เหตุที่ชุนเหยียนกลับมาก่อน ไม่เพียงแต่เพราะว่ามีคนงานจำนวนมากพอแล้ว แต่เพราะเจินลี่หลัวเป็นห่วงถงหลานเฟยที่อ้างว่าป่วย จึงไม่อยากปล่อยให้อยู่ลำพัง ส่วนที่ไม่ได้ให้ชุนเหยียนกลับมาในทันที เพราะเห็นว่าตั้งใจที่จะมาช่วยแล้ว จึงได้ปล่อยให้ทำงานไปก่อน
“ใครบอกกันว่าชุนเหยียนของข้าแก่ ชุนเหยียนยังไม่แก่สักหน่อย” คนเป็นนายพูดเอาใจแม่นมชราของตน
“ชุนเหยียนอยู่บนโลกนี้มาจะเจ็ดสิบหนามแล้วนะเจ้าคะ จะไม่แก่ได้อย่างไร” คนถูกยอว่าพลางยื่นยาให้กับผู้เป็นนาย “นี่เป็นยาที่คุณหนูลี่หลัวฝากมาให้เจ้าค่ะ” คนป่วยจอมปลอมเบิกตากว้าง เธอรู้สึกว่าไม่ชอบกินยาเอาเสียเลย ปกติก็ไม่ถูกชะตากับการกินยาเม็ดอยู่แล้ว นี่มาในรูปแบบน้ำแถมเป็นสมุนไพรต้มทั้งนั้น กินยากเย็นออกจะตายไป
“อืม...ข้าว่าข้าหายดีแล้วนะชุนเหยียน ข้าไม่กินได้หรือไม่” แม้ว่าคนบนเตียงจะพูดพลางทำท่ากระปรี้กระเปร่าแสดงให้เห็นว่าตนหายจากอาการป่วยปลอมๆ แล้ว แต่สายตาของชุนเหยียนก็บอกชัดเจนเช่นกันว่าไม่ได้
“กินเข้าไปเถิดเจ้าค่ะ ยาของคุณหนูลี่หลัวเป็นยาชั้นดี ราคาแพง หากเททิ้งไปน่าเสียดายมากนะเจ้าค่ะ อีกอย่างมันก็เสียน้ำใจคนที่อุตส่าห์ทิ้งงานแล้วปลีกตัวไปต้มให้ด้วย” ไม่รู้ว่าเพราะจิตใจของถงหลานเฟยที่กตัญญูเชื่อฟังชุนเหยียนมากหรือเพราะอะไร ถึงทำให้คนป่วยกำมะลอยอมยกถ้วยยาขึ้นมาดื่ม ทั้งที่ไม่ชอบเลยสักนิด
“เห็นท่านพี่ว่าเจ้าป่วยอย่างนั้นหรือ” ขณะที่ถงหลานเฟยกำลังทำหน้าพะอืดพะอมกับความขมของยา เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้นมาจากหน้าประตู โชคดีที่เขาเพิ่งจะมีเวลาแวะเข้าไปที่ครัว ถึงเพิ่งจะได้รู้จากพี่สาวว่าถงหลานเฟยไม่สบาย
“เจ้าค่ะ แต่นอนพักผ่อนและดีขึ้นแล้ว เมื่อครู่ก่อนท่านจะมา ชุนเหยียนเพิ่งเอายาของคุณหนูลี่หลัวให้กินไปเองเจ้าค่ะ” ชุนเหยียนพูดขึ้น คนฟังพยักหน้ารับ เขาไม่ได้มาที่นี่เพียงเพื่อจะเยี่ยมคนป่วยเท่านั้น แต่ตั้งใจมาพูดเรื่องงานสำคัญที่กำลังจะมาถึงด้วย
“เดี๋ยวสักพักช่างเย็บผ้าจะมาที่ลานหน้าจวน เพื่อนำผ้ามาให้เลือก และวัดตัวเตรียมตัดชุดใหม่เพื่อใส่ไปงานเถลิงราชย์ของฮ่องเต้ เจ้าพอจะออกไปไหวหรือไม่” เจินฮุ่ยหมิงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เดิมทีเขาก็ตั้งใจจะให้ช่างตัดชุดมาที่เรือนของถงหลานเฟยเลย แต่เพราะหนิงเซียงก็อยากจะตัดชุดกับช่างคนเดียวกัน จึงต้องตัดสินใจให้ช่างมาที่ลานกว้างหน้าจวนแทน เพราะตรงนั้นมีโต๊ะไม้ตัวยาวที่ยาวพอจะวางข้าวของได้ อีกทั้งไปรวมกันที่จุดเดียวก็ช่วยให้ช่างทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย
“ไหว ข้าหายดีแล้ว”
“เช่นนั้น เมื่อพร้อมแล้วข้าจะให้คนมาตามเจ้าออกไปก็แล้วกัน” ถงหลานเฟยมองดูบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้นของตนเดินจากไป ขนาดรู้ว่าป่วยเขายังดูหมางเมินขนาดนี้ ต่อให้เป็นเพียงการแกล้งป่วยก็ตามที แต่ก็ควรจะถามไถ่กันให้มากกว่านี้สักหน่อย นี่มันเหมือนเป็นการมาดูตามมารยาท หรืออาจจะมาเพราะเป็นคำสั่งของพี่สาว ทั้งที่ก็ดูไม่ได้มีเยื่อใยให้กัน แล้วทำไมถึงได้ไม่ยอมถอนหมั้นง่ายๆ หญิงสาวขบคิดในใจ
สักพักใหญ่บ่าวรับใช้ของเจินฮุ่ยหมิงก็เดินมาตามถงหลานเฟยให้ไปเลือกผ้า และวัดตัวเพื่อตัดชุดเตรียมไปงานเถลิงราชย์ของฮ่องเต้
และเมื่อมาถึงก็พบว่าหนิงเซียงกำลังเลือกผ้าจากกองผ้าที่ถูกจัดเรียงเอาไว้ คนมาทีหลังรู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ที่เห็นว่ามีคนมาถึงก่อนตัวเอง
“คุณหนูถงเจ้าคะ นี่เป็นผ้าชั้นดี ขาเพิ่งจะได้มาจากพ่อค้าต่างแคว้น สีสวย เนื้อผ้าสวมใส่สบาย ท่าลองดูเถิดเผื่อจะถูกใจ” เจ้าของร้านตัดชุดรีบตรงเข้าไปหาถงหลานเฟยที่เพิ่งจะเดินมาถึง พลางนำทางสตรีผู้มีชาติตระกูลมากกว่าหนิงเซียง ให้เดินไปที่กองผ้าอีกกอง ซึ่งถูกคลุมเอาไว้
หนิงเซียงที่เห็นเหตุการณ์และได้ยินทุกคำพูดก็เกิดความไม่พอใจ นางเดินตรงเข้าไปหาเจ้าของร้านตัดเสื้อด้วยความโกรธเกรี้ยว
“เจ้าดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ เหตุใดจึงไม่เอาผ้าพวกนี้มาให้ข้าเลือก” เจินฮุ่ยหมิงที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่รีบตรงเข้าไปทันที
“ข้าเป็นคนสั่งให้เก็บไว้ให้เสี่ยวถงเอง” เมื่อได้ยินดังนั้น ความไม่พอใจที่มีอยู่ในใจของหนิงเซียงอยู่ก่อนแล้ว ก็ยิ่งทวีขึ้นเป็นเท่าตัว
“เหตุใดนางจึงมีสิทธิ์เลือกผ้าชั้นดีกว่าข้า!!!”
“เสี่ยวถงเป็นคู่หมั้นพระราชทาน วันงานนางจะได้เข้าไปนั่งในพิธีเคียงข้างข้าในท้องพระโรง นางจึงต้องสวมใส่อาภรณ์ที่ดีให้สมฐานะ”
“แล้วข้าล่ะ!!!” หนิงเซียงเอ่ยถามเสียงสั่นเครือจากทั้งความโกรธและความน้อยเนื้อต่ำใจจนจะร้องไห้
“เจ้าจะได้อยู่ด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็จะตัดชุดใหม่ให้เจ้าเช่นกัน หรือหากอยากได้ผ้าชั้นดีพวกนี้ ก็ขอให้เลือกหลังจากที่เสี่ยวถงเลือกเสร็จแล้ว” มือเรียวของหนิงเซียงกำแน่น ริมฝีปากสีแดงสดเม้มเพื่อเก็บกดอารมณ์โกรธ นางมิอยากจะอาละวาดต่อหน้าเจินฮุ่ยหมิง หลายครั้งที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ตั้งแต่เจินฮุ่ยหมิงรับคู่หมั้นของเขามาอยู่ที่เมืองหลวง หลายๆ อย่างนางต้องเก็บต่อจากที่ถงหลานเฟยเลือกแล้วเสมอ แม้จะเจ็บปวดแต่ก็อดทนเสมอมา