หลังจากกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ฉันกับคุณฌอนก็ออกจากเพ้นท์เฮ้าส์ด้วยกันจังหวะนั้นลิฟต์ถูกเรียกขึ้นไปที่ชั้น 25 มองชายร่างสูงใหญ่สวมเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์สีซีด สวมรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีดำรอยสักเต็มตัวเลย เห็นแล้วใจสั่นมาก (ฉันชอบคนสักไง ถึงเนสจะไม่สักก็เถอะนะ) เขาจับจ้องฉันสักพักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นหงุดหงิด ทำไมถึงต้องทำหน้าแบบนั้นใส่ฉันด้วย? ฉันไปทำอะไรให้ฮะ ตาบ้า!
“ถ่ายแบบรองเท้านะครับ แล้วก็มีสัมภาษณ์คอลัมน์นิตยสารกับคุณลี้เทียนครับ”
“โอเคค่ะ”
ตอบรับคุณฌอนที่ดูตารางงาน ซึ่งฉันก็ต้องสงสัยเมื่อชายร่างสูงใหญ่มีรอยสักเต็มทั้งสองแขนที่ยืนตรงหน้าฉันเขาหันมามอง พลางถอนหายใจอย่างหงุดหงิด อะไรคือเห็นฉันแล้วถอนหายใจ!
“มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
“เปล่า” ถามออกไปแต่เขาก็ปฏิเสธได้เสียมารยาทมาก หางเสียงนี้ไม่มีสักนิดเลย “รกหูรกตา”
“อะไรนะคะ” คราวนี้ได้ยินเต็มสองหูเลยสกาย ผู้ชายคนนี้ต้องว่าฉันแน่ๆ “คุณว่าฉันเหรอคะ?”
“ผมไม่ได้เอ่ยชื่อคุณสักคำ” กวนตีนแล้วไง! หันมามองฉันก็ต้องว่าฉันไหม หันมามองฉันพลางเบะปาก เป็นการเบะปากที่น่าตบที่สุดแล้วมั้ง “ผมอาจจะหมายถึงจิ้งจก ตุ๊กแกในลิฟต์ก็ได้”
ตอบฉันพลางยักไหล่และมองไปด้านบนลิฟต์ ถามหน่อยนะลิฟต์มันจะมีจิ้งจก ตุ๊กแก แมลงสาบให้เขาไหม? ก็ไม่ปะ เขาต้องด่าฉันแน่ๆ และการแถของเขาคือทำเอาเลือดขึ้นหน้าเลยแหะ จะมาปฏิเสธทำไมก่อน ฉันไปทำอะไรให้จะว่าเคยหักอกก็ไม่ เพราะฉันเพิ่งจะเคยเจอกันที่นี่ ตอนนี้และเวลานี้ที่เขาด่าฉันอะ
“นี่คุณ...”
“ใจเย็นๆ นะครับ” คุณฌอนดึงต้นแขนฉันไว้เพื่อไม่ให้เข้าไปกระโจนตะกุยหน้าผู้ชายคนนี้ หล่อแต่ปากเสียแบบนี้ฉันก็ไม่สนหรอกนะ จะถือซะว่าเขาด่าลม ด่าลิฟต์ก็แล้วกัน เหอะ “แคสติ้งบท ยังไงก็ตั้งใจหน่อยนะครับ”
“รับทราบค่ะ”
คุณฌอนพยายามเปลี่ยนเรื่องแล้วก็ได้ผลเมื่อลิฟต์พาเรามาถึงชั้นล่าง ผู้ชาย คนนั้นก็เดินออกไป สายตาของฉันก็พาให้มองตามเขาที่ขึ้นรถจากัวร์สุดหรูขับออกจากเพ้นท์เฮ้าส์ผ่านหน้า แต่คนๆ นี้ทำไมถึงได้คุ้นจังนะพอเห็นแบบนี้แล้ว แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกอะ
“สกาย ขึ้นรถ”
รถตู้สีดำที่ฉันซื้อไว้ให้ผู้จัดการฌอนมันสะดวกสบายเวลาที่ฉันทำงานกลับดึกๆ ง่วงจะได้นอนไง อันที่จริงเนสเคยออกปากว่าจะขับรถของฉันไปรับฉันเอง โดยปกติฉันแทบจะไม่ได้แตะรถส่วนตัวเลยด้วยซ้ำ แต่คุณฌอนก็รีบบอกเนสทันทีว่าไม่ต้องแสดงตัวออกไปมากขนาดนั้นเดี๋ยวนักข่าวที่ตามติดจะรู้ว่าเนสกับฉันเป็นอะไรกัน เฮ้อ นี่ละนะ เข้าวงการมาได้ไม่นานก็ยังเปิดตัวไม่ได้ เมื่อไหร่จะเปิดได้ล่ะฉันน่ะเห็นใจเนสจริงๆ ที่เขาต้องทนเป็นคนไร้ตัวตนในชีวิตฉัน ทั้งที่เขามีค่ามาก ฉันชอบเขาเพราะเขาเป็นเขา เป็นผู้ชายที่ดีมากเลย
มาถึงสถานที่ที่สำหรับถ่ายแบบรองเท้าที่คาเฟ่แห่งหนึ่ง ดูเหมือนจะคึกคักน่าดูเลยนะวันนี้ นักท่องเที่ยวที่มาจิบกาแฟกันพอเห็นฉันลงจากรถก็พากันกรูเข้ามาจนคุณฌอนต้องกันพวกเขาให้ออกห่าง ฉันแจกลายเซ็นและถ่ายรูปคู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ก็ยกมือพนมไว้กลางพลางฉีกยิ้มกว้าง
“สกายขอตัวไปถ่ายงานก่อนนะคะ”
“ได้เลยค่ะ น่ารักอะ!”
เมื่อพวกเขาแหวกทางให้ฉันเดินเข้าไปในคาเฟ่ ฉันก็บอกคุณฌอนขอชาเขียวปั่นหวานแก้วหนึ่ง ก่อนทำงานจะต้องเพิ่มพลังด้วยความหวาน ด้านหลังคาเฟ่ดูเหมือนกำลังจะจัดสถานที่ที่เป็นมุมไว้ถ่ายรูปตอนนี้เอาสายสีเหลืองพันรอบไว้ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไป (ยังกับเกิดคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น) ทิ้งตัวลงนั่งตรงหน้ากระจกเตรียมพร้อมแต่งหน้า
“คิดถึงนะครับ พี่ถ่ายงานเสร็จก็น่าจะบ่ายแก่ๆ พี่ไปรอรับที่มหาลัยนะ งืม เดียร์ของพี่เทียนน่ารักที่สุด”
“แหวะ”
“แค่นี้ก่อนนะครับ พอดีมีคนแถวนี้เขาแพ้ท้องน่ะครับ” คว้าเอาแปรงปัดหน้าเตรียมเขวี้ยงลี้เทียนเพื่อนร่วมงานที่ตอนนี้ฉันสนิทกับเขาที่สุดแล้ว “อิจฉาอะดิ”
เบ้ปากมองคนตัวสูงที่ทิ้งตัวนั่งข้างฉัน พอเห็นลี้เทียนคุยกับแฟนได้อย่างเปิดเผยมันก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ นะ ฉันน่ะอยากคุยกับเนสได้ทุกเวลาที่ไม่ใช่แค่กลับไปถึงห้องแค่นั้น ฉันอยากเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังว่าวันนี้ฉันเจออะไรมาบ้าง พอกลับไปถึงห้องก็นอนหลับแล้ว ไม่นับบนเตียงที่ทำเรื่องอย่างว่ากันนะ
“อือ”
“เป็นอะไร?” ฝ่ามือหนาทาบทับลงบนไหล่เรียกใบหน้าให้หันไปมองลี้เทียน “พูดเล่นเอง”
“รู้ แต่อิจฉาจริงๆ นั่นแหละ”
“สกาย” รอยยิ้มของฉันผุดขึ้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก็เอนศีรษะพิงเก้าอี้เบาะ ที่รองหนุน
“ฉันน่ะมีแฟนก็เปิดเผยไม่ได้” ที่พูดได้แบบนี้เพราะช่างแต่งหน้าและคนอื่นๆ ยังไม่เข้ามา “ฉันอยากโทรหาแฟนตัวเอง พูดคุยเหมือนที่คนอื่นเขาทำบ้าง แต่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะกลัวชื่อเสียงตัวเองจะพัง”
“เฮ้อ”
“ตลกใช่ไหม?”