เมืองสันต์ภพ
๕
หลังจากกลับมาถึงกระท่อมหนูดีเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเดินออกมาเจอลูกน้องของผู้เป็นพ่อยืนชะเง้อคอยอยู่หน้ากระท่อม ‘เอี้ยง’ เมื่อเห็นหนูดีเดินออกมาก็ดีใจจนแทบกระโดดก่อนจะยื่นปลาย่างและข้าวห่อใบตองให้ คิ้วสวยขมวดด้วยความสงสัยแต่ก็แบมือรับมา เธอยังไม่เอ่ยคำใดเอี้ยงก็กล่าวสั้น ๆ แล้วเดินหนีทันที
“พ่อผู้นำให้เอามาให้”
“หืมม?” หนูดีมองตามแผ่นหลังเอี้ยง เอียงคอด้วยความสงสัยแล้วหันมามองอาหารในมือของตน พ่อให้เอาอาหารมาให้เหรอ? ไม่ใช่ว่าคิดจะวางยาเก็บเธอตั้งแต่ตอนนี้หรอกนะ
ในโลกใบเดิมหนูดีเป็นลูกกำพร้าไม่รู้จักความรักของพ่อแม่อาศัยอยู่กับตายาย จนกระทั่งมัธยมปลายตายายก็เสีย ญาติพี่น้องของเธอก็หวังแต่จะฮุบสมบัติที่ตายายทิ้งไว้ให้ ทำให้เธอไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ
มีเพียงคนเดียวที่เธอไว้ใจก็คือเพื่อนที่เรียนมหาลัยมาด้วยกัน คนคนนั้นก็คือ ‘เค้ก’ เพื่อนที่คอยแนะนำงานให้ คอยช่วยเหลือเวลาลำบาก เป็นเพื่อนที่รู้ใจและจริงใจกับเธอมากที่สุดเพราะต่างก็เป็นลูกกำพร้าเช่นเดียวกัน
“ฮึก คิดถึงแกจัง” เสียงใสพึมพำเบา ๆ นึกแล้วก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาซึมด้วยความคิดถึงเพื่อน ก่อนเธอจะตายจากโลกนั้นก็เป็นเธอที่ชวนเพื่อนสาวไปทำบุญวันเกิด เค้กเกิดก่อนเธอสองเดือน
ไม่รู้ป่านนี้เพื่อนเธอจะเป็นอย่างไรบ้างที่เห็นเธอตาย ยัยนั่นคงไม่เสียใจมากหรอกใช่ไหม? มือเล็กปาดน้ำตาด้วยความคิดถึง ภาพเก่า ๆ ที่มีความสุขและทุกข์ไปด้วยกันกับเพื่อนสนิทฉายชัดอยู่ภายในใจ
ทางด้านเด่นที่ถูกเจ้านายใช้ให้มาเฝ้าดูหนูดี เขามองอยู่ไกล ๆ อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนสงสาร ชีวิตหนูดีช่างรันทดนักแต่เขากลับรังเกียจเพียงเพราะเป็นคนบ้า มาลองคิดดูแล้วหนูดีเองก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งคงต้องการความรักจากครอบครัวเช่นเดียวกัน
“เพียงแค่เห็นลูกน้องพ่อเอาอาหารมาให้ก็ซึ้งจนน้ำตาไหล น่าสงสารเสียจริง” เด่นอดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอตาม ต่อไปเขาจะไม่รังเกียจหนูดีอีกหากต้องมาเป็นนายหญิงของตนในอนาคตจริง ๆ
“หวังว่าเอ็งจะใช้ชีวิตต่อไปให้ดีนะ” หนูดีรีบสะบัดความคิดตั้งสติก่อนจะแกะห่อใบตองเพื่อดูอาหารที่ถูกส่งมา
เธอเดินลงจากกระท่อมเดินไปยังต้นมะม่วงที่อยู่ข้างกระท่อม จากนั้นวางปลาและข้าวบางส่วนไว้บนกิ่งไม้ใกล้รังมดก่อนจะเดินกลับขึ้นไปบนกระท่อมแล้วเริ่มสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบ
กระท่อมที่เธออาศัยอยู่เป็นพื้นไม้เก่า ๆ ด้านข้างเป็นครัวไฟ หลังคามุงด้วยหญ้า ด้านข้างฝั่งซ้ายมือมีสระน้ำไม่ใหญ่นัก รอบสระมีทั้งต้นกล้วย ต้นมะพร้าว ต้นมะม่วง ยาวออกไปคือทุ่งนาสุดลูกหูลูกตา
ด้านหลังกระท่อมมีห้องส้วมสภาพย่ำแย่พอควรผนังทำจากไม้ไผ่สานส่วนหลังคาก็ไม่ต่างจากตัวกระท่อมเท่าไหร่ ผุพังเช่นกัน เมื่อเงยหน้าดูแสงตะวันก็น่าจะเที่ยง...
หนูดีหาเศษผ้ามาทำความสะอาดกระท่อมทั่วทั้งหลังกว่าจะเสร็จก็เกือบบ่าย ร่างผอมบางถอนหายใจหนัก ๆ มองฝีมือตนเอง ริมฝากเล็กระบายยิ้มออกมาเมื่อเห็นสภาพดูดีขึ้นไม่น้อย เธอไม่มีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการซ่อมแซมจึงต้องทนอยู่สภาพนี้ไปก่อน
“มีโอกาสค่อยรีโนเวท” เสียงใสเอ่ยกับตัวเองก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงด้วยความเหนื่อยล้า สวรรค์เมตตาให้เธอได้ใช้ชีวิตต่อ เธอก็จะใช้มันให้ดีและมีความสุขในทุก ๆ วัน แต่ที่ไม่ลืมแน่ ๆ คือจัดการล้างแค้นแทนเจ้าของร่างเดิม
ตะวันบ่ายคล้อยหนูดีรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย ไม่แปลกใจนักเพราะเธอทั้งตกน้ำทั้งตากฝนหากไม่ป่วยเธอคงเป็นมนุษย์กระดูกเหล็ก
ร่างผอมบางเดินลงมาข้างล่างแล้วมุ่งตรงไปดูอาหารที่เธอวางไว้ที่บริเวณรังมด สังเกตรอบ ๆ รังไม่เห็นเศษซากมดตายแม้ตัวเดียว เธอก็เดินขึ้นบ้านไปกินอาหารที่ผู้นำเชิดให้มาด้วยความแปลกใจ
เธอระวังตัวถึงขึ้นเอาอาหารไปให้มดตรวจยาพิษก่อนกิน คราแรกคิดว่าจะโดนวางยาเสียอีกแล้วเหตุใดพ่อของร่างเดิมถึงได้เอาอาหารมาให้ ไม่ใช่ว่ารังเกียจลูกสาวคนนี้และอยากหุบสมบัติไปเสวยสุขกับครอบครัวใหม่หรอกเหรอ?
คิดยังไงก็ยังหาเหตุผลไม่ได้ ค้นจากความทรงจำของร่างเดิมก็เห็นว่าพ่อของเธอคนนี้ค่อนข้างเย็นชากับลูกสาวคนโต ทั้งยังตามใจลูกสาวคนเล็กจนเคยตัว บ่อยครั้งที่เห็นดาวเรืองรังแกหนูดีแต่กลับแสร้งปิดตาข้างเดียวมาตลอด
ความน้อยใจที่ฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึกตีขึ้นมาจุกอยู่ในอก จู่ ๆ น้ำตาเม็ดเล็กก็รื้นรอบดวงตาขึ้นมาดื้อ ๆ หนูดีสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนจะเดินไปสำรวจห้องส้วม
ห้องส้วมที่กระท่อมของเธอผุพังจนเป็นรูเล็ก ๆ อยู่หลายที่ ห้องส้วมมีเพียงโถส้วม ตุ่มใส่น้ำหนึ่งใบและโอ่งขนาดเล็กอีกใบ เห็นสภาพดังนั้นหนูดีถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความอิดโรย
“ให้ตายเถอะ” แม้ในใจจะบ่นสุดท้ายก็จำต้องยอมอยู่ เธอเดินเข้าไปหาไม้กวาดเพื่อมากวาดหยากไย่และเช็ดฝุ่นให้สะอาด ส่วนหลังคาคงไม่มีใครมามองเห็นเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยจัดการ
ทำความสะอาดเรียบร้อยหนูดีก็เดินไปตักน้ำที่สระมาใส่ตุ่มและโอ่ง ตักเสร็จเธอก็รีบอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย อาจจะเพราะเธอกำลังจะมีไข้หนูดีเดินตัวสั่นฟันบนล่างขบกันออกมาจากห้องส้วม เธอรีบวิ่งขึ้นไปบนกระท่อมแล้วห่มผ้าทันที
ทางด้านเด่นลูกน้องของสิบหมื่นที่เฝ้ามองตั้งแต่ต้นจนจบเพราะเจ้านายสั่งให้เฝ้าไว้อย่าปล่อยให้ตายเมื่อเห็นหนูดีเดินตัวสั่นขึ้นไปบนกระท่อมก็รีบกลับไปรายงานเจ้านายให้ทราบทันที
“เอ็งจะรีบอะไรนักหนา” สิบหมื่นกำลังให้ข้าวเปลือกไก่อยู่ใต้เรือนเห็นเด่นวิ่งมาจนเกือบล้มหัวคะมำ คิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นตำหนิลูกน้องผ่านสายตา
“นายครับ หนูดีน่าจะเป็นไข้ครับเห็นอาบน้ำแล้วเดินตัวสั่นขึ้นไปกระท่อม” ได้ยินลูกน้องตอบดังนั้นแทนที่ผู้เป็นนายจะพยักหน้าชื่นชมที่ทำหน้าที่เป็นอย่างดีแต่เขากลับสีหน้ามืดดำแผ่รัศมีดุดันกดเสียงทุ้มต่ำแล้วกล่าวลอดไรฟัน
“เอ็งแอบดูหนูดีอาบน้ำหรือไอ้เด่น!?”
“หาาาา!” เด่นถึงกับเบิกตากว้างแล้วรีบโบกมือปฏิเสธพันวัน “เปล่าครับนายหนูดีอาบในห้องส้วม ผมเพียงเห็นเดินตัวสั่นขึ้นกระท่อมเท่านั้น”
“อืม…” ใบหน้าเคร่งขรึมเงียบไปครู่หนึ่งแล้ววางถ้วยข้าวเปลือกลง สงสัยจะไข้จริงเมื่อวานตกน้ำวันนี้ตอนเช้าก็ตากฝนอีก
“เดี๋ยวผมไปเตรียมยานะครับ” เด่นรีบเอ่ยอย่างรู้งานก่อนจะปาดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากพร้อมแอบลอบถอนหายใจ ทำไมนายจะต้องดุเอาปานนั้นตกใจแทบแย่!
“อืม แต่เอ็งไม่ต้องไปเดี๋ยวข้าไปเอง” สิบหมื่นตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับพูดเรื่องสภาพอากาศทั่วไปแต่ผู้เป็นลูกน้องตกใจถึงกับชะงักเสียยิ่งกว่าตอนโดนดุ เจ้านายเขาจะไปเยี่ยมไข้ว่าที่คู่หมั้น?
“ทำหน้าแบบนั้นเอ็งมีปัญหาหรือ?”
“ปะ..เปล่าครับ” เด่นรีบส่ายหน้าปฏิเสธแล้วรีบขึ้นเรือนไปหายาให้ แต่ก่อนจะไปเขากลับนึกขึ้นได้ว่าลืมรายงานเรื่องสำคัญ “นายครับ แปลกอยู่เรื่องหนึ่ง…” เขาแอบลังเลที่จะเล่าเพราะกลัวเจ้านายจะมองว่ามันไม่มีสาระสำคัญแต่ผู้เป็นนายกลับจ้องเขม็งรอคำตอบ
“เมื่อตอนกลางวันลูกน้องผู้นำเชิดนำอาหารมาให้หนูดีที่กระท่อม…”
“มันแปลกเช่นไร ผู้นำเชิดอาจจะแสร้งเป็นพ่อที่ดีก็ได้”
“อันนั้นไม่แปลกครับ ที่แปลกคือแทนที่หนูดีจะกินแต่กลับเอาบางส่วนไปวางบนต้นมะม่วง” เด่นนึกภาพตามตอนที่เห็นหนูดีเดินเอาอาหารไปวางบนต้นไม้ก็อดสงสัยไม่ได้มาตลอด แต่สิบหมื่นที่ได้ยินเช่นนั้นกลับหัวเราะในลำคอดวงตาที่ดำลึกดั่งก้นเหวมีประกายเล็กน้อย
“หึ” ริมฝีปากหนาเหยียดยิ้มหากไม่สังเกตคงไม่มีคนเห็น แต่ไม่อาจรอดสายตาลูกน้องที่อยู่กับเจ้านายมาตั้งแต่เด็กได้
กลับมาแล้วจริง ๆ สินะ...
“เอ็งรีบขึ้นไปเอายามา”
“ครับ” เด่นพยักหน้ารับแต่ยังไม่คลายสงสัย เป็นเวลานานมากแล้วที่เจ้านายของตนไม่ได้ยิ้มไปถึงดวงตาเช่นนี้