หลังจากที่เรื่องวุ่นวายทั้งหลายจบสิ้นลง ครุฑที่เดินทางมายังเมืองบาดาลก็ถูกเชิญเข้าที่พัก หรัญญ์อาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ในทันที อีกไม่นานคงมีนาคามาเรียกให้ไปร่วมวงรับประทานอาหารที่องค์นิลนาคจัดเตรียมไว้ต้อนรับ ได้ยินเหล่านาคาพูดกันว่าองค์ไอรินลดาและธิดาของท่านลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง หวังว่าอาหารคงจะถูกปากนะ
"องค์หรัญญ์ช่างมีรูปร่างที่แข็งแกร่ง"
ขณะที่กำลังนั่งร่วมวงรับประทานอาหารค่ำที่ทางเมืองบาดาลเตรียมเอาไว้ต้อนรับ องค์ไอรินลดาก็เอ่ยชมหรัญญ์ขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงใจ และแววตาชื่นชม เหตุใดหญิงแห่งเมืองบาดาลถึงได้มีกิริยาอ่อนช้อยยิ่งนัก
"ท่านพ่อสอนข้าว่าเกิดเป็นครุฑอย่าอ่อนแอ"
หรัญญ์อธิบายด้วยความใจเย็น ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ที่นี่เขาลอบสังเกตธิดาแห่งเมืองบาดาลอยู่บ่อยครั้ง อรินดาไม่เหมือนเด็กน้อยเมื่อแปดปีก่อน ตอนนี้นางโตเป็นสาวแล้ว และสวยสะพรั่งเสียด้วยสิ แต่ที่หรัญญ์สงสัยมากเป็นพิเศษก็คือ ธิดาเมืองบาดาลพูดได้หรือไม่
เขากลืนอาหารคาวหวานรสชาติถูกปากลงท้องจนจะหมดทั้งโต๊ะอยู่แล้ว แต่อรินดาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหลุดปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว
ช่างแตกต่างจากเด็กน้อยที่ชอบเจื้อยแจ้วเมื่อคราที่อยู่ในป่ารัญจวนยิ่งนัก หรือว่าอรินดากลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปากหรืออย่างไรกัน
"มิน่าล่ะท่านถึงได้ดูแข็งแกร่งยิ่งนัก"
องค์ไอรินลดาเอ่ยชมอีกครั้ง
"ข้าว่าครุฑอย่างข้าไม่แข็งแกร่งเท่านาคาอย่างท่านนะองค์ไอรินลดา"
"เหตุใดท่านถึงได้คิดเช่นนั้น"
อรินดานั่งฟังบทสนทนาอยู่เงียบ ๆ ท่านแม่คงจะชอบเจรจากับครุฑมาก เพราะตลอดเวลาที่นั่งอยู่ที่นี่ท่านแม่เอาแต่คุยกับคนโน้นทีคนนี้ที เหมือนว่ากำลังสนุกนักหนา หรือนี่จะเป็นมารยาทในการต้อนรับแขกกันนะ
"ดูอย่างไข่เจียวในจานสิ"
ทุกคนบนโต๊ะมองดูจานไข่เจียวที่หรัญญ์เชื้อเชิญให้ดูอย่างพร้อมหน้า ไม่เว้นแม้แต่อรินดา
"หากจะเจียวไข่ต้องใช้น้ำมันใช่หรือไม่"
"ถูกต้องต้องแล้วองค์หรัญญ์"
"ข้าไม่มีทางทำเช่นนี้ได้แน่นอน เพราะข้าอ่อนแอยิ่งนัก หากถูกน้ำมันกระเด็นใส่ข้าคงต้องได้ร้องไห้เป็นแน่"
อรินดามองดูผู้เป็นพ่อที่กำลังหัวเราะร่วน คงชอบใจมากสินะถึงได้ดูมีความสุขขนาดนั้น
"ด้วยเหตุนี้ครุฑอย่างข้าถึงได้อ่อนแอกว่านาคาเช่นท่าน"
หรัญญ์ขยายความต่อ
"แต่ท่านไม่เกรงกลัวคมหอกคมดาบ"
"แต่ข้าก็กลัวน้ำมันกระเด็นใส่นะองค์ไอรินลดา คงแสบน่าดู"
องค์ไอรินลดามองสตรีตรงหน้าอย่างชื่นชม หรัญญ์มีไหวพริบดี รู้จักพูดและรู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ เห็นเพียงเท่านี้อาจจะสรุปไม่ได้ว่าหรัญญ์เป็นคนจิตใจดี แต่องค์ไอรินลดามั่นใจ ว่าท่านจะฝากดวงใจของท่านไว้กับหรัญญ์ได้
"ข้าขอบคุณองค์หรัญญ์เป็นอย่างสูงที่ช่วยธิดาของข้าไว้เมื่อแปดปีก่อน ในป่ารัญจวน"
ถึงแม้จะจดจำชื่อและใบหน้าของครุฑตนนั้นได้ แต่อรินดาก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะใช่ครุฑตนเดียวกันกับที่ช่วยเหลือเธอเอาไว้ตอนที่อยู่ในป่ารัญจวนหรือไม่ เพราะในตอนนั้นครุฑที่ช่วยเธอเอาไว้ไม่ได้ดูแข็งแกร่งจนน่าเกรงขามขนาดนี้ และในตอนนั้นใบหน้าของพี่ครุฑก็ยังละอ่อนอยู่
"ท่านพ่อทรงรู้"
นี่เป็นประโยคแรกที่หรัญญ์ได้ยินเสียงของอรินดาหลังจากที่ไม่ได้ยินมาเป็นเวลาเกือบสิบปี
"พ่อรู้ตั้งแต่ตอนที่ลูกออกจากเขตเมืองไปแล้วอรินดา พ่อให้ทหารตามไปคอยสังเกตการณ์และช่วยเหลือลูกหากมีสิ่งใดมารังแก แต่ก็ช้ากว่าองค์หรัญญ์"
หรัญญ์สรุปเอาเองในใจเงียบ ๆ ว่าเหตุที่หลังจากวันนั้นเขาไม่ได้เจอกับอรินดาที่ป่ารัญจวนอีกคงเป็นเพราะว่าองค์นิลนาคสั่งห้ามเอาไว้ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะอรินดายังไม่สามารถปกป้องตนเองจากอันตรายได้ กอปรกับอรินดาเป็นธิดาแห่งเมืองบาดาล นาคาจากต่างเมืองย่อมสนใจและใคร่อยากรู้จักเป็นพิเศษอยู่แล้ว
"ขอบคุณองค์หรัญญ์หรือยังอรินดา"
อรินดาพยักหน้าน้อย ๆ แม้จะจำได้ลาง ๆ ว่าขอบคุณพี่ครุฑไปแล้ว แต่เมื่อพบกันอีกครั้งอรินดาก็ยังอยากขอบคุณเขาอยู่ดี เพราะเธออ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องตัวเองจากอิฐนะได้ในเวลานั้น หรือแม้แต่เวลานี้อรินดาก็ยังคิดว่าตัวเองอ่อนแออยู่ดี
"ขอบคุณองค์หรัญญ์เพคะที่ช่วยเหลือข้าในวันนั้น"
"พูดกับข้าตามปกติเถอะ"
หรัญญ์แนะนำ เขาไม่ชอบความเป็นพิธีรีตองเท่าไหร่ อีกอย่างการพูดกันด้วยภาษาที่ปกติน่าจะช่วยให้เขากับอรินดาสนิทกันได้เร็วกว่า
"ข้าว่าได้เวลาสมควรแก่การพักผ่อนแล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำพิธี"
พรุ่งนี้จะเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 องค์นิลนาคได้ให้โหรหลวงไปนิมนต์พระธุดงค์จำนวนสิบแปดรูปมาจากเมืองมนุษย์ เพื่อที่จะนำท่านลงมายังเมืองบาดาล และทำบุญตักบาตรในตอนเช้า หลังจากนั้นก็จะทำการถวายอาหารแด่พระภิกษุสงฆ์ และพิธีหมั้นหมายจะถูกจัดขึ้นในตอนเย็น
เมื่อทำพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว รุ่งเช้าอรินดาจะต้องเดินทางออกจากเมืองบาดาลไปสู่เมืองครุฑตามประเพณี
"นอนไม่หลับหรืออรินดา"
อรินดาสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อกำลังเหม่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่เพียงลำพัง จู่ ๆ ก็มีเสียงที่ไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่ดังขึ้นด้านหลัง แต่เงาทะมึนที่ปรากฏขึ้นข้างกายก็ทำให้ทราบได้ในทันทีว่าเป็นเสียงของผู้ใด
"องค์หรัญญ์"
"เจ้าคิดสิ่งใดอยู่"
เหตุใดเธอต้องบอกสิ่งที่กำลังคิดให้คนแปลกหน้ารู้ด้วยเล่า
"กำลังคิดมากเรื่องของเราอยู่ใช่หรือไม่"
"..."
อรินดากระชับผ้าคลุมไหล่ให้แน่นขึ้นเมื่อพระพายพัดผ่านเพียงบางเบาแต่กลับหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ
"ข้าคือกาลกินีของเมืองบาดาล หากไปอยู่ที่เมืองท่านก็คงจะไม่ต่างกันเท่าใดนัก"
หรัญญ์ผินหน้ามามองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดอรินดาถึงได้ดูถูกตัวเองเช่นนี้ เพราะต่างที่และต่างบ้านต่างเมืองหรัญญ์จึงนอนไม่หลับ หรัญญ์นึกเพียงแค่ว่าอยากออกมาเดินเล่นรับลมเย็น ๆ เพียงครู่แล้วค่อยกลับไปนอน แต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอธิดาแห่งเมืองบาดาลที่นี่ และหรัญญ์คิดว่าอรินดาเองก็นอนไม่หลับเช่นเดียวกันถึงได้ออกมายืนอยู่ได้ต้นไม้ในเวลาดึกดื่นแบบนี้คนเดียว
"อย่าดูถูกตัวเองสิอรินดา ทุกคนมีความดีความชั่วคนละแบบ"
"แต่ข้าเกิดมาเพื่อทำให้เมืองบาดาลล่มสลาย"
"เจ้ารักษาและปกป้องเมืองบาดาลเอาไว้ได้ หากแต่งงานกับข้า"
"..."
"เว้นเสียแต่ว่าเจ้าอยากให้เมืองบาดาลกลายเป็นเพียงตำนานที่เหลือแต่ชื่อ"
หรัญญ์จงใจมองใบหน้าสวยสดงดงามของอรินดาด้วยแววตาจริงจัง หากปัญหาเกิดก็ต้องแก้ไขไปตามแนวทางมิใช่หรือ เว้นเสียแต่ว่าอรินดาจะไม่อยากแก้ไขปัญหานั้น
"ครุฑคือสัตว์ที่ดุร้าย"
"ที่นี่คงมีแต่ตำราพวกนี้สินะ"
ในเมืองบาดาลคงมีตำราเกี่ยวกับครุฑอยู่หลายเล่ม และทุกเล่มก็คงจะกล่าวหาว่าครุฑเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและคอยแต่จะตามเข่นฆ่านาคา อรินดาถึงได้แสดงท่าทีหนักใจขนาดนี้หากต้องได้ไปอยู่ที่เมืองครุฑ
"ข้ายินดีที่จะช่วยรักษาเมืองบาดาลของเจ้าเอาไว้อรินดา และเมืองครุฑธาเวสีของข้าก็ยินดีต้อนรับเจ้า"
"..."
"รู้เพียงเท่านี้ก็พอ"
หรัญญ์กล่าวทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นแล้วหันหลังให้อรินดาทันที เขาแค่อยากให้อรินดาเข้าใจว่าครุฑไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่ธิดาเมืองบาดาลเคยอ่านในตำรา และเมืองครุฑธาเวสีก็ยินดีต้อนรับอรินดาเสมอ ไม่มีอะไรน่ากลัวอย่างที่อรินดาเข้าใจเลยสักนิด
อรินดามองตามร่างสูงที่หายลับไปในความมืดด้วยแววตาสับสน เธอยินดีที่จะปกป้องและรักษาเมืองบาดาลเอาไว้ด้วยชีวิต แต่ไม่กล้าการันตีว่าเธอจะอยู่กับหรัญญ์ไปจนตลอดชีวิตได้หรือไม่
เช้าของวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 อรินดาตื่นแต่เช้าเพื่อมาแต่งองค์ทรงเครื่องให้ครบชุดตามวัฒนธรรมของเมืองบาดาล ผ้าไหมสีเขียวเข้มถูกสวมใส่ลงบนตัวของธิดาแห่งเมืองบาดาลด้วยความประณีต กำไลทองคำและมรกตส่องประกายระยิบระยับขับให้อรินดาดูสวยสดงดงามปานนางฟ้าธิดาสวรรค์ หรัญญ์เองก็สวมใส่ชุดสีทองที่ทำจากขนเหยี่ยวเช่นเดียวกัน เพชรเม็ดงามประดับประดาอยู่ทั่วชุด ผมยาวดกดำถูกเกล้าขึ้นไว้บนศีรษะ คล้องด้วยมงกุฎเพชรที่ตรงกลางมีพลอยสีชมพูติดอยู่ยิ่งทำให้หรัญญ์ดูโดดเด่นสวยงามไม่แพ้กันกับธิดาเมืองบาดาลเลยสักนิดเดียว
พระธุดงค์จำนวนสิบแปดรูปที่ปักกลดอยู่ตามริมแม่น้ำถูกโหรหลวงประจำเมืองบาดาลนิมนต์ลงมาที่นี่ และในตอนนี้ท่านทั้งหลายก็นั่งเรียงรายอยู่ตรงลานพิธีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในช่วงเช้าอรินดาและหรัญญ์ต้องทำพิธีตักบาตรถวายดอกไม้แด่พระสงฆ์และให้ท่านประพรมน้ำมนต์ให้เสียก่อน พิธีหมั้นหมายในช่วงเช้าจึงจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์
"จับมืออรินดาสิหรัญญ์"
พญาครุฑธาเอ่ยบอกเมื่ออรินดากำลังจะตักข้าวสวยร้อน ๆ ใส่ในบาตรของพระธุดงค์แล้วแต่หรัญญ์ก็ยังยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ที่เดิม
"จับมือข้า หรือจะแตะข้อศอกข้าก็ได้"
อรินดาเอ่ยเบา ๆ เมื่อหรัญญ์ยังนิ่งอยู่ เธอกำลังจะตักข้าวใส่ในบาตรแล้วแต่หรัญญ์ยังไม่ยอมมีส่วนร่วมด้วยอรินดาจึงชะงักมือไว้ก่อน และดีที่ท่านพญาครุฑธามองเห็นจึงได้เอ่ยเตือนสติธิดาของท่าน แต่หรัญญ์ก็ยังนิ่งอยู่จนอรินดาต้องเอ่ยอีกครั้งเขาจึงได้ยกมือมากอบกุมมือของเธอเอาไว้
ที่เมืองครุฑไม่เคยทำบุญหรืออย่างไร เหตุใดองค์หรัญญ์ถึงได้มีท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ขนาดนี้
"ข้าแค่ตื่นเต้น"
หรัญญ์เอ่ยบอกตามความเป็นจริง เกิดมาเพิ่งเคยได้ตักบาตรร่วมกันกับคนอื่นแบบนี้เป็นครั้งแรก หนำซ้ำในตอนนี้หรัญญ์ยังยืนชิดกับอรินดาจนเกินไปจึงทำให้เขาตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย อรินดาตัวเล็กเพียงนิดเดียว นางตัวสูงเท่าคางเขาเท่านั้น และตอนนี้หรัญญ์ก็ยืนซ้อนหลังนางอยู่ ไม่แน่ใจว่ากลิ่นหอมที่เขาสูดดมอยู่ในตอนนี้เป็นกลิ่นของธิดาเมืองบาดาลหรือกลิ่นของดอกไม้ที่มีไว้ถวายพระกันแน่
ทั้งคู่จับมือและตักบาตรจนมาถึงพระรูปสุดท้าย อรินดาวางดอกไม้ไว้บนฝาบาตรโดยที่มีมือของหรัญญ์คอยกอบกุมมือของเธอเอาไว้ไม่ปล่อย นี่สินะที่เรียกว่าทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขัน
"ปล่อยมือข้าได้แล้ว"
อรินดาเอ่ยเบา ๆ เมื่อตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องนั่งพับเพียบเรียบร้อยเพื่อรับพรจากพระธุดงค์แล้ว แต่หรัญญ์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือสักที
"ข้าลืมไป"
หรัญญ์ส่งยิ้มให้แล้วปล่อยมืออรินดาให้เป็นอิสระ จากนั้นทั้งคู่ก็นั่งพับเพียบลงแล้วพนมมือขึ้นเพื่อที่พระธุดงค์จะได้ให้พร และประพรมน้ำมนต์ให้เป็นอันเสร็จพิธีในช่วงเช้า
ดวงไฟทุกดวงในเมืองบาดาลถูกจุดให้สว่างไสว เนื่องจากวันนี้มีงานมงคลนั่นก็คืองานหมั้นหมายระหว่างธิดาแห่งเมืองบาดาลและธิดาแห่งเมืองครุฑ พื้นที่ใต้น้ำซึ่งถูกเรียกว่าเมืองบาดาลจึงครึกครื้นเป็นพิเศษ
"แหวนของท่าน"
หรัญญ์ถอดแหวนออกจากนิ้วกลางข้างขวาของตนเองเพื่อคืนให้แก่เจ้าของของมันซึ่งก็คือองค์นิลนาค หรัญญ์รู้ดีแก่ใจว่าแหวนวงนี้สำคัญกับผู้ครองเมืองบาดาลเขาจึงได้เก็บรักษาไว้กับตัวและดูแลเป็นอย่างดี บัดนี้หรัญญ์กำลังจะได้สวมแหวนวงใหม่ แม้จะอยู่คนละนิ้ว
แต่หรัญญ์ก็อยากให้นิ้วมือของเขามีแหวนเพียงวงเดียวเท่านั้น นั่นก็คือแหวนหมั้นจากอรินดา
"เหตุใดท่านถึงไม่เก็บเอาไว้"
"มันเป็นของสำคัญของท่าน ตอนเด็กข้าอาจจะซนไปหน่อย"
ธิดาจากเมืองครุฑธาเวสียื่นแหวนคืนให้และองค์นิลนาคก็รับแหวนทองวงนั้นมาสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้ายดังเดิม คงเป็นโชคชะตาสินะ องค์นิลนาคได้แหวนคืนหลังจากมอบแหวนวงนี้ให้แก่ครุฑเป็นเวลากว่าสิบแปดปี ท่านได้แหวนคืนแต่ท่านกำลังจะเสียดวงใจที่อายุสิแปดปีให้กับครุฑเช่นเดิม
"หวังว่าท่านจะดูแลอรินดาให้ดีกว่าแหวนของข้านะหรัญญ์"
หรัญญ์ค้อมหัวลงเล็กน้อยเป็นการรับคำ
"แหวนนี้ข้ารับคืน แต่ธิดาของข้าหากข้ามอบนางให้กับท่านแล้วข้าไม่รับคืนโดยเด็ดขาด"
"ข้าจะดูแลนางเป็นอย่างดี นอกจากข้าแล้วจะไม่มีสิ่งใดได้แตะต้องตัวอรินดา"
"..."
"แม้แต่ปลายเส้นผม"
กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น และทุกคำที่พูดหรัญญ์ก็มองเพียงอรินดาเท่านั้น หากพิธีหมั้นหมายเสร็จสิ้นอรินดาจะอยู่ในความปกครองของเขา และหรัญญ์จะดูแลอรินดาให้ดีที่สุด
อรินดาก็มองตอบองค์หรัญญ์เช่นเดียวกัน เขาให้สัญญาต่อหน้าท่านพ่อและท่านแม่ว่าจะดูแลเธอเป็นอย่างดี อย่างน้อยอรินดาก็ยังดีใจที่องค์หรัญญ์กล้าสัญญาต่อหน้าท่านทั้งสอง เพราะนั่นมันแปลว่าเขาจะปฏิบัติกับเธออย่างที่พูดจริง ๆ
ท่านพญาครุฑธายื่นแหวนเพรชน้ำดีประจำเมืองครุฑให้แก่ธิดาเมื่อถึงเวลาแล้ว ตอนนี้จันทร์เต็มดวงกำลังลอยเด่นขึ้นสู่ท้องฟ้าเสมือนว่ามาเพื่อเป็นพยานในการหมั้นหมายระหว่างครุฑและนาคในครั้งนี้
"ได้เวลาสวมแหวนแล้ว"
หรัญญ์สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อเรียกสติ เมืองบาดาลสวยงามสมคำร่ำลือ นาคาทุกตนล้วนเป็นมิตรและจริงใจ นี่คงเป็นชะตาที่ลิขิตเอาไว้ว่าเขาต้องช่วยปกป้องรักษาเมืองบาดาลเอาไว้ให้นานที่สุด หรัญญ์จับมืออรินดาเอาไว้และสวมแหวนลงกับนิ้วนางข้างซ้ายของธิดาแห่งเมืองบาดาล น่าแปลกที่แหวนจากเมืองครุฑสามารถเข้ากับนิ้วของนางได้พอดิบพอดี แหวนเพชรวงนี้เป็นแหวนที่ใช้สำหรับพิธีหมั้นหมายมาตั้งแต่บรรพบุรุษครุฑ อรินดาคือผู้ถูกเลือกให้เป็นคู่ชีวิตของเขาใช่หรือไม่แหวนวงนี้ถึงพอดิบพอดีกับนิ้วของนางอย่างน่าอัศจรรย์
"ข้าสัญญาว่าจะปกป้องเมืองบาดาล และอรินดาเท่าชีวิต"
"..."
"ทุกภพ ทุกชาติ"
เหมือนมีบางอย่างฉุดให้หรัญญ์พูดประโยคสุดท้ายออกมา ทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่ แต่เมื่อได้พูดออกไปแล้วก็ไม่สามารถคืนคำได้
คราวนี้เป็นฝ่ายอรินดาที่ต้องสวมแหวนประจำตัวของนางให้แก่หรัญญ์นั่นก็คือแหวนมรกตที่ถูกแกะสลักเป็นรูปพญานาคงดงาม อรินดาเกิดอาการสั่นน้อย ๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าต่อจากนี้และตลอดไปเธอต้องตามองค์หรัญญ์ไปอาศัยอยู่ที่เมืองครุฑธาเวสี ซึ่งที่นั่นเธอไม่เคยไปมาก่อนและสถานที่แห่งนั้นจะถูกเรียกว่าต่างบ้านต่างเมืองในเวลานี้ แต่กระนั้นอรินดาก็มั่นใจว่าหรัญญ์จะดูแลเธออย่างดีและช่วยรักษาเมืองบาดาลของเธอเอาไว้ให้คงอยู่ตลอดไปตามที่เขาให้สัจจะ
"ข้าจะเป็นคู่ชีวิตของท่าน"
"..."
"ทุกภพ ทุกชาติ"
หรัญญ์ยิ้มเต็มหน้าเมื่ออรินดากล่าวจบ ร่างสูงของครุฑวาดแขนเรียวยาวโอบกอดธิดานาคาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ
"ปล่อยดวงไฟ"
องค์นิลนาคเองก็มองภาพเบื้องหน้าด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหรัญญ์จะรักษาสัจจะและรักษาซึ่งเมืองบาดาลเอาไว้ให้คงอยู่สืบไป
ดวงไฟหลายร้อยดวงจากเมืองบาดาลถูกปล่อยขึ้นมาเหนือน้ำ ทั้งสีส้ม เหลืองและแดง ลอยจากผืนน้ำขึ้นสู่อากาศอย่างสวยงาม
บัดนี้พิธีหมั้นหมายระหว่างครุฑและนาคได้เสร็จสิ้นลงแล้ว พรุ่งนี้เช้าอรินดาต้องเดินทางออกจากเมืองบาดาลเพื่อที่จะได้ตามคู่หมั้นไปอยู่ยังเมืองครุฑ เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์อรินดาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพื่ออภิเษกสมรสกับองค์หรัญญ์แห่งเมืองครุฑธาเวสี