ภาคินทร์กดรับสายและพูดคุยไม่กี่ประโยค การสนทนาก็จบลง ก่อนหันมาหาน้องชาย
“พี่ไปก่อนนะ แพทเปลี่ยนที่นัดเป็นร้านอาหารข้างบน” บอกภาวิตจบก็ก้มหน้ามองเด็กหญิงอลิสสา “ลุงไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันคราวหน้านะครับ”
“ค่ะคุณลุง น้องแก้มจะคิดถึงคุณลุงธามนะคะ” อลิสสาช่างพูด ภาคินทร์ยิ้มหอมแก้มหนูน้อยเป็นการจากลา
“ลุงสัญญาว่า จะคิดถึงน้องแก้มทุกวันเลยครับ” ภาคินทร์วางมือลงบนศีรษะอลิสสาแล้วโยกเบาๆ “ลุงไปก่อนนะครับ”
ภาคินทร์ยิ้มให้เด็กหญิงอีกครั้ง ความรู้สึกของเขาตอนนี้ไม่อยากไปไหน อยากนั่งอยู่ตรงนี้ต่ออีกสีกนาทีสองนาที แต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ เขารีบลุกเดินไปทันทีที่พูดจบ
ร่างภาคินทร์เดินห่างไปไม่ถึงห้าเมตร ชมพลอยได้เดินมาถึงม้านั่งที่ภาวิตกับอลิสสานั่งอยู่ เธอคลาดกับภาคินทร์เพียงไม่กี่วินาที
“เมื่อกี้เห็นผู้ชายตัวโตๆ นั่งอยู่ ใครเหรอ” ขณะที่เดินมาหาภาวิต ชมพลอยเห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งข้างลูกสาว แถมยังนั่งตักชายคนนั้นอีกด้วย หากภาวิตไม่นั่งอยู่ด้วย เธอคงวิ่งสี่คูณร้อยมาหาลูกสาวแน่ เพราะชายคนนั้นเธอไม่รู้จัก
“พี่ธาม พี่ชายผมเอง บังเอิญเจอกันน่ะครับ” ภาวิตตอบ “น่าเสียดายนะที่เกรซไม่ได้เจอพี่ภาม ไม่งั้นจะแนะนำให้รู้จัก”
ชมพลอยไม่ได้สะดุดใจกับชื่อเล่นพี่ชายภาวิต แม้ว่าชื่อนี้เป็นชื่อที่เธอไม่เคยลืม แต่ก็คิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะใช้ ‘ธาม’ คนนั้น...คนที่เป็นพ่อของลูก เหตุผลง่ายๆ คือคนชื่อเหมือนมีออกเยอะแยะ อีกทั้งโลกไม่ได้กลมขนาดนั้น
“เอาไว้โอกาสหน้าก็ได้ค่ะ” ชมพลอยตอบกลับ “เกรซว่าเราไปกันดีกว่าค่ะ เสียเวลาเพราะความขี้ลืมของเกรซมาเกือบสิบห้านาทีแล้ว”
ภาวิตรับถุงใส่มะเขือเปราะไปใส่รวมกับถุงใส่ผัก ก่อนเป็นคนหิ้วถุงผ้าที่ชมพลอยเตรียมมาจากบ้าน จากนั้นทั้งสามก็เดินไปยังลานจอดรถที่อยู่กันคนละทางกับที่ภาคินทร์เดินไป
ภาคินทร์เดินไปราวสิบเมตรก็หันมามองทางด้านหลัง ภาพที่เขาเห็นคือสตรีรูปร่างดีหันหลังจูงมืออลิสสา ข้างกายมีร่างภาวิตเดินอยู่ด้านข้างเด็กหญิง เขาเข้าใจว่าหญิงสาวคนนั้นคงเป็นมารดาหนูน้อยช่างพูดที่ตนเอ็นดู ความที่เธอหันหลังเดินไปยังลานจอดรถ ภาคินทร์จึงไม่ได้เห็นหน้าแม่ของเด็กหญิง ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร หันกลับไปเดินตามทิศทางที่ตนต้องการไป
หากภาคินทร์อยู่ต่ออีกสักนิด เขาก็จะได้เห็นหน้ามารดาของอิลสสา ซึ่งก็ไม่รู้ว่า นายแพทย์หนุ่มจะทำตัวอย่างไร เมื่อรู้ว่าสตรีที่เขาวันไนท์แสตนด์คืนนั้น คือผู้หญิงที่น้องชายติดพันและตั้งใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ไม่มีใครรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจภาคินทร์ จนกว่าวันนั้นจะมาถึง...
เป็นอีกวันหนึ่งที่พิเศษสำหรับชมพลอย วันนี้เธอได้ลงมือทำอาหารเลี้ยงเพื่อนสนิทสองคนคือชมพูนุชหรือพู่ เพื่อนที่รู้จักกันตอนไปเรียนที่ประเทศเยอรมันนี และอีกหนึ่งคนคือเอกวัฒน์บุรุษพยาบาลประจำโรงพยาบาลเอสอาร์ เมเมอรัล ที่รู้จักกันเพราะเขาเป็นเพื่อนกับชมพูนุช และอีกหนึ่งคนคือภาวิต ชายหนุ่มที่ตามจีบตน
ซึ่งนานครั้งจะได้กินอาหารกันพร้อมหน้าแบบนี้ เนื่องจากชมพูนุชไปทำงานต่างจังหวัดนานร่วมสี่เดือน เพิ่งกลับมาบ้านวันนี้ ส่วนเอกวัฒน์ทำงานที่โรงพยาบาล การเข้างานไม่ได้เข้าแปดโมงเช้าเลิกห้าโมงเย็น แต่เข้างานเป็นกะตามตารางเวรที่หัวหน้างานจัดไว้ เวลาของทั้งสามจึงไม่ตรงกัน พอมีโอกาสได้เจอหน้ากัน ชมพลอยจึงทำกับข้าวสุดฝีมือเพื่อวันนี้
“แล้วนี่แกต้องไปอุบลอีกหรือเปล่า”
ชมพลอยถามชมพูนุชขณะนั่งกินข้าว
“ฉันลาออกแล้ว ฉันถึงกลับมานี่ไง” ชมพูนุชตอบ
“ทำไมล่ะ มีปัญหาเรื่องงานเหรอ” คนถามคือเอกวัฒน์
“เรื่องงานไม่เท่าไหร่ หนักและเยอะแค่ไหนฉันก็สู้ แต่คนนี่สิ ทำงานกับคนเห็นแก่ตัว คนเอาเปรียบมันเหนื่อยนะ เหนื่อยทั้งกายและใจ อีกอย่างเจ้านายก็ไม่ดีด้วย ดันไปเข้าข้างคนเอาเปรียบ ฉันก็เลยลาออกให้พวกนั้นทำงานกันเอง อยากรู้จังว่าจะทำได้ดีกว่าที่ฉันทำหรือเปล่า”
ชมพูนุชทำงานเป็นเลขานุการ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่เลขาเพียงอย่างเดียว ความที่เธออายุน้อยกว่าทุกคนในบริษัท เธอจึงถูกใช้งานนอกเหนือจากหน้าที่ ทว่าคนที่เอาหน้าเอาตาแทนคนทำคือคนที่สั่ง ชมพูนุชเก็บความรู้สึกมาตลอด อดทนมานานสามปี จนกระทั่งเก็บไว้ไม่ไหว จึงตัดสินใจลาออก
“ฉันก็เคยได้ยินแกบ่นๆ เรื่องเพื่อนร่วมงาน แต่ก็ไม่คิดว่าแกจะลาออก ฉันคิดว่าที่แกลาออกเพราะแกคงสุดๆ แล้ว”
ชมพลอยรู้เรื่องเพื่อนร่วมงานของชมพูนุชที่มักมาระบายกับตนบ่อยๆ
“อย่างนี้ต้องหางานใหม่น่ะสิ งานเลขาหาไม่ได้ง่ายๆ นะ ยิ่งสมัยนี้ด้วยแล้ว ยิ่งหายาก” เจ้าของเสียงคือเอกวัฒน์
“ยังไม่รีบหรอก กะว่าจะพักสักพักนึงก่อน แล้วค่อยลุยใหม่” คนเพิ่งลาออกจากงาน อยากชาร์ตแบตให้กับตัวเองเพื่อสู้กับงานใหม่ในอนาคตที่ไม่รู้ว่า จะเจอเพื่อนร่วมงานแบบใด “เรื่องงานใหม่ฉันไม่เกี่ยง ไม่ต้องตำแหน่งเลขาก็ได้ ตำแหน่งอะไรฉันก็ทำ หรือไม่ก็อาจไปสมัครงานตามร้านกาแฟก็ได้ ฉันเห็นติดป้ายประกาศรับสมัครพนักงานหลายที่”
ชมพูนุชไม่ใช่คนเลือกงาน เธอคิดเสมอว่า ไม่เลือกงาน ไม่ยากจน
“พู่ไปสมัครงานที่บริษัทผมไหม เลขาของผมจะลาออกไปเลี้ยงลูกสิ้นเดือนนี้ ผมกำลังหาเลขาคนใหม่พอดี” ภาวิตที่นั่งฟังการสนทนาของสามเพื่อนสนิทอยู่เงียบๆ เอ่ยขึ้น “ถ้าพู่อยากทำ ผมจะได้บอกฝ่ายบุคคลว่า ไม่ต้องหาเลขาให้ผมแล้ว”