เบื้องหน้าหิ้งพระ มีชายคนหนึ่งสวมเสื้อสีกลัก กางเกงแพรสีดำนั่งขัดสมาธิอยู่นิ่ง ๆ
“ ทวดครับ มากันแล้ว ” เสียงบุญโทนเอ่ยขึ้น ร่างนั้นหันมาก่อนจะกวักมือเรียกพวกเขา
“ มาสิ ทวดเตรียมของไว้รอแล้ว ”
สี่หนุ่มเดินตามบุญโทนแล้วทรุดนั่งตรงเบื้องหน้าหิ้ง พร้อมกับทำความเคารพทั้งหิ้งและบุคคลที่บุญโทนเรียกว่า “ ปู่ทวด ” ด้วยความประหลาดใจ
คำว่าปู่ทวด ก็คือพ่อของปู่อีกที เจ้าบุญโทนก็ดูคลับคล้ายว่าพึ่งเรียนจบตามที่วีบอก เพราะวีนั้นเป็นคนหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าอยากมาเดินป่าที่นี่ ก่อนที่จะเข้าไปพบกับคนรีวิวไว้เสร็จสรรพในพันทิป ว่ามีพรานป่าหนุ่มหน้ามนผู้ทันสมัย ศึกษาเกี่ยวกับวรรณคดีอยู่ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งและเป็นคนพื้นเพในภูเนินนาง จึงได้ทั้งความสนุกและความรู้ในการไป เดินป่าโดยการนำของพรานบุญโทนเหลือหลาย
บุญโทนพึ่งจบมหาวิทยาลัยก็จริงอยู่ อายุเขาน่าจะราว ๆ ยี่สิบสอง พ่อของเขาต่ำ ๆ แล้วก็น่าจะบวกไปอีกสิบแปดถึงยี่สิบ ปู่ก็ต่อไปอีกยี่สิบ ดังนั้นคนเป็นปู่ทวดก็น่าจะราวเจ็ดสิบห้าถึงแปดสิบเป็นอย่างต่ำ
แต่ชายสวมเสื้อขาวที่บุญโทนเรียกว่าปู่ทวด กลับยังกำยำล่ำสัน ผิวพรรณหน้าตาดูราวกับคนสี่สิบปลาย ๆ ถ้าบอกว่าเป็นพ่อของบุญโทนยังได้เลย
“ นี่ปู่ทวดบุญ ปู่ทวดของผมครับ ” ทั้งหมดยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพบุคคลเบื้องหน้าอย่างนบนอบ ใบหน้าเคร่งขรึมคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยทักทาย
“ ไหว้พระ ๆ แหม่ หนุ่มกรุงนี่มันหล่อ ๆ หน้าตาดีกันทุกคนเลยเว้ย ” คำทักทายทำให้ทั้งสี่ผ่อนคลายลง เพราะมองทีแรกนึกว่าท่านจะดุดันและเงียบขรึม
“ แน่นอนครับทวด แต่ทวดก็ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย อายุเท่าไรแล้วครับเนี่ย ผมเห็นหน้าทวดก็ตกใจ ทำไมยังหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวไม่ยอมแก่ยังกับพวกแวมไพร์ ” วีผู้ขี้เล่นและปากไม่อยู่สุขเอ่ยขึ้น เล่นเอาภูรินทร์รีบหันไปปรามเพื่อน
“ ไอ้วี จะพูดจะจาอะไรให้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่มั่ง ” เล่นเอาวีหน้าเสีย เพราะภูรินทร์นั้นถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของกลุ่มที่เพื่อนให้ความเกรงใจที่สุด กระนั้นก็ยังเถียงเสียงอ่อย
“ เอ้า ก็มันจริงนี่นา ”
“ เอาล่ะ ๆ ไม่ต้องดุกันหรอก ทวดมันก็แค่ผู้เฒ่าธรรมดาคนหนึ่ง พวกสูมาทวดก็ดีใจ นาน ๆ จะมีคนมาเยือน ไอ้ที่ไม่แก่ไม่เฒ่าก็คงเพราะใช้ชีวิตอยู่กับป่ากับเขากับธรรมชาตินี่แหละ ”
“ ก็น่าจะจริงนะครับทวดบุญ ” ภูรินทร์เอ่ยขึ้น พร้อมหันไปแนะนำเพื่อน ๆ ให้ชายชรารู้จัก
“ ผมชื่อภูรินทร์นะครับ ถัดไปนี่ชื่อ ตฤณ ภาค และสุดท้ายนั่นวีครับ ” ชายชราพยักหน้าแล้วเพ่งพิจไปยังทุกคนอย่างช้า ๆ ก่อนจะวกกลับมาจดจ้องที่ตฤณอีกครั้งและภูรินทร์อีกครั้ง
“ เอ๊ หมอนี่เป็นดาราไหม ทำไมหล่ออย่างนี้ คนนี้ก็หล่ออย่างกับพระเอกซีรีส์เกาหลี ” ทั้งคณะหัวเราะขำ
“ โอ๊ย ไม่ใช่หรอกครับทวด ทวดก็ชมผมเกินไป แล้วทวดรู้จักดาราด้วยเหรอครับเนี่ย ” ตฤณว่า
“ รู้สิวะ บ้านมีโทรทัศน์นะเว้ย ถึงอยู่ในป่าในเขาก็เถอะ ”
“ ผมวาดภาพเอาไว้ว่ามันจะไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ไปนู่นน่ะ ” ตฤณตอบกลับ
“ ตรงจุดนี้ยังมี แต่จุดที่พวกสูจะเดินเข้าไปสำรวจนั่นน่ะ ไม่มีหรอกสัญญาณโทรศัพท์ ” เมื่อพูดถึงจุดที่จะได้ไปสำรวจ ทั้งหมดก็นั่งตัวตรง แลดูตื่นเต้นเหมือนเด็กกำลังจะได้ไปสวนสนุก
“ ผมดูคร่าว ๆ จากในเน็ตมาว่า ทัวร์ของบุญโทนจะพาเข้าไปเดินป่า กางเต็นท์อยู่แม่น้ำ ชมถ้ำงามหลายถ้ำ และพันธุ์ไม้หายาก ” วีสาธยาย
“ และปราสาทโบราณกลางป่า ” ปู่ทวดบุญต่อท้ายให้ เล่นเอาลูกทัวร์ทั้งสี่หูผึ่ง
“ อะไรนะครับ ปราสาทโบราณเหรอ น่าสนใจจัง ” ภูรินทร์เป็นผู้พูดขึ้น คราวนี้เป็นบุญโทน ไกด์ตัวจริงที่อธิบายรายละเอียด
“ ถูกต้องครับ ปราสาทที่ว่านี้จะตั้งอยู่ในป่าที่เราจะเดินเข้าไปนั่นแหละ ป่านี้ชาวบ้านบางคนก็เรียกป่าเขาหลง เพราะเมื่อก่อนมีคนเข้าไปหาเห็ดหาของป่าแล้วไม่กลับมา ว่ากันว่าหลงเข้าไปแล้วผีบังตา แต่บางคนก็จะเรียกตามชื่อปราสาทที่ซุกซ่อนอยู่ภายในว่า ป่านางสวาท ”
“ นางสวาท อย่างนั้นเหรอ ” ตฤณทวนคำอย่างแปลกใจ บุญโทนพยักหน้า
“ ใช่ครับ ”
“ แล้วทำไมในโปรแกรมก่อนจะตกลงราคา ไม่เห็นบุญโทนบอกพวกพี่เลย กระทั่งว่าในเฟชบุ้คหรือเพจเองก็เถอะ ”
“ พี่ ปราสาทนี้น่ะลึกลับ เป็นของเก่าของแก่ ถ้าหากกระโตกกระตากพูดมากออกไป ประเดี๋ยวทางกรมโบราณคดีต่าง ๆ นานาเข้ามาวุ่นวายอีก ทีนี้ละก็จะเข้าไปชมกันสบาย ๆ เหมือนเดิมได้ไหมล่ะ ” บุญโทนตอบ ทั้งสี่พยักหน้าเห็นด้วย
“ ถือเป็นโปรแกรมที่พวกเราเซอร์ไพร้ส์มาก แล้วปราสาทที่ว่าเนี่ยใหญ่หรือเปล่า ” ภาคเป็นผู้ถามบ้าง
“ ก็ไม่ใหญ่มากนะครับ เท่าบ้านหลังหนึ่งนี่แหละ ”
“ อ้าว ทำไมแค่นั้นล่ะ ” ครานี้เป็นปู่ทวดบุญที่เอ่ยตอบ
“ ตำนานว่ากันว่า เมื่อหลายร้อยปีก่อน เจ้าเมืองแห่งเมืองพันธุม เป็นเมืองใหญ่อยู่หุบเขาฟากทางโน้น ท่านก็มีผู้หญิงมากตามประสา แต่บังเอิญไปพบกับสาวนางหนึ่งขณะล่าสัตว์ นางเป็นชาวป่าชาวเขาธรรมดานี่แหละ แต่นางงามเหลือเกิน นางมีใบหน้างามและรูปร่างอวบอัดเย้ายวน ความงามของนางทำให้ท่านพันธุมหลงใหล ถึงขนาดเอาเข้าไปอยู่ด้วยแล้วขลุกอยู่กับนางตลอด โดยไม่ออกไปหาเมียอื่นเป็นเวลาร่วมสามเดือน ทีนี้พวกเมีย ๆ ทั้งหลายก็พากันไม่พอใจ เลยเอะอะวุ่นวายกันใหญ่ภายในวัง เมียเอกของท่านพันธุมที่ชื่อเจ้านางพิมมาลานั้น เป็นธิดาแห่งเมืองอนันตาซึ่งเป็นเมืองใหญ่ นางขู่ว่าหากท้าวพันธุมไม่เนรเทศนางเมียน้อยชาวป่าออกไป นางจะให้ท่านพ่อของนางยกทัพมาตีเมืองพันธุมให้แหลกลาญ ”