เมืองสันต์ภพ
๑๐
“เรียบร้อยแล้วครับคุณชบา” พรายหอบหายใจ ก่อนจะปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อย เขารีบจนสุดชีวิต ตลอดทางแผนการมาเรียบร้อยหลังจากได้เงินก้อนนี้เขาจะรีบหนีออกไปจากหมู่บ้านทันที คิดว่าหนูดีคงตามไม่ทันเพราะเขามีทางลัดที่ใช้เฉพาะตน
“ทำไมเอ็งมาช้านักไอ้พราย”
“เอ่อ…” พรายถึงกับอ้ำอึ้งนึกหาขอแก้ตัวไม่ออก
“อีหนูดีมันตายแล้วใช่ไหม?” ชบาย้ำถามอีกรอบ แม้เธอจะแน่ใจมากก็ตามเพราะหนูดีเด็กผู้หญิงร่างกายอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงคนเดียวจะสู้กับชายสี่คนได้อย่างไร
“ครับ”
“ดีมาก” ริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสดเหยียดยิ้มเย้ยหยันพอใจกับคำตอบจากนั้นก็ยื่นเงินก้อนสุดท้ายที่ห่อด้วยซองกระดาษสีน้ำตาลให้กับชายตรงหน้า
“ขอบคุณครับ คุณชบา” พรายรีบก้มหัวขอบคุณรับเงินมา มือหนาใหญ่สั่นเทาเล็กน้อยเพราะเกรงจะโดนจับได้ หลังจากได้รับเงินกำลังจะจากไปกลับโดนเรียกเสียก่อน
“เดี๋ยว”
“ครับ”
“คอเอ็งเป็นอะไรทำไมถึงแดงเถือกเช่นนั้น? คางก็ด้วย”
“ออ โดนลูกหลงนิดหน่อยครับ” พรายลูบคอและคางตัวเองที่โดนเตะเมื่อคืนก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาหัวใจก็เต้นระรัว นาทีนี้เขากลัวเหลือเกินว่าชบาจะจับได้ อีกใจพอนึกถึงแววตาโหดร้ายของหนูดีก็รู้สึกกลัว คนร้ายลึกแบบหนูดีน่ากลัวกว่าชบาเป็นไหน ๆ
“อืม เช่นนั้นมึงก็ไปเถิดแล้วหนีออกจากหมู่บ้านไปให้ไกล ๆ”
“ครับคุณชบา” พรายถึงขั้นถอนหายใจโล่งอกแล้วรีบวิ่งหนีจากไป ส่วนชบามองไปทางกระท่อมปลายนาของหนูดีด้วยสายตาเยือกเย็น...
“ริมาเป็นคู่ต่อสู้กับกูรึ? แม้แต่อีหนูแดงกูยังเก็บมาแล้วนับประสาอะไรกับลูกอ่อนแอแบบมึง” ชบานึกในใจโดยไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็เป็นเพียงคนบ้าคนหนึ่งจะมีปัญญาไหนมาเอาตัวรอด
ชบารีบเดินกลับบ้านซื้อกับข้าวของมากมายรวมทั้งเสื้อผ้าใหม่สามชุด ในใจแอบแค่นยิ้ม
“คิดเสียว่ากูทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้มึงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกันอีหนูดี” ซื้อของเสร็จก็เดินกลับบ้านด้วยท่าทางอารมณ์ดี ผู้นำเชิดเห็นเมียเดินขึ้นเรือนมาตั้งแต่ไกล ๆ เขาแอบแปลกใจไม่น้อย เหตุใดชบาถึงดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน?
“พี่เชิด เราไปเยี่ยมหนูดีหน่อยดีหรือไม่ อย่างไรเธอก็เป็นลูกของพี่ถึงจะตัดพ่อลูกกันแล้วแต่ก็ยังเป็นสายเลือดอยู่หากไม่ไปเยี่ยมเลยชาวบ้านจะหาว่าพี่ใจดำ”
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน” แม้จะแปลกใจแต่เขาก็ห่วงหนูดีเช่นเดียวกัน “พี่ว่าจะไปรับหนูดีกลับมาอยู่เรือนเพราะเรื่องหนูดีกับเฉยเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด เอ็งเห็นว่าอย่างไร?”
“ก็ดีสิ พี่ไปรับลูกกลับมาเถอะ ฉันซื้อของฝากหนูดีเยอะแยะเลย” เธอยกมือขึ้นให้เห็นของพะรุงพะรังที่ซื้อมาเพื่อสร้างภาพลักษณ์แม่เลี้ยงแสนใจดี ไปรับมาเพียงร่างไร้วิญญาณเรื่องอะไรเธอจะคัดค้านกัน
“แม่ ซื้ออะไรมาเยอะแยะจ๊ะ?” ดาวเรืองที่พึ่งเดินออกมาจากห้องเห็นผู้เป็นแม่ถือของมากมาย เธอรีบวิ่งเข้าไปดูทันทีแต่ชบาเบี่ยงตัวหลบก่อน
“ไม่ได้อันนี้แม่ซื้อให้พี่สาวของเอ็ง”
“หาาา?” ได้ยินคำตอบแม่ แม้แต่ลูกสาวแท้ ๆ ยังแปลกใจ เชิดถึงกับวางเอกสารที่กำลังอ่านลงมองสองแม่ลูกคุยกัน
“มีอะไรน่าตกใจหรือ?” เชิดเลิกคิ้วถาม ในเวลานี้เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าหนูดีจะเป็นอะไรหรือไม่? เหตุใดชบาดูกระตือรือร้นผิดปกติ
“ไม่มีอะไรจ้ะพ่อ ฉันแค่ตกใจเห็นแม่ซื้อให้พี่สาวมากมายเหลือเกิน ปกติซื้อให้พี่สาวทีไรพี่ก็โยนทิ้งทุกที” ดาวเรือนปั้นน้ำเป็นตัวให้แม่ของเธอดูเป็นแม่พระ แท้จริงแล้วตลอดเวลาที่ผ่านมาชบาแสร้งทำทีซื้อของให้หนูดีแต่สุดท้ายก็เอามาให้ดาวเรืองแล้วบอกว่าหนูดีไม่เอา ด้วยความที่หนูดีเป็นคนบ้าเชิดถึงไม่เคยกล่าวตำหนิอะไรชบาได้
“อย่าไปว่าพี่เลยลูก พี่เองก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว” ชบาหันไปเอ็ดให้ลูกสาวก่อนจะหันไปเอ่ยชวนเชิดเพื่อเร่งไปหาหนูดีที่กระท่อม “เรารีบไปเยี่ยมหนูดีกันเถอะพี่เชิด” เชิดเพียงพยักหน้าแล้วลุกขึ้นพร้อมกับเรียกเอี้ยงให้เดินตามไปด้วย
เมื่อลงจากเรือนเดินออกมาถึงหน้าประตูรั้วก็เจอเข้ากับสิบหมื่นพอดี ใบหน้านิ่งขรึมเพียงค้อมหัวทักทายก่อนจะเดินจากไปแต่ดาวเรืองที่เดินตามเชิดมาเรียกเขาไว้เสียก่อน
“พี่สิบหมื่นจะไปไหนจ๊ะ?” เสียงใสเอ่ยออดอ้อนก่อนจะยกมือเอาผมทัดหูยืนตัวบิดด้วยความเขินอายแต่ชายหนุ่มกลับทำหน้านิ่งดังเดิมพร้อมกับตอบสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ไปตลาด”
“เช่นนั้นพี่สิบหมื่นไปเยี่ยมพี่หนูดีที่กระท่อมด้วยกันดีหรือไม่จ๊ะ?” ดาวเรืองเอ่ยปากชวนทันทีเธอต้องการให้สิบหมื่นเห็นสภาพดูไม่ได้ของหนูดีจะได้ยกเลิกงานหมั้นเสีย
“แฮ่ม! หากสิบหมื่นไม่ว่างก็ไม่เป็นไรไปทำธุระเถิด” เชิดกระแอมใส่ทีหนึ่ง เขารู้สึกละอายใจที่ไล่ลูกสาวสติไม่ดีไปอยู่กระท่อมปลายนาเพียงผู้เดียวแม้จะมีเหตุผลส่วนตัวก็เถอะ อีกทั้งลูกสาวคนนั้นยังเป็นถึงคู่หมั้นของสิบหมื่นอีกด้วย
ครอบครัวของสิบหมื่นและหนูแดงภรรยาเก่าของเขามีบุญคุณต่อกันจึงจับสิบหมื่นและหนูดีหมั้นหมายกันตั้งแต่ยังไร้เดียงสา แม้หนูดีจะกลายเป็นคนบ้าไปแล้วแต่สิบหมื่นกลับไม่เคยแม้แต่จะชายตาแลหญิงใด
“กำลังว่างพอดีเลยเช่นนั้นขอข้าไปด้วยกับผู้นำเชิดก็แล้วกัน” เสียงทุ้มนุ่มนวลเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เชิดไม่มีเหตุผลใดมาคัดค้านจึงเดินนำหน้าทุกคนมุ่งหน้าไปยังกระท่อมปลายนาที่หนูดีอาศัยอยู่
ตลอดทางดาวเรืองเอ่ยถามสิบหมื่นน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเป็นระยะ ชบาเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้ห้ามปราบลูกทั้งยังส่งเสริมชื่นชมลูกสาวให้สิบหมื่นได้ยินเป็นครั้งคราว หากสิบหมื่นตกหลุมรักลูกสาวเธอก็เท่ากับตกถังข้าวสารดี ๆ นี่เอง
ชายหนุ่มเจ้าของที่นากว่า 200 ไร่ พร้อมทั้งควายและม้ารวมกันเป็นร้อยตัว มีลูกน้องใต้อาณัติมากมาย ทั้งยังรูปงามที่สุดในหมู่บ้าน แม้จะอยู่ในวัยสามสิบสี่แต่กลับมีใบหน้าเด็กราวกับหนุ่มวัยแรกรุ่น
“พี่สิบหมื่นเหนื่อยหรือไม่จ๊ะ?”
“ไม่”
“เหงื่อพี่ไหลให้ฉันช่วยเช็ดดีไหม?”
“ไม่ต้อง”
ทว่าตลอดชายหนุ่มกลับถามคำตอบคำไม่แม้แต่จะชายตาแล ความเย็นชาที่แสดงออกมาบอกให้รู้เป็นนัยว่าเขาไม่ได้สนใจดาวเรืองแม้แต่น้อย
“ดาวเรืองเอ็งเงียบทีเถอะ” เชิดขายหน้าเสียจนอยากแทรกแผ่นดินหนี คู่หมั้นพี่สาวแท้ ๆ ยังมีหน้ามาให้ท่าไม่กลัวบาปบุญ ชบาช่างสั่งสอนลูกสาวได้ดีเหลือเกิน!
ทางด้านหนูดีเธอกำลังมองชายทั้งสามคนด้วยท่าทีสบาย ๆ เดินเข้าไปในครัวยกน้ำขึ้นมาจิบ เธอหิวข้าวจนจะร้องไห้อยู่แล้วแต่ยังออกไปไหนไม่ได้เกรงว่าจะเสียแผน...
“เพื่อนที่แสนดีของพวกเอ็งจะทำยังไงนะระหว่างเอาเงินไถ่พวกเอ็งกับเอาเงินแล้วหนีไป?”
“อื้ออออ”
“คำตอบคือเอาเงินแล้วหนีไปไงล่ะ!”
“อื้อ ๆ” ทั้งสามคนประท้วงทันทีแม้จะมีผ้าปิดปากอยู่แต่หนูดีรู้ได้เลยว่าพวกนี้ไม่ไว้ใจพรายอยู่แล้ว เธอดึงผ้าของผันคนที่อยู่ตรงกลางออกก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงเพราะหิวข้าวจนไม่อยากใช้พลังงานเพื่อทรงตัว
“ไม่มีทางที่ไอ้พรายมันจะกลับมา”
“แน่นอนข้ารู้อยู่แล้วเพราะมันมีเพียงทางรอดเดียวคือเอาเงินแล้วหนีไป” หลังจากพิจารณาจนถี่ถ้วน คนอย่างพรายต่อให้เพื่อนตายมันก็ไม่สนใจหรอกมันห่วงเพียงลูกเมียและตัวเอง หากเอาเงินมาให้เธอก็เป็นไปได้ที่มันจะกลัวเธอฆ่ามันแล้วเอาเงินไป
หากเอาเงินแล้วรีบหนีไปคนที่ทำเรื่องสกปรกมามากมายมันต้องมีประสบการณ์หนีตายบ้างแหละไม่เช่นนั้นมันคงไม่รอดมาจนทุกวันนี้
เธอลืมนึกถึงข้อนี้ไปเลย เอาเถอะคนเราพลาดกันได้ ได้ห้าพันในมือก็ถือว่าเยอะแล้ว
“ปล่อยพวกข้าไปเถอะ พวกข้าจะไม่มาให้เห็นหน้าอีก”
“อืมมม” หนูดีกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย สายตาผู้อื่นมองมาคิดว่าเธอเย็นชาไร้จิตใจแต่แท้จริงแล้วเธอเพียงประหยัดพลังงานในร่างกายเพราะเธอหิวข้าวจนจะเป็นลม
“…” ผันดีใจจนแทบร้องไห้ออกมา
“เอ็งไปเอาเงินส่วนที่เหลือกับไอ้พรายแล้วไสหัวไปจากหมู่บ้านเสีย พวกเอ็งรู้ใช่ไหมว่าโกหกชบาจะมีจุดจบอย่างไร คนที่กล้าสั่งฆ่าได้แม้แต่ลูกเลี้ยงมีหรือพวกเอ็งจะไม่โดนปิดปาก” เสียงเรียบเฉยกล่าวขู่หนึ่งที เธอตัดเชือกแล้วปล่อยผันไป
หนูเว้นระยะเวลาปล่อยไปทีละคนเพื่อไม่ให้พวกมันแว้งกัดเธอได้ ถ้าตอนสู้ในเวลาปกติเธอสู้พวกมันได้แน่นอนแต่ถ้าเป็นตอนหิวข้าวแบบนี้ถ้าต้องโดนพวกมันรุมก็มีแต่จะแพ้
หนูดีปล่อยไปทีละคนจนกระทั่งคนสุดท้ายและแล้วกลุ่มคนสำคัญที่เธอกำลังรอก็เดินทางมา