความหรรษาหรอกหนา หากเป็นเช่นนั้นเขาจะทำเช่นไรดี ร่างบางได้แต่คิดอย่างสับสนด้วยความหวาดกลัวไปหมดทุกสิ่ง
"เป็นอย่างไรบ้าง" คนที่เพิ่งเดินเข้ามาเมื่อครู่เอ่ยถามพลางนั่งลงบนเตียงอีกฝั่ง หันหน้าเข้าหาคนที่กำลังนั่งขดตัวดั่งลูกนกต้องฝนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล และแววตาที่ทอประกายความอ่อนโยน
"..."
"ข้าขอโทษอีกครั้งที่ล่วงเกินเจ้า ทั้งยังทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าผิดเองที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจ เอ่อจนลงมือรุนแรงกับเจ้าไปถึงเพียงนั้น หากเจ้าต้องการให้ข้าชดใช้อย่างไรก็กล่าวมาเถิดข้ายินดีทำตามทุกอย่างโดยมิมีข้อแม้" ร่างหนายอมรับผิดทุกประการและยินดีชดใช้ความผิดที่ก่อขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างไรเสียเขาก็หาใช่คนเลวทรามไร้ความรับผิดชอบ ในเมื่อครั้งนี้เขาเป็นคนผิดก็ยินดียอมรับผิดและทำตามทุกสิ่งที่คนตัวเล็กต้องการ
"...."ร่างบางยังคงมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ แม้ท่าทางคนตรงหน้าจะดูใจดีมากก็ตามแต่เพราะสิ่งที่เพิ่งได้ประสบพบเจอมามันยากจะทำให้เขาไว้ใจคนผู้นี้ได้ง่ายๆ
"เจ้าเพิ่งฟื้น คงจะหิวแล้ว ทานอะไรเสียหน่อยเถิด" ชายหนุ่มทำท่าจะลุกไปหยิบถาดอาหารบนโต๊ะที่เตรียมไว้ให้ร่างบางได้ทาน
"มะ..ไม่ ข้าไม่หิว" จิวเมิ่งเห็นท่าทีเช่นนั้นจึงได้รีบปฏิเสธทันทีด้วยความไม่ไว้ใจ ก่อนจะแข็งใจกล่าวสิ่งที่ต้องการออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
"ขะ..ข้าอยากกลับบ้าน"
"แค่นั้นหรือ" ร่างหนาถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มองด้วยความไม่เข้าใจเท่าไหร่นักเหตุใดเด็กหนุ่มผู้นี้จึงไม่คิดเอาเรื่องเขาแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าคงเป็นเพราะเขากำลังหวาดกลัวมากกระมัง
"คะ..แค่นั้น ปล่อยข้ากลับบ้านแล้วทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นก็พอ" ร่างบางทำใจดีสู้เสือพูดเสียงสั่นๆ ออกไปพร้อมหยาดน้ำตาที่รินออกมาตลอดด้วยความกลัวในหัวใจไม่น้อย คำพูดนี้เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขากล่าวกับคนตัวโตกว่าจากนั้นเขาก็ไม่พูดสิ่งใดอีก ได้แต่นั่งกอดตัวเองร้องไห้เงียบๆ คนเดียวอยู่อย่างนั้น
เวลาผ่านไปไม่นานเขาก็ถูกส่งตัวกลับบ้านด้วยรถม้าของตระกูลเหอ แต่ด้วยความที่เขากลัวว่าคนที่บ้านจะผิดสังเกตและเป็นที่เอิกเกริกจึงขอให้คนบังคับรถม้าจอดรถก่อนถึงบ้านเขาหนึ่งลี้ จากนั้นเขาก็ลากสังขารเหนื่อยหอบกลับมาบ้านด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงบ้านหยางจิวเมิ่งที่หายตัวออกจากบ้านตระกูลหยางไปถึงสามวัน ก็ถูกสอบสวนอย่างหนักจากบิดาและแม่เลี้ยงที่รอเล่นงานอยู่ ร่างบางได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรดี จึงได้แต่โกหกไปว่าไปเจอสหายเก่าเข้าและเผลอไปเที่ยวเล่นดื่มสุราด้วยกันจนลืมเวลา
เพียงเท่านี้นายท่านสกุลหยางผู้ใจเย็นก็โกรธเป็นไฟที่ลูกชายคนโตกล้าทำตัวเสเพลเช่นนั้น หยางจิวเมิ่งถูกลงโทษให้คุกเข่าหน้าบ้านหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อให้หลาบจำ โดยที่ไม่มีใครกล้าคัดค้านบทลงโทษหรือเห็นใจเขาแม้แต่น้อย
ร่างบางที่ยังไม่หายไข้ดีนั่งคุกเข่าทนการลงโทษได้เพียงถึงช่วงบ่ายคล้อยก็เริ่มไข้กลับ รู้สึกหนาวสั่นสะท้านจนต้องยกแขนขึ้นโอบกอดกายตัวเองไว้แน่น พอสุริยันลับขอบฟ้าบทลงโทษก็จบลง หยางจิวเมิ่งจึงฝืนสังขารพาตนเองกลับไปยังห้องนอนของตนเองเงียบๆ คนเดียวด้วยความอ่อนล้าเต็มทน และผล็อยหลับลงไปด้วยความอ่อนเพลีย หลังจากวันนั้นเขาก็นอนซมจับไข้ไปอีกหลายวันกว่าจะกลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม
.
.
.
เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบสองเดือน หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น หยางจิวเมิ่งก็เริ่มมีอาการผิดปกติ ด้วยระยะนี้จู่ๆ เขาก็มีอาการป่วยแบบไม่ทราบสาเหตุเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
"อ้วก..แหวะ"
เขามักอาเจียนทุกเช้าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างดี อีกทั้งยังรู้สึกเวียนศีรษะบ่อยๆ กินอะไรไม่ค่อยลงเพราะเหม็นกลิ่นอาหารไปหมด จนเขาเองก็ไม่ทราบสาเหตุเช่นกันว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่หยางจิวเมิ่งยังคงปฏิบัติตัวตามปกติเช่นทุกวัน พยายามปกปิดอาการป่วยของตนเองไว้เพราะไม่อยากให้บิดาเป็นห่วงและกลัวว่าจะถูกแม่เลี้ยงรำคาญ เขาไม่อยากเป็นภาระของใคร แม้จะรู้สึกป่วยหยางจิวเมิ่งก็ยังคงทำงานทุกอย่างที่ต้องรับผิดชอบในบ้านได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ว่าช่วงนี้จะทำงานบางอย่างได้ช้าลงไปบ้างเพราะร่างกายที่อ่อนแอลงในระยะนี้
"อาเมิ่ง!" หยางจิวเมิ่งที่เพิ่งอาเจียนเสร็จสะดุ้งสุดตัวกับเสียงเรียกของแม่เลี้ยงที่ดังมาจากด้านหลัง ร่างบางรีบขานรับในทันที
"ขอรับท่านแม่" ฮูหยินหยางเดินมาถึงเด็กตรงหน้าที่มีท่าทางอ่อนเพลียกว่าปกติจนสังเกตเห็นได้ชัด แต่นางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเพราะระยะนี้เด็กนี่มักมีท่าทางเช่นนี้เสมอ อาจเป็นเพราะตื่นเช้าบ่อยคงมีขี้เกียจไปบ้างตามประสาเด็กหนุ่มนางจึงไม่ได้คิดจะใส่ใจ
"วันนี้เจ้าให้อาหารสัตว์แล้วหรือยัง" แม่เลี้ยงเดินออกมาจ้องมองเตรียมจะจับผิด เพราะกลัวว่าหยางจิวเมิ่งนั้นจะขี้เกียจ
"ยังขอรับท่านแม่ ข้ากำลังจะไป"
"ชักช้าสายป่านนี้มัวทำอะไรอยู่ ตะวันจะขึ้นแล้วไปรีบจัดการซะมีเรื่องต้องทำอีกตั้งเยอะแยะ แล้วนั่นเป็นอะไรไปอีกหล่ะทำหน้าตาให้มันดีๆ หน่อยซิ สีหน้าดูไม่ได้เชียว"
"เปล่าขอรับ ข้ามิได้เป็นอะไร"
"ไม่เป็นไรก็ดี รีบไปทำงานได้แล้วอย่ามัวแต่ชักช้าเสียเวลา วันนี้ไม่ต้องเข้าครัวข้าจัดการเอง"
"ขอรับ"
หยางจิวเมิ่งรับคำก่อนจะเดินออกมาจัดการงานของตัวเอง ส่วนฮูหยินหยางหลังจากสั่งงานเขาเสร็จก็ไปจัดการในครัวต่อ หน้าที่ประจำวันที่เขาต้องรับผิดชอบในบ้านนี้อีกอย่างคือให้อาหารสัตว์เลี้ยงในบ้าน สัตว์เลี้ยงที่หยางจิวเมิ่งเลี้ยงไว้มีหลายอย่างตั้งแต่เลี้ยงไก่ไว้เพื่อเก็บไข่กินและไข่ที่เหลือก็นำมันไปขายเพื่อแลกเป็นเงินมาใช้จ่ายในบ้าน
ไหนจะม้าที่เลี้ยงไว้เพื่อใช้ลากรถม้าในการเดินทางของบิดาและคนในบ้านยามต้องเดินทางไกล แม้กระทั่งสุนัขเฝ้าบ้านก็ล้วนเป็นเขาที่คอยดูแลให้อาหารพวกมัน ในเรื่องการทำความสะอาดบ้านในส่วนที่เขาต้องรับผิดชอบคือห้องนอนของตัวเองและเรือนใหญ่ที่แม่เลี้ยงบอกว่าคนรับใช้ทำได้ไม่ดีเท่าเขา ดังนั้นห้องรับแขกในเรือนใหญ่และห้องนอนของบิดาจึงเป็นเขาที่ต้องดูแล ทุกสิ่งในบ้านหากหยิบจับทำอะไรได้เขาล้วนต้องช่วยทำทั้งหมด เพราะเป็นลูกคนโตของบ้านหน้าที่ในการดูแลเรื่องในบ้านจึงเป็นของเขาไปโดยปริยาย
หลังจากทำภารกิจต่างๆ เสร็จ หยางจิวเมิ่งจึงจะออกไปจัดการดูแลสวนผักของตัวเอง เขามีแปลงผักที่ปลูกผักไว้เป็นรายได้เสริมเพื่อช่วยค่าใช้จ่ายในครอบครัว พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวจะมีคนจากร้านอาหารในเมืองมาขอซื้อผักที่เขาปลูกเสมอ
แปลงผักที่ทำแม้ไม่ใหญ่โตมากแต่ก็ไม่เล็กน้อย เงินจากการขายผักที่เก็บเกี่ยวได้แต่ละครั้งสามารถเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านได้เกือบทั้งเดือน ชายหนุ่มดูแลเพียงคนเดียวอย่างใส่ใจ เขามีความสุขทุกครั้งกับการทำงานในแปลงผักนี้ แม้บิดาจะเป็นบัณฑิตและได้เป็นถึงผู้ช่วยนายอำเภอแต่เขานั้นกลับไม่ชอบอ่านเขียนเรียนตำราเช่นบิดาเท่าไรนัก หยางจิวเมิ่งคิดว่าเพียงแค่เรียนรู้พออ่านออกเขียนได้ไม่อายใครสำหรับเขาแค่นั้นก็นับว่าเพียงพอแล้ว
สิ่งที่เขาชื่นชอบกลับเป็นการทำไร่ทำสวนปลูกพืชและค้าขายเสียมากกว่า ผักที่เขาปลูกนั้นจะถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วน สองส่วนถูกเก็บไว้ขายให้ร้านอาหารในเมืองที่มารับซื้อถึงสวนผักของเขาหนึ่งส่วนถูกเก็บไปขายราคาปลีกในตลาดสดทุกเช้าหนึ่งส่วนสำหรับทำอาหารกินในครอบครัว ส่วนสุดท้ายที่เหลือจากการเก็บเกี่ยวและการขาย จะถูกนำมาแปรรูปเป็นผักตากแห้งและผักดองต่างๆ เพื่อไว้ขายและกินยามหน้าแล้ง
ที่ดินบางส่วนเขาแบ่งมันไว้สำหรับปลูกผลไม้และดอกไม้ตามฤดูกาล เขาแบ่งสันปันส่วนจัดการทุกสิ่งอย่างเป็นระบบ พืชพรรณที่ปลูกก็หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยตามฤดูกาล จึงทำให้ได้ผลผลิตที่ดีต่อเนื่องตลอดปี ที่ดินตรงนี้เป็นมรดกตกทอดที่มารดาเขาเหลือทิ้งเอาไว้ให้ หลายครั้งแม่เลี้ยงจะเอาไปขายให้คนรวยเพื่อแลกเงิน แต่เขาก็ขอร้องท่านพ่อไว้และขอเป็นเจ้าของเองเพื่อหวังจะใช้มันทำประโยชน์ระยะยาว โชคดีที่บิดาเขายอมยกให้เขาเพราะเห็นว่าเป็นสมบัติของมารดา
"จิวเมิ่งๆ " เสียงเรียกคุ้นเคยดังมาแต่ไกล อาจิ้งเด็กหนุ่มตัวสูงโปร่งรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขา ผู้เป็นเพื่อนสนิทที่มักมาหาและคอยช่วยเขาดูแลแปลงผักบ้างเป็นครั้งคราวเสมอ กำลังเดินเข้ามาหาเขาที่นี่เหมือนเช่นเคย
ร่างบางที่กำลังก้มๆ เงยๆ จัดการกับวัชพืชอยู่เงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียก อยู่ๆ ก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาอย่างฉับพลัน หยางจิวเมิ่งที่กำลังเซจะล้มลง พยายามไขว่คว้าหาที่ยึดแต่ก็ไม่เป็นผล โชคดีที่อาจิ้งวิ่งเข้ามาถึงตัวเขาพอดีและคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทันท่วงที
"อาเมิ่งเจ้าเป็นอะไรไป มานี่มา นั่งก่อนๆ ค่อยๆ นะ" อาจิ้งประคองคนหน้าซีดไร้สีเลือดเวลานี้เข้าไปนั่งพักใต้ร่มไม้อย่างระวัง ก่อนจะถอดหมวกที่ร่างบางใส่บังแดดออกและนำมาพัดให้
"ดีขึ้นหรือไม่"
"อืม"
"เจ้าไม่สบายหรือ เหตุใดหน้าซีดนัก"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน พักนี้ทานอะไรไม่ค่อยลง เมื่อกี้ลุกเร็วไปหน่อยข้าเลยหน้ามืดไป"
"ไอ้หยา ไม่สบายทำไมไม่พักผ่อนเล่า ฝืนมาทำงานเช่นนี้ทำไมกัน" สีหน้าอาจิ้งตกใจกับคำบอกเล่าของร่างบางอย่างมากเพราะนานๆ ทีจึงจะเห็นคนเช่นจิวเมิ่งเจ็บป่วย ปกติเขาค่อนข้างเป็นคนร่าเริงสุขภาพแข็งแรง ไม่เคยดูซีดเซียวมากเช่นนี้มาก่อน
"ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่เล็กน้อย นี่ก็เพิ่งมีอาการ"
"ไปหาหมอมั้ยข้าไปเป็นเพื่อน"
"ไม่หล่ะ นั่งพักสักครู่เดี๋ยวก็หาย อาการไม่ได้หนักมาก ระยะนี้ข้าอาจทำงานหนักไป ว่าแต่วันนี้เจ้าว่างหรือ"
"อือว่าง ข้าเลยจะมาดูแลแปลงผักให้เจ้าไง พอดีเห็นเจ้าอยู่ก็เลยตะโกนเรียกแต่ไกล เกือบทำให้เจ้าล้มไปเสียแล้ว" อาจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าสลดไปหลายส่วนนึกโทษตัวเองเล็กๆ ในใจ
"ไม่เป็นไรน่า ความผิดเจ้าที่ไหน เพราะข้าเวียนหัวอยู่ก่อนแล้วต่างหาก ถ้าเจ้าไม่มาข้าคงล้มลงไปแล้ว"
ทั้งสองคุยเล่นกันเพียงครู่จิวเมิ่งก็ขอตัวกลับไปพัก เพราะหลายวันนี้มาเขารู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายมากจริงๆ ร่างบางรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน อาการเวียนหัวนี้จะว่าหนักก็หนักจะว่าเบาก็เบา เพราะอาการเป็นๆ หายๆ จนเขาก็ไม่รู้จะรับมือกับมันอย่างไร หนักที่สุดในบางครั้งก็เวียนหัวจนยืนแทบไม่อยู่ แต่บางครั้งก็เป็นเล็กน้อยเพียงครู่ก็หาย จนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรกันแน่ อาการที่เกิดขึ้นเป็นประจำจนเริ่มคุ้นชินมีเพียงที่ต้องตื่นมาอาเจียนทุกเช้า กับเหม็นกลิ่นอาหารหลายอย่างจนทานไม่ได้ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เมื่อกลับถึงบ้านร่างบางก็เดินไปเก็บไข่ในเล้าไก่ออกมาเพื่อเตรียมไว้นำไปขายพรุ่งนี้เช้า เขาเดินเก็บไข่ออกมาได้จำนวนไม่น้อย ไข่ไก่หลายฟองถูกนำใส่ในตะกร้าสานจนเต็มใบ แต่เพราะอาการวิงเวียนที่ยังคงมีเป็นระยะจู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาฉับพลันจนหน้ามืดไปครู่หนึ่ง ทำให้เขาที่กำลังเดินเอาไข่เข้าไปในบ้านเกิดอาการยืนแทบไม่อยู่ จนไข่ในตะกร้าหลายใบพลัดตกลงพื้นไปแตกกระจาย
"ตายแล้ว!! เจ้าเด็กหยาบกระด้างทำอะไรไม่รู้จักระมัดระวังเสียบ้างเลย" เสียงแหลมตวาดแหวจากด้านหลังเรียกสติหยางจิวเมิ่งที่กำลังใกล้หมดสติเต็มทนให้ตกใจจนได้สติขึ้นมา ร่างบางลนลานจับไข่ที่ทำท่าจะกลิ้งตกลงไปก่อนจะนำตะกร้าไปวางและมาเก็บกวาดไข่ที่ตนเองทำตกแตก
เพี๊ยะ!!
เสียงฝ่ามือของแม่เลี้ยงฟาดลงไปบนต้นแขนของเด็กหนุ่มอย่างแรงจนร่างบางแทบจะเซไปตามแรงมือ
"เป็นอะไรของเจ้าฮึ ทำไมไม่ระวังซะบ้างข้าวของเสียหายหมดแล้วมันน่านัก"
"ท่านแม่ข้าขอโทษขอรับ ข้าไม่ได้ตั้งใจ"
"เหม่อลอยอะไรนักหนา เจ้าเด็กไม่ได้ความ"
"เปล่านะขอรับท่านแม่ ข้าเพียงรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่านั้น" จิวเมิ่งกล่าวเสียงอ่อยอย่างเกรงๆ เพราะสายตาแม่เลี้ยงที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ช่างดูน่ากลัวเหลือเกิน
"หึสำออยนัก ทำงานแค่นี้จะเป็นจะตายแล้วเจ้าจะไปทำอะไรได้"
"ขะ..ข้าขอโทษขอรับ ข้าจะรีบเก็บให้เรียบร้อย"
"ก็ต้องเป็นเช่นนั้นสิหรือจะให้ข้าทำกัน การงานในบ้านมีเยอะแยะที่ข้าต้องจัดการอีกมาก จัดการให้เรียบร้อยแล้วอย่าทำอะไรเสียหายอีกนะ"
"ขอรับ" ร่างบางรับคำด้วยความเหนื่อยล้า ก้มหน้าเก็บไข่บนพื้นอย่างลนลานเพราะกลัวแม่เลี้ยงจะโกรธเคือง แม้ว่าจะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่ไม่น้อยกับการต้องก้มๆ เงยๆ เพื่อเก็บไข่เหล่านั้น แต่เขาก็พยายามอดทนค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ ตามกำลังอย่างไม่รีบร้อนนักเพื่อไม่ให้อาการตนเองทรุดหนักลงไปกว่าเดิม
.
.
.
เมื่อบิดาเขากลับเข้ามาถึงบ้านในวันนี้ ก็นำข่าวน่ายินดีมาให้ทุกคนในบ้านได้ฟังด้วยความดีใจ ในที่สุดเขาก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นนายอำเภอเสียทีหลังจากทำงานอย่างบากบั่นมานาน และในคืนนี้จะมีการเลี้ยงฉลองให้เขาจากท่านเจ้าเมือง ซึ่งครอบครัวเขาทั้งครอบครัวได้รับเทียบเชิญให้ไปร่วมงานด้วย เพราะเป็นงานเลี้ยงเพื่อแสดงความยินดีกับนายอำเภอคนใหม่ในครั้งนี้ ซึ่งจวนสกุลเหอเป็นผู้ออกหน้าจัดการให้
เพราะเช่นนี้เขาจึงได้บังเอิญกลับมาพบพานชายผู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหยางจิวเมิ่งเพิ่งได้ทราบเดี๋ยวนี้เองว่าคนที่ทำร้ายเขาเมื่อเกือบสองเดือนที่ผ่านมาแท้จริงแล้วใคร บุรุษผู้งามสง่าตรงหน้าเขาเวลานี้เป็นถึงบุตรชายคนโตของท่านเจ้าเมือง คุณชายเหอจิ้นเค่อ ก่อนหน้านี้เพราะเขามัวแต่ตกใจกลัวจนลนลานจึงไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดมากนัก เพราะเพียงต้องการหนีไปให้ห่างจากคนที่ทำร้ายเขาโดยเร็วเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าคนผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน รู้เพียงว่าเขาผู้นั้นเป็นคนมีฐานะคนหนึ่ง
จนมาถึงวันนี้ การได้พบกันอีกครั้งนั้น มันทำให้ความรู้สึกของหยางจิวเมิ่งเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนใจ เมื่อมีการแนะนำตัวทำความรู้จักซึ่งกันและกันระหว่างครอบครัว คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเหอผู้เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านเจ้าเมืองแนะนำตัวอย่างนอบน้อมและดูเป็นกันเองยิ่งนัก ผิดกับเขาที่ประหม่าจนรู้สึกวิตกกังวลและกลัวลนลานไปหมด ว่าความลับเมื่อเกือบสองเดือนที่ผ่านมาจะแตก
หลังทำความเคารพท่านเจ้าเมืองและฮูหยินแล้ว งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้น ทุกคนเข้านั่งประจำที่ในส่วนที่ถูกจัดเตรียมไว้ต้อนรับ เหล่าขุนนางและพ่อค้าคหบดีในเมืองต่างมาร่วมงานและแสดงความยินดีกับบิดาเขาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าบิดาเขาจะเป็นลูกน้องคนสนิทของท่านเจ้าเมืองและได้รับความชื่นชมไม่น้อย ร่างบางมองดูความสำเร็จของบิดาด้วยความยินดี หลังจากที่มานะบากบั่นมาหลายปีในที่สุดท่านพ่อเขาก็ทำสำเร็จเสียที ได้รับตำแหน่งนายอำเภอสมที่รอคอยมานาน แต่เมื่ออาหารจัดเลี้ยงถูกยกมาวางตรงหน้าจิวเมิ่งก็เริ่มมีอาการผิดปกติ กลิ่นอาหารที่ตีขึ้นจมูกทำให้เขารู้สึกคลื่นเ**ยนอย่างบอกไม่ถูก ร่างบางเริ่มทนไม่ไหวจนต้องรีบขอตัวออกจากงานเลี้ยงกลางคัน ก่อนเร่งฝีเท้าก้าวออกจากงานอย่างรวดเร็ว
"อุ๊... อ้วก......โอ๊ก......" หยางจิวเมิ่งวิ่งออกมาได้ก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก โดยไม่ทันสังเกตว่ามีใครบางคนแอบตามเขาออกมาจากงานเลี้ยง
" อ๊อก....แค่กๆ "
"เฮ้อ.."
ร่างบางอาเจียนจนหมดแรงถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายกับอาการของตนเอง พอเงยหน้าขึ้นก็เกิดอาการวิงเวียนจนยืนไม่อยู่ เขาเซจนหงายหลังจะล้มลง แต่กลับมีอ้อมแขนแกร่งมาคว้าเอวบางเอาไว้ได้ทัน
"เจ้าเป็นอันใดไป ป่วยหรือ" น้ำเสียงนุ่มทุ้มถามออกมาอย่างอ่อนโยน เป็นเหอจิ้นเค่อที่ตามเขาออกมาเพราะเห็นอาการผิดปกติของหยางจิวเมิ่งเขาจึงได้นึกเป็นห่วงนัก เด็กหนุ่มผู้นี้แม้จะร่างกายผอมบางจนน่าทะนุถนอมแต่ก็เป็นคุณชายน้อยรูปงามคนหนึ่งไม่ได้ดูซีดเซียวเหมือนดังเช่นตอนนี้
"ปล่อย เรื่องของข้า" ใบหน้าหวานเชิดรั้นเสตาหลบไม่ยอมสบตามองคนตรงหน้าแม้แต่น้อย เพราะยังคงโกรธในสิ่งที่เคยถูกกระทำอยู่ แม้เขาจะหายกลัวคนตรงหน้าลงไปบ้างแล้วก็ตาม แต่เรื่องที่เคยประสบมามันก็ยากที่จะทำใจยอมรับอีกฝ่ายได้โดยง่าย
"ทำไมสีหน้าเจ้าซีดเซียวถึงเพียงนี้ ข้าตามหมอให้ดีหรือไม่" ชายหนุ่มยังคงเป็นห่วงจึงถามออกไปด้วยความกังวล
"ไม่จำเป็น ปล่อยข้าได้แล้ว"
ร่างบางพยายามดิ้นรนขัดขืนเพื่อหลบหนีจากอ้อมกอดนั้นจนหลุดจากพันธนาการได้สำเร็จ เพียงแค่สะบัดแขนอีกฝ่ายออกได้เขาก็เซจะล้มอีกครั้งเพราะอาการวิงเวียนยังเล่นงานอยู่ ร่างหนาเห็นอาการคนดื้อตรงหน้าก็รีบรั้งตัวไว้อย่างว่องไวก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มลงไปจริงๆ
"ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ..บอกให้ปล่อยไง.." อยู่ๆ ร่างบางก็รู้สึกเหม็นคนตรงหน้าอย่างมาก เมื่อถูกรั้งกายเข้ามาใกล้ชิดจึงยิ่งพยายามดิ้นหนีอย่างสุดแรง
"เจ้าแค่ยืนยังไม่ไหวเลยจะดื้อทำไมกัน" น้ำเสียงอ่อนโยนพยายามห้ามปรามคนที่ดื้อดึงนั้น
"ข้าไม่อยากเห็นเจ้า..ปล่อย.. อุ๊บ" มือบางยกขึ้นปิดปากก่อนจะปัดป่ายออกจากอ้อมแขนแกร่งที่กอดรัดตนไว้จนหลุดวิ่งไปอาเจียนอีกครา
"โอ๊ก.........."
"แค่กๆ"
"อ๊วก................"
ร่างบางโก่งคออาเจียนอย่างหนักอยู่นานจนน้ำตาเอ่อ พออาการเริ่มสงบลงเขาก็เตรียมจะหันกลับไปเพื่อตั้งหลักจะเดินหนีคนตรงหน้า แต่สายตาเขาก็กลับพร่าเลือนขึ้นมาเสียอย่างนั้น มือบางไขว่คว้าหาที่ยึด สุดท้ายคว้าได้บางอย่างดูเหมือนจะเป็นท่อนแขนใครสักคนที่โอบรับเขาเอาไว้ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
.
.
.
TBC.
#พรวิเศษ