บทที่ 2.2 ค้าขายย่อมมีกำไร

2382 คำ
บทที่ 2.2 ค้าขายย่อมมีกำไร “พี่ใหญ่ท่านเร่งมาดูเร็วเข้า” เสียงของซ่งหานลู่ดังก้อง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่าบนโต๊ะเล็กมีอาหารสามจาน และข้าวพูนจานอีกสามถ้วย “พี่ใหญ่ท่านตีข้าที นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ นะ... นี่ เนื้อหรือขอรับ” ซ่งหานลู่ใช้ตะเกียบคีบเนื้อมาจากจานผัด ดวงตากลมเปล่งประกายฉ่ำวาวไปด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ไม่เพียงมีข้าวพูนจาน วันนี้เขายังมีเนื้อกินด้วย หรือว่านี่จะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายในชีวิตที่สวรรค์ประทานมาให้ “น้องเล็ก เจ้าอย่ามัวแต่ตื่นเต้นรีบไปล้างเนื้อล้างตัวแล้วมากินข้าวตอนที่ยังร้อนๆ จะได้ไม่เสียรส” เมื่อได้ยินพี่สาวเอ่ยบอก คนที่ตื่นเต้นกับอาหารตรงหน้าก็รีบไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะกลับมานั่งที่เก้าอี้ตัวเก่าจวนพัง ใช้ตะเกียบคีบเนื้อและข้าวในชามใส่ปาก ดวงตากลมเบิกกว้างเอ่ยเสียงอู้อี้ “พี่รองนี่เป็นอาหารฝีมือของท่านจริงๆ หรือ” เพราะที่ผ่านมาซ่งไป๋ลู่ไม่เคยจับงานทั้งหนักทั้งเบา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนอกบ้านในบ้านล้วนมีซ่งต้าลู่จัดการ ดังนั้นอาหารมื้อแรกที่นางทำและยังทำได้ดีถึงเพียงนี้จึงทำให้น้องชายตัวน้อยตื่นเต้นยินดียิ่ง “แน่นอนว่าเป็นฝีมือพี่รองของเจ้า” “เช่นนั้นท่านทำอาหารทุกวันได้หรือไม่ ข้าชอบฝีมือท่าน” แน่นอนว่าประโยคนี้ซ่งหานลู่เอ่ยมาจากความจริงแปดส่วน อีกสองส่วนล้วนเอ่ยขึ้นเพราะต้องการให้พี่รองของตนช่วยงานพี่ใหญ่ที่แสนดีของเขา “พี่รองของเจ้าอายุยังน้อย เรื่องเข้าครัวข้าจะจัดการเอง” ซ่งไป๋ลู่ไม่ทันตอบรับคำขอของน้องชาย ซ่งต้าลู่ก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะยื่นตะเกียบคีบผักในจานใส่ถ้วยข้าวของตนเอง ตลอดมื้ออาหารไม่แตะต้องเนื้อหมูเลยสักชิ้น ของดีๆ ควรมีไว้ให้น้องทั้งสองของเขา “พี่ใหญ่ท่านทำงานเหนื่อยมากแล้ว เรื่องในครัวต่อไปให้ข้าดูแลเถอะนะเจ้าคะ” ซ่งไป๋ลู่เอ่ยบอกพลางคีบเนื้อหมูให้คนเป็นพี่ชาย ซ่งต้าลู่มองความใส่ใจของน้องสาวตรงหน้าด้วยความเต็มตื้นในอก ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “เช่นนั้นก็ได้” “พี่ใหญ่ท่านลำเอียง! ยามเป็นข้าบอกท่านไม่เคยรับฟัง ทว่าพอเป็นพี่รองบอกไม่ว่าคำใดก็ล้วนตามใจนาง” ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงน้อยใจ หากแต่ตะเกียบยังคงคีบข้าวในถ้วยลงท้อง ซ่งไป๋ลู่ยกยิ้มกว้างแสร้งหยิบจานเนื้อหนีตะเกียบเล็ก “อ่ะ! พี่รองท่านจะเอาผัดเนื้อของข้าไปไหน” “เจ้าไม่เชื่อฟังพี่รอง...” “ฟังๆ ข้าล้วนฟังท่าน พี่รองข้าขอกินเนื้ออีกสักชิ้นนะ ชิ้นเดียวเท่านั้น” ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงอ่อนพร้อมส่งสายตาอ้อนวอน ซ่งไป๋ลู่ที่ไม่ได้คิดรังแกอีกฝ่ายจริงจังเห็นเช่นนี้ก็ยื่นจานเนื้อส่งให้คนเป็นน้อง แล้วคีบหมูใส่ชามให้คนเป็นพี่อีกสองชิ้น “พี่ใหญ่ท่านเองก็ควรกินเนื้อให้มากหน่อย เป็นบุรุษต้องมีร่างกายกำยำจึงจะปกป้องข้ากับน้องเล็กได้” ซ่งต้าลู่มองเด็กหญิงที่คล้ายจะเติบโตขึ้นในช่วงข้ามคืนแล้วพลันเกิดแววตาสงสัยหวาดระแวง นางใช่ซ่งไป๋ลู่น้องสาวคนเดิมของเขาอยู่หรือไม่ “ผ่านความตายมาครั้งหนึ่งให้ข้าก่อนหน้าโง่งมแค่ไหนก็ต้องมีความคิดขึ้นมาบ้าง” ซ่งไป๋ลู่อ่านสายตาของเด็กชายตรงหน้าออกก็รีบเอ่ยบอกเขา โชคดีที่นางเตรียมคำตอบเอาไว้แล้วจึงสามารถหลบเลี่ยงข้อสงสัยของซ่งต้าลู่ไปได้อย่างแนบเนียน “น้องเล็ก พรุ่งนี้ไปช่วยข้าเก็บลูกท้อบนเขาดีหรือไม่” “ข้าเชื่อฟังพี่รอง” ซ่งหานลู่ตอบทั้งที่ยังมีข้าวอยู่เต็มกระพุ้งแก้มทั้งสอง มือเล็กจับจานเนื้อเอาไว้ เกรงว่าถ้าคำตอบของตนไม่ถูกใจพี่สาวอีกฝ่ายจะยึดจานเนื้อตรงหน้าไปอีกรอบ ซ่งไป๋ลู่เห็นท่าทางเช่นนี้ก็อดที่จะขบขันไม่ได้ บ้านหลังเล็กจึงก้องไปด้วยเสียงหัวเราะเป็นครั้งแรก ...................................................... วันต่อมาซ่งไป๋ลู่พาน้องชายตัวน้อยขึ้นเขามาเก็บผลท้อ หลังจากสอนอีกฝ่ายแยกแยะผลสุกผลดิบตัวนางก็เดินไปสำรวจรอบๆ แม้ผลท้อจะขายได้ดี ทว่าคงไม่สามารถใช้เลี้ยงชีวิตไปได้ตลอด อีกอย่างต้นท้อบนเขามีไม่มากไม่นานก็คงถูกนางเก็บจนหมด ดังนั้นซ่งไป๋ลู่จึงต้องหาผลผลิตอย่างอื่นเพิ่มเติม เดินมาได้ไม่ไกลนักนางก็พบผักป่า มือเล็กเดินเก็บมาหนึ่งหอบก็พบต้นบ๊วยใหญ่ ริมฝีปากเล็กยิ้มอย่างพึงพอใจ วางผักป่าในมือปีนป่ายขึ้นต้นบ้วยเก็บผลของมันใส่จนเต็มตะกร้า สองพี่น้องคนหนึ่งเก็บผลท้อ อีกคนเก็บผลบ๊วยยามที่ตะวันคล้อยต่ำ ซ่งต้าลู่ก็เอาล้อลากมาขนตะกร้าสานแปดใบที่ตีนเขาไปส่งยังบ้านตระกูลกู้ “อาไป๋เจ้ามาแล้ว” กู้เหยียนร้องอย่างดีใจก่อนจะวิ่งออกจากบ้านมารับตะกร้าท้อจากไหล่เล็ก โดยไม่สนใจสหายที่กำลังเข็นผลท้อแปดตะกร้า “ข้ากำลังเป็นห่วงกลัวว่าอาต้าจะไปรับเจ้าที่ตีนเขาไม่ทันฟ้ามืด” “พี่ใหญ่เป็นคนตรงเวลามาก พี่กู้เหยียนไม่ต้องกังวลแทนพี่รองไปหรอกขอรับ” ซ่งหานลู่เอ่ยแทนพี่ชาย พร้อมทั้งขยับตัวไปแทรกตรงกลางระหว่างพี่สาวและพี่ชายต่างแซ่ “พี่สาวข้าอายุสิบปีแล้ว พี่กู้เหยียนท่านต้องระวังสักหน่อยอย่าอยู่ใกล้นางมากเกินไป คนจะนินทาพี่สาวข้าได้” คิ้วเล็กของซ่งไป๋ลู่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะขบขันกับท่าทางหวงพี่สาวของซ่งหานลู่ “พี่กู้เหยียนอย่าถือสาน้องเล็กของข้าเลยนะเจ้าคะ” “อาหาน ห่วงใยเจ้าข้าจะถือสาเขาได้อย่างไร เป็นพี่กู้เหยียนของเจ้าที่คิดไม่รอบคอบอาหานอย่าได้ตำหนิเลย” กู้เหยียนเอ่ยเสียงอ่อนอย่างเอาใจ ซ่งไป๋ลู่ให้ความสำคัญกับพี่น้อง ดังนั้นเขาย่อมต้องใส่ใจพี่น้องของนางเช่นกัน “อ่อ... นี่เมล็ดพืชที่เจ้าฝากข้าซื้อมา” กู้เหยียนบอกพร้อมกับส่งถุงผ้าหลายใบให้ซ่งไป๋ลู่ “ขอบคุณพี่กู้หยียน” “เรื่องเล็กน้อยจะขอบคุณทำไมกัน ว่าแต่เจ้าซื้อเมล็ดพันธุ์มามากมายจะปลูกผักหรือ” “เจ้าค่ะ ที่ดินหลังบ้านว่างอยู่ข้าเลยคิดว่าจะปลูกผักไว้กินสักหน่อย” “เช่นนั้นหากอยากให้ข้าไปช่วยขึ้นแปลงก็บอก ข้าจะไปทำให้” เมื่อกู้เหยียนอาสาเสียงหนักแน่น ซ่งไป๋ลู่จึงทำได้เพียงเอ่ยขอบคุณในน้ำใจของอีกฝ่าย “ส่งของเสร็จแล้วพวกเราไม่รบกวนท่าน ขอตัวก่อน” เมื่อเห็นว่าซ่งต้าลู่ขนของลงจากรถลากหมดแล้ว ซ่งไป๋ลู่ก็เอ่ยขอตัวกลับบ้านในทันที “เย็นมากแล้วข้าจะไปตักน้ำมาให้พวกเจ้าใช้ล้างเนื้อล้างตัว” เมื่อกลับถึงบ้านซ่งต้าลู่เอ่ยบอกพร้อมกับหยิบถังไม้เดินจากไป ซ่งไป๋ลู่หยิบผักป่าที่เก็บมาวันนี้ออกมาล้าง จัดการทำมือเย็นง่ายๆ “พี่รองวันนี้มีเนื้อกินหรือไม่” ซ่งหานลู่ขยับตัวเล็กๆ ของตนเองมาประชิดพี่สาวแล้วเอ่ยถามเสียงคาดหวัง ซ่งไป๋ลู่ใช้ปลายนิ้วหงิกแก้มตอบของน้องชายที่สูงแค่เอวของนางเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงดุไม่จริงจังนัก “ก่อนหน้าพี่ใหญ่ลงครัวเจ้าก็ก่อกวนเขาเช่นนี้ใช่หรือไม่” “พี่ใหญ่ทั้งเข้มงวด ทั้งดุขนาดนั้น ข้าจะกล้าได้อย่างไร มีเพียงพี่รองที่ใจดีข้าจึงกล้ามาออดอ้อนเช่นนี้” “น้องเล็ก อย่ากวนพี่รองของเจ้า เร่งไปอาบน้ำล้างตัว” น้ำเสียงราบเรียบของซ่งต้าลู่ที่ดังขึ้นกะทันหันจากด้านหลัง ทำเอาซ่งหานลู่ตกใจจนไหล่เล็กยกขึ้น หมุนตัวช้าๆ หันไปยิ้มให้พี่ชายคนโต ไม่ใช่ว่าเมื่อครู่พี่ใหญ่ออกไปตักน้ำที่ลำธารหรือเหตุใดกลับมาเร็วนัก เช่นนี้ประโยคเมื่อครู่ของเขาอีกฝ่ายก็ย่อมได้ยินใช่หรือไม่ “พี่ใหญ่เมื่อครู่ท่านไม่ได้ยินสิ่งใดใช่หรือไม่” “ย่อมไม่ได้ยิน” ซ่งหานลู่ถอนหายใจยาว ยิ้มกว้าง หากแต่เมื่อได้ยินประโยคต่อมาของพี่ชายใบหน้าก็พลันซีดลงในทันที “เพียงแต่ข้าเป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดและดุมาก หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังข้าวเย็นมื้อนี้ก็คงต้องงด” “เชื่อฟัง เชื่อฟัง ข้าเชื่อฟังพี่ใหญ่จะเร่งไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้” ซ่งไป๋ลู่มองน้องชายคนเล็กที่กลายร่างเป็นม้าเร็ววิ่งออกจากห้องครัวออกไปแล้วหัวเราะขบขัน ขณะที่ซ่งต้าลู่เดินเข้ามารับตะหลิวจากมือเล็ก “เจ้าเองก็ไปล้างตัวเถิดงานในครัวเดี๋ยวข้าทำต่อเอง” “แล้วท่านเล่าไม่ไปล้างตัวหรือเจ้าคะ” “ข้าจัดการตัวเองเรียบร้อย” เมื่อได้ยินพี่ชายเอ่ยเช่นนี้ซ่งไป๋ลู่ก็ยอมปล่อยมือจากตะหลิว แล้วไปจัดการตนเอง ราวครึ่งชั่วยามต่อมาบนโต๊ะเล็กเก่าๆ กลางบ้านก็มีอาหารสองจาน และข้าวสวยพูนชามอีกสามชาม คนที่ยินดีจนยิ้มกว้างย่อมเป็นซ่งหานลู่ ดวงตากลมมองผักป่าผัดหมูสามชั้นด้วยสายตาเป็นประกาย สองแก้มเคี้ยวข้าวจนใบหน้าตอบกลมขึ้นมา ซ่งไป๋ลู่มองน้องชายของตนแล้วจินตนาการถึงยามที่ซ่งหานลู่มีเนื้อมีหนังขึ้นมา ย่อมต้องเป็นเด็กชายที่น่ารักมากผู้หนึ่ง ดังนั้นหลังจากที่ข้าวของอีกฝ่ายพร่องไปครึ่งถ้วยนางก็แบ่งข้าวในชามของตนเองให้เขาอีกครึ่งชาม “ขอบคุณพี่รอง ท่านใจดีที่สุด” ซ่งหานลู่เอ่ยเสียงยินดี ใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวใส่ปากอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วแน่น มองการกระทำของน้องสาวอย่างไม่ยินดีนัก “น้องรอง เจ้าทำเช่นนี้ตนเองจะอิ่มได้อย่างไร” เมื่อได้ยินคำของพี่ชาย ตะเกียบของซ่งหานลู่ก็ชะงัก กลืนข้าวในปากลงท้องแล้วส่งชามข้าวของตนให้พี่สาว “ใช่แล้วๆ พี่รองท่านต้องกินให้มากๆ ท้องอิ่มจะได้มีแรงทำงานหาเงินมาซื้อเนื้อให้พวกเรากินอีก” ซ่งไป๋ลู่ที่เดิมทีกำลังจะซาบซึ้งกับคำพูดของเจ้าก้อนแป้งตัวกลมพลันชะงักค้าง ก่อนจะขบขันดันชามข้าวคืนคนช่างพูด “วันนี้เจ้ากินมากหน่อย แล้วพรุ่งนี้ค่อยเก็บผลท้อเพิ่มอีกสักสองตะกร้าชดเชยดีหรือไม่” “ย่อมได้ ข้าจะเก็บชดเชยให้ท่านสี่ตะกร้าเลย” ซ่งไป๋ลู่ยิ้มกว้างกับท่าทีของน้องชาย แล้วคีบเนื้อหมูใส่ชามพี่ชายของตน “ข้าเป็นสตรีกินมากไปหากอ้วนเป็นแม่หมู ภายหน้าคงไม่มีใครกล้ามาสู่ขอไปเป็นภรรยา” “เป็นเช่นนั้นก็ดี” ซ่งต้าลู่เอ่ยน้ำเสียงจริงจัง หากแต่ซ่งไป๋ลู่กลับคิดว่าเขาหยอกเย้า คีบหมูใส่ชามข้าวเขาเพิ่มแล้วเอ่ยอีกประโยค “จะดีได้อย่างไร ยามที่ท่านกับน้องเล็กแต่งภรรยาเข้ามา ข้าจะไปอยู่ที่ใดเล่า” “ชีวิตนี้ข้าไม่แต่งภรรยา เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องกังวล” ซ่งไป๋ลู่ได้ยินคำของเด็กหนุ่มก็ยิ้มกว้างส่ายหน้าไปมา ยามนี้อีกฝ่ายยังไม่รู้จักเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงจะยึดติดกับพี่น้องเช่นนางและซ่งหานลู่ก็ไม่แปลกนัก เพียงแต่เมื่อนึกเรื่องราวในนิยาย ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่กล่าวถึงภรรยาของซ่งต้าลู่ หรือว่าทั้งชีวิตเขาจะไม่แต่งภรรยาจริงๆ หลังมื้อเย็นซ่งไป๋ลู่ก็เข้าครัวอีกครั้งไม่นานนักก็ยกกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกขัดจนเกลี้ยงเกลาเข้ามาสามใบ “พี่รองนั่นอะไรหรือขอรับ” “นมแพะอุ่นอย่างไรเล่า” “สิ่งนี้เป็นของมีราคามากไม่ใช่หรือขอรับพี่รอง พวกเรากินบ่อยๆ จะดีหรือ” นับจากที่พี่สาวเขาเริ่มขายผลท้อ นอกจากอาหารจานเนื้อและข้าวสวยพูนจานแล้ว สิ่งที่นางมักนำมาให้เขากับพี่ใหญ่กินเป็นประจำก็คือนมแพะ ทว่าของเหล่านี้ล้วนมีราคา หากกินบ่อยๆ ย่อมไม่สมควร “ของดีย่อมต้องมีราคา” ซ่งไป๋ลู่เอ่ยตอบพร้อมกับหยิบนมแพะส่งให้เจ้าก้อนแป้งตัวน้อย ซ่งต้าลู่ขมวดคิ้วหนาเมื่อเขาก็ได้รับนมแพะจากน้องสาวด้วยเช่นกัน “น้องรอง ข้าไม่จำเป็นต้องดื่มนมแล้ว” ตอนนี้เขาอายุสิบสี่ ชุนเกาอี้ลูกชายของนายช่างชุนอายุสิบห้าก็แต่งภรรยาแล้ว ยังจะให้ดื่มนมราวเด็กน้อยเช่นน้องเล็กของเขาได้อย่างไร “ข้าอยากได้พี่ชายที่แข็งแรง พี่ใหญ่ท่านดื่มเถิดสิ่งนี้ข้าใช้ความยากลำบากไม่น้อยจึงแลกมาได้ หากทิ้งไปย่อมน่าเสียดายนะเจ้าคะ” ซ่งต้าลู่เดิมทีไม่คิดจะรับนมแพะมาดื่ม ทว่าเมื่อได้ฟังคำของน้องสาวก็ไม่อาจต่อต้าน ยื่นมือไปรับมาดื่มอย่างว่าง่าย ความหวังดีของน้องรองเขาจะปฏิเสธได้อย่างไร ...................................................... มีใครหลงรักอาหานเหมือนไรต์บ้าง เจ้าก้อนแป้งช่างพูด และรักเนื้อที่สุด^^
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม