บทที่5 เตรียมของรับลูกสะใภ้
“ยังไม่เข้าบ้านกันอีก มู่ฮวากลับไปคุยกับน้องๆ แล้วพาพวกเขามาหาฉัน” หนานชิงหันไปบอกลูกๆ ทั้งสองคน และบอกมู่ฮวาที่ดูเหมือนจะกลับมาแข็งแรงดีแล้ว อาจจะแข็งแรงกว่าก่อนหน้านี้ด้วยซ้ำ เพราะได้รับพลังทิพย์หล่อเลี้ยงร่างกายจากตอนที่หนานชิงเข้าไปสำรวจวิญญาณก่อนหน้านี้
“คะ? ค่ะ เอ่อ คุณป้า พูดจริงๆ ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ ฉันจะเลี้ยงดูเด็กๆ และส่งเสียพวกเขาเรียนเอง ไปพาพวกเขามาก่อน แล้วค่อยคุยกันเถอะ”
ถึงมู่ฮวาจะไม่อยากเชื่อยังไงก็ยังกลับไปรับน้องๆ มา คิดว่าตอนนี้น้องชายคนรองยังอยู่ในทุ่ง น้องสาวอีกสองคนก็คงอยู่ด้วยกัน มุ่งหน้าเข้าทุ่งเพื่อรับตัวน้องๆ วันนี้เสียคะแนนงานก็ช่าง เพราะถึงยังไงก็เปิดการค้าเสรีแล้ว
หนานชิงมองส่งมู่ฮวาจนร่างเล็กหายลับไปจากสายตา มองไปรอบๆ เพื่อนบ้านยังชะเง้อมอง แต่ชาวบ้านสลายตัวแล้ว เห็นแค่พี่สะใภ้ใหญ่ที่ยืนกัดฟันบิดผ้าเช็ดหน้าในมือด้วยท่าทางไม่ยินยอมก็ยกยิ้มให้ อีกฝ่ายสะดุ้งก่อนจะกระทืบเท้าฮึดฮัดเดินจากไป
“...” เห็นอย่างนั้นหนานชิงจึงหันหลังกลับเข้าไปในห้องนอนใหญ่ของตัวเอง เห็นลูกๆ นั่งอยู่บนโต๊ะกินข้าวอย่างเป็นระเบียบด้วยอารมณ์ที่คล้ายคลึงกัน คือความสับสน มึนงง และกังวลใจ
“อาเหมย มีอะไรไม่สบายใจกับเรื่องนี้มั้ย” หนานชิงเป็นเทพชั้นสูง ใช้ชีวิตมายาวนาน แม้จะต้องเลียนแบบร่างเดิมด้วยการพูดจาร้ายกาจไร้มารยาท แต่เมื่ออยู่กับเด็กๆ เธอก็ต้องการให้พวกเขาซึมซับนิสัยที่ดีไปอย่างช้าๆ
อีกทั้งการเลี้ยงลูกในยุคถัดไปพัฒนากว่ามาก ช่วงเวลาที่อยู่ห้วงจิตยุคปัจจุบัน นอกจากอ่านนิยายเรื่องนี้แล้ว ยังเรียนรู้จิตวิทยาเด็กไว้เพื่อใช้กับลูกๆ หลานอีกด้วย
“เรื่องที่คุณแม่รับเด็กๆ มาดูแล หนูเห็นด้วยนะคะ แบบนี้จะได้มีคนช่วยกันกตัญญูต่อคุณแม่ ไม่ต้องหวังพึ่งพี่ใหญ่คนเดียว อีกอย่างถ้าพี่สะใภ้แต่งเข้ามาก็ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องน้องๆ แบบนี้จะได้ดูแลคุณแม่ และหลานๆ ที่กำลังจะเกิดได้ดียิ่งขึ้น”
ในยุคนี้ยังมีชุดความคิดโบราณ อย่างการกตัญญูต่อพ่อแม่อย่างไร้เหตุผล และผู้หญิงต้องดูแลครอบครัวให้ดีอยู่ หนานชิงจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิดเด็กๆ ให้สมัยใหม่มากขึ้นทีละนิด
แต่ตอนนี้ต้องชี้แจงเรื่องนี้ให้เข้าใจกันก่อน
“ที่แม่รับเด็กๆ มาเลี้ยง เพราะนอกจากเปิดการค้าเสรีแล้ว ทางการจะปันส่วนที่ดินให้กับชาวบ้านที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในชนบทต่อหัวก็ประมาณคนละ10มู่ ต่อไปก็ไม่ต้องอดอยากกันแล้ว”
“จริงเหรอคะ!” เหมยลี่ตื่นเต้นมากที่จะได้มีที่ดินเป็นของตัวเอง
“จริงเหรอครับแม่ ถ้างั้นบ้านเราจะได้ สี่สิบมู่! ผมจะเป็นวัวเป็นม้าทำนาให้ได้ผลผลิตดีดี แล้วก็ทำส่วนของบ้านสะใภ้ด้วย แม่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีข้าวเลี้ยงเด็กๆ แล้วนะครับ”
“ฮ่าๆๆ” หนานชิงหัวเราะคำพูดของลูกชาย “เป็นวัวเป็นม้าทำไมกัน ลืมไปแล้วเหรอว่าแม่เป็นใคร?”
“แม่…มีพลังวิเศษ” หมิงเทียนตบหัวตัวเองเบาๆ เขาลืมไปได้ยังไงว่าแม่มีพลังวิเศษแล้ว จะยังต้องกลัวอดตายอีกทำไม
“เพราะงั้นเราไม่ต้องการที่นา แม่จะขอที่ดินภูเขานอกเมือง แต่แค่สี่สิบมู่ไม่แน่ใจว่าจะได้เนินเขานั้นทั้งหมดรึเปล่า ถ้าได้อีกสี่สิบมู่ของบ้านอิงก็จะมั่นใจได้มากขึ้น แบบนี้ก็เท่ากับว่าที่ดินนอกเมืองจะเป็นของครอบครัวเราและสะใภ้” หนานชิงวางแผนเอาไว้หมดแล้ว
“แต่แม่คะ หนูไม่ขัดที่ต่อไปจะไม่มีที่นา แต่ตอนนี้คงต้องหาข้าวมากรอกหม้อกันก่อนแล้วค่ะ ข้าวหมดแล้ว”
“ข้าวหมด?” หนานชิงแผ่พลังจิตออกไปดู พบว่าอาหารในห้องครัวหมดเกลี้ยงแทบทุกอย่าง มีเพียงเครื่องปรุงที่อยู่ก้นไห
“อาเทียน มีเมล็ดพันธุ์ข้าว หรือต้นกล้าเล็กๆ อยู่บ้างมั้ย” หมิงเทียนเป็นคนเดียวที่ลงทุ่ง ดังนั้นเมื่อถามหาเมล็ดพันธุ์ก็ต้องถามเอาจากเขา
อีกอย่างโดยปกติแล้ว ชาวนาในยุคนี้จะเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ในกระเป๋าเสื้อ กระเป๋ากางเกง พกติดตัวเพื่อเป็นเคล็ด ให้ทำนาได้ผลผลิตดี หนานชิงเลยเอ่ยถามกับลูกชาย และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง คนตัวโตหยิบเมล็ดออกมาจากในอกเสื้อมีอยู่ราวห้าหกเมล็ดได้
“นี่ครับแม่ ผมมีแค่นี้ เพราะถ้าพกมากๆ จะโดนทหารแดงจับได้ ชาวบ้านเลยพกกันไม่กี่เมล็ด”
“ตอนนี้ก็ไม่ต้องกลัวทหารแดงแล้ว แม่ไม่เห็นพวกเขามาสักพักแล้ว”
“ใช่ครับ วันนี้แม่บอกให้ผมดูว่าคนน้อยลงรึเปล่า ตอนนี้ในกองพลน้อยดูเหมือนจะมีแค่เลขาธิการหวังที่ยังอยู่ แล้วก็พวกยุวชน”
“ยุวชนกลับเข้าเมืองไม่ได้ถ้าไม่ถูกเรียก บางคนเลยต้องพยายามสอบเข้าให้ได้ เพื่อออกจากชนบท ตอนนี้ทะเบียนบ้านของพวกเขาถูกย้ายมาชนบทก็จริง แต่ก็แตกต่างจากชาวบ้านอยางพวกเรา พวกเขาไม่ได้รับการชดเชยเป็นที่ดิน แต่เมื่อถูกเรียกกลับจะได้รับเป็นเงินและปันส่วนแทน”
หนานชิงอธิบายให้ลูกสาวเข้าใจ เมื่อตอนนี้อีกฝ่ายตาเป็นประกายและขยับปากเหมือนอยากจะพูดเรื่องของซ่วนจง
“...” เหมยลี่หน้าเศร้า รู้สึกผิดหวัง
“แม่คะ ขอโทษนะคะ ทั้งที่แม่เตือนแล้วแต่หนูก็ยัง…หวังว่าพี่ซ่วนจะอยู่กับพวกเราได้ ตอนแรกหนูคิดว่าที่ดินสิบมู่ก็น่าจะเพียงพอสำหรับเขาให้อาศัยอยู่ต่อไปได้ แต่พี่ซ่วนคงอยากกลับบ้านมากกว่า”
“ใช่ ทางการก็คิดแบบนั้นเลยชดเชยให้กับยุวชนอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ถ้าสอบเข้ามหา’ ลัยได้ ก็จะได้เรียนฟรีจนจบเลย ถ้าอาเหมยอยากเรียนต่อก็ขอให้ตั้งใจอ่านหนังสือและสอบเข้าให้ได้ก็พอ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย”
“ตกลงค่ะแม่ แต่…หนูจะมีเวลาว่างพอมาฝึกใช้พลังพิเศษแบบแม่ได้มั้ยคะ” เหมยลี่มีแม่เป็นแบบอย่างไปแล้วในตอนนี้ ถึงจะอยากมีชีวิตของตัวเองแค่ไหน ก็ยังติดใจพลังวิเศษอยู่ดี
“พลังวิเศษนี้ ลูกๆ คงทำไม่ได้ แต่ถ้าฝึกร่างกายเพื่อให้แข็งแรง สุขภาพดี ก็สามารถทำได้แน่นอน ทำได้ไม่ยาก” หนานชิงให้กำลังใจลูกสาว
“แล้วแม่เอาข้าวเปลือกไปทำไมเหรอครับ” หมิงเทียนรออยู่นานแล้วเอ่ยถาม เขาตื่นเต้นเมื่อคิดว่ากำลังจะได้เห็นแม่แสดงอิทธิฤทธิ์
“พี่ใหญ่อย่าพูดเสียงดังไป ถึงพวกทหารแดงจะออกไปแล้ว แต่เราก็ต้องระวังไว้” เหมยลี่เตือนพี่ชายคนโต ในยุคนี้เรื่องความเชื่อเหนือธรรมชาติถูกปราบปรามจนคนเข็ดหลาบ ไม่แปลกที่จะยังหวาดกลัวฝังลึกในจิตใจคน
“ไม่ต้องกังวลไป” หนานชิงดีดนิ้วเบาๆ พลังสีทองก็กระจายกลายเป็นผนังที่แน่นหนาทั่วทั้งเขตบ้าน “ไม่มีใครได้ยินทั้งนั้น”
“คุณแม่ใช้พลังใช่มั้ยคะ เมื่อกี้คุณแม่ทำอะไร บอกหนูหน่อยนะนะ” เหมยลี่หันไปอ้อนแม่ เธอก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกมั่นใจในตัวแม่มาก
“ไม่มีอะไร แค่เสริมการป้องกัน” หนานชิงมองลูกชายคนโตที่ดูจะตามไม่ทัน สุดท้ายก็โยนข้าวห้าเม็ดในมือขึ้นไปในอากาศ ส่งพลังสีทองออกไป
“ว้าว!” เมล็ดข้าวงอกกลายเป็นต้นอ่อน ก่อเป็นกอใหญ่ ข้าวเริ่มแตกรวงอยู่กลางอากาศ รวงข้าวยังดูดีอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันใหญ่พอๆ กับกอข้าวทีเดียว หากเป็นการปลูกแบบธรรมดาต้นข้าวคงล้มหมดเพราะรวงข้าวหนักเกินไป แต่ตอนนี้มันชูช่องดงามและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง
ไม่เพียงเท่านั้นหลังจากข้าวกลายเป็นรวงทองสุกพอเก็บเกี่ยวแล้ว พลันเกิดพายุหมุนเล็กๆ รวบรวมข้าวเหล่านั้นเข้าไป พายุหมุนเล็กนั้นพ่นข้าวขาวออกมากองหนึ่งไว้ตรงมุมห้องก่อนสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“...” เด็กทั้งสองอ้าปากค้าง ถ้าไม่เห็นกับตาก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามีพลังวิเศษแบบนี้เกิดขึ้นจริง ยังไม่จบแค่นั้นต้นข้าวกลับกลายเป็นฟางกองหนึ่งวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
“พืชผักยังพอปลูกได้ถ้ามีเมล็ดพันธุ์ แต่เนื้อคงต้องรอก่อน”
“สุดยอดไปเลยค่ะแม่” เหมยลี่เข้าไปกอดเอวแม่ไว้หลวมๆ ขณะที่หมิงเทียนมีท่าทางขยาดคล้ายหวาดกลัวกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้
“เป็นอะไรไปอาเทียน” หนานชิงหันไปมองลูกชาย ก็พบว่าใบหน้าเขาเหมือนคนกำลังแตกสลาย ถ้าเป็นแบบนี้ฐานจิตอาจได้รับการกระทบกระเทือน ทำให้มีผลเสียระยะยาวได้ จึงเอ่ยถาม
“ปลูกพืชแบบนี้ก็ได้ด้วย แล้วผมจะทำนาไปเพื่ออะไร” ที่แท้ก็คือความหวาดกลัวเมื่อพบว่าตัวเองกำลังจะถูกแทนที่โดยของที่ดีกว่า เร็วกว่า สะดวกกว่านั่นเอง
“อาเทียน การปลูกพืชไม่ได้มีแค่วิธีเดียว ต่อไปยิ่งจะมีวิธีการมากมาย ถ้าปรับตัวตามโลกไม่ทันสุดท้ายก็ต้องถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง อีกอย่างการปลูกพืชอย่างรวดเร็วก็ใช้พลังมาก แม่คงทำบ่อยๆ ไม่ได้ ยังไงสวนของบ้านเราก็คงต้องฝากไว้ในมือของเธอ”
“จริงนะครับ! แล้วแม่ใช้พลังแบบนี้ มีอันตรายกับแม่รึเปล่า” หมิงเทียนได้ยินอย่างนั้นความภาคภูมิใจของเขาก็กลับคืนมา แต่พอได้ยินว่าแม่ใช้พลังแบบนี้บ่อยๆ ไม่ได้ก็เกิดเป็นกังวล
“แม่ไม่เป็นไร แค่ต้องพักสักหน่อย”
“แม่อย่าฝืนตัวเองอีกนะคะ หนูสามารถขึ้นเขาหาของป่าได้” เหมยลี่เสนอตัวบ้าง
“เด็กดี ก็คงไม่มีใครหาของป่าเก่งเท่ามู่ฮวาแล้วแหละ ต่อไปถ้าแต่งงานกันแล้ว อาเทียนไม่ต้องไปที่ทุ่ง แต่พามู่ฮวาขึ้นไปหาของป่าเถอะ” หนานชิงกล่าวยิ้มๆ
“ใช่ครับ มู่ฮวาหาของป่าเก่งมาก” หมิงเทียนรีบขานรับเห็นด้วย แม้เขาจะไม่รู้ว่าหญิงสาวจะเก่งจริงตามที่แม่พูดรึเปล่าก็ตามที
“เก็บข้าวกับฟางไปเถอะ แม่จะเดินดูรอบๆ บ้านเราพอจะมีอะไรกินได้อีกบ้าง วันนี้เด็กๆ บ้านอิงจะมากินข้าวกับเราครั้งแรก แม่คิดว่าจะไปดูองุ่นด้วย”
“หนูจะไปเตรียมข้าวต้มเพิ่มค่ะ แม่คะถ้าอย่างนั้นหนูขอใช้เนื้อแห้งที่เหลือจากหน้าหนาวมาทำข้าวต้มให้น้องๆ นะคะ” เหมยลี่เอ่ยถามอย่างเกรงกลัว เพราะปกติแม่หวงเนื้อมากๆ ส่วนหนึ่งส่งให้พี่ชายรอง อีกส่วนเอาไว้บำรุงเธอกับพี่ใหญ่ ดังนั้นเลยไม่แน่ใจว่าแม่จะยินยอมรึเปล่า
“ตกลง ถึงยังไงก็จะเข้าเมืองไปซื้อเนื้อเพิ่มอยู่แล้ว”
“ยังไม่ถึงฤดูเชือดหมู จะมีคนขายเนื้อเหรอคะ”
“อย่าลืมว่าในเมืองเปิดการค้าเสรีแล้ว ต้องมีคนเปิดร้านขายหมูแน่ๆ” หนานชิงกล่าวด้วยความมั่นใจ ทำให้ลูกสาวดีอกดีใจรีบวิ่งไปห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น เหลือเพียงแม่และลูกชายในห้อง
“อาเทียนจำธนูกับลูกศรเหล็กที่พ่อให้เธอไว้ตอนเด็กๆ ได้มั้ย” แต่ก่อนบ้านหยางเป็นนายพรานเลยมีอาวุธอย่างธนูและหอกเหล็กติดบ้านเอาไว้ แม้จะมีทหารแดงเข้ามามีอำนาจ แต่ก็ยังเก็บอาวุธประจำตระกูลเอาไว้อย่างดี
“จำได้ครับ” ตอนเด็กๆ หมิงเทียนยังเคยเรียนยิงธนู แต่ก็ไม่ได้เก่งเท่าน้องชายที่ฉลาดกว่าตน เขามีดีแค่แรงกายที่เหนือกว่าคนทั่วไปเล็กน้อยเท่านั้น
“ลูกไปเอาธนูกับลูกศรมาให้แม่”
“ได้ครับ” หมิงเทียนกลับเข้าไปในห้อง มีหีบเก่าๆ วางอยู่ เขาลูบฝาหีบด้วยความคิดถึง เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับน้องชายเมื่อหลายปีก่อน ทำให้แม่ไม่ยอมให้ทุกคนขึ้นเขาล่าสัตว์อีก
นอกจากนี้เพราะทหารแดงบุกเข้ามา สุดท้ายชาวบ้านก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะล่าสัตว์ใหญ่มากิน ดังนั้นเขาจึงต้องทิ้งธนูที่เป็นมรดกของครอบครัวไว้ในหีบเก่าๆ นี้
“จะได้ออกไป สัมผัสโลกภายนอกแล้วนะ” ว่าแล้วก็หยิบคันศรขึ้นมา มันโค้งเป็นวงเดือน สร้างจากไม้หอมอย่างดี แกะสลักทั้งด้ามจับเอาไว้ว่า ‘หยาง’ เป็นสมบัติตกทอดตั้งแต่บรรพบุรุษ
แต่ถ้าหากนำไปขายก็คงจะไม่ได้มีค่าอะไร ดังนั้นจึงไม่มีใครมาทะเลาะแย่งชิงคันธนูเก่าๆ นี้ มือเอื้อมหยิบคันศรขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามีมีดทหารเก่าเหน็บอยู่ด้านข้าง
“มีดนี่ของพ่อเหรอ เอาไปให้แม่ดูด้วยดีกว่า” คิดแล้วก็หยิบมีดขึ้นมาและนำไปให้มารดาพร้อมกัน
“แม่ครับ ผมเห็นมีดนี่เลยหยิบมาด้วย ของพ่อรึเปล่า” เดินเข้ามาในห้องหมิงเทียนวางของไว้บนโต๊ะ นั่งลงอย่างเฝ้ารอ
“ใช่” หนานชิงมองมีดด้วยตาเป็นประกาย
“...” มือบางยื่นไปลูบคันธนู มันลอยขึ้นไปบนฟ้าก่อนกลายเป็นสีงาช้าง จากนั้นจึงเห็นเป็นเส้นสายสีทองดั่งทองคำเคลือบเอาไว้ โดยเฉพาะในรอยแกะสลัก ยังเพิ่มอักขระเข้าไปอีกหลายตัวเพื่อทุ่นแรง
หนานชิงสะบัดมือเบาๆ คันธนูก็ตกลงบนโต๊ะ กลับเป็นลักษณะของธนูไม้ตามเดิม ราวกับที่เห็นเมื่อครู่เป็นภาพลวงตา
“นี่…ทำไมเมื่อกี้เป็นสีขาว ตอนนี้กลายเป็นสีไม้แล้ว แม่?” หมิงเทียนหยิบธนูขึ้นมาดู พบว่ามันมีน้ำหนักเบายิ่งขึ้น รู้สึกเหมือนจะเล็กลงนิดหน่อยหยิบจับถนัดมือมากขึ้น
“ต้นตระกูลอิงก็เคยเป็นนายพราน อิงมู่ฮวาเองก็คงเคยเรียนยิงธนูมาก่อน สิ่งนี้ส่งต่อกันในตระกูลหยาง แม่จะให้มู่ฮวายืมใช้และสามารถส่งต่อได้แค่ในตระกูลหยางเท่านั้น”
“จริงเหรอครับแม่! ขอบคุณแม่มากๆ เลยครับ ตอนนี้ทหารแดงไปแล้ว เราจะล่าสัตว์ใหญ่ๆ ไปขายในเมือง ต้องได้เงินดีแน่นอน ผมจะหาเงินมาให้แม่เยอะๆ เลย!”
หมิงเทียนเอ่ยอย่างหนักแน่นและมั่นใจ ก่อนจะจำได้ว่าแม่กังวลเพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับน้องรองเมื่อหลายปีก่อน
“แม่…ไม่ว่าอะไรใช่มั้ยครับ” เขาถามมารดาด้วยท่าทางไม่มั่นใจ
“ไม่ ตอนนี้พวกเธอโตกว่าตอนนั้นมาก สามารถดูแลตัวเองได้แล้ว อีกอย่างแม่จะถ่ายทอดวิธีฝึกร่างกาย ถ้าฝึกทุกเช้าเย็นก็ไม่ต้องกลัวสัตว์ป่าตัวเล็กๆ แล้ว”
“จริงเหรอครับ”
“จริงสิ” หนานชิงยื่นมือไปหยิบลูกศรในกระบอก มันมีอยู่ราวสิบลูกแต่หนักเกินไป และเหล็กก็โดนสนิมกินหมดแล้ว
หญิงสาวสะบัดมือเบาๆ เส้นสายสีทองก็ปรับเปลี่ยนให้ลูกธนูมีความพิเศษสองอย่าง หนึ่งคือสามารถกลับมายังกระบอกได้เองเมื่อเรียกใช้ สองคือมีความแหลมคมแต่ไม่ทำร้ายคนที่ไม่คิดร้าย ใช้ล่าสัตว์ได้ปกติ
“แม่ทำอะไรครับ ผมรู้สึกเหมือนลูกธนูดู…สวยขึ้น?”
“สวย คม แล้วก็ใช้ทำร้ายคนบริสุทธิ์ไม่ได้” หนานชิงกล่าวเสียงนิ่ง
“ผมขอลอง!” ว่าแล้วหมิงเทียนก็หยิบธนูขึ้นลูกศรเล็งไปที่ผนัง
ฟึ่บ! ปัง! ผนังห้องทะลุจนกลายเป็นรู ชายหนุ่มตกใจมากรีบวิ่งไปส่องดู พบว่าเหมยลี่กำลังจับลูกศรขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ
“อาเหมย! เป็นยังไงบ้าง พี่ไม่ได้ตั้งใจ ไม่คิดว่า…” หมิงเทียนรีบวิ่งไปดูน้องสาว โดยมีหนานชิงเดินตามอย่างใจเย็น
“พี่? พี่ยิงธนูใส่ฉันเหรอ”
“เปล่าๆๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ คิดว่าลูกธนูจะแค่ปักอยู่ผนัง ใครจะคิดว่ามันจะทะลุมาครัวแล้วโดนเธอ เป็นอะไรรึเปล่าอาเหมย บาดเจ็บตรงไหนมั้ย”
“ไม่เลย ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรพุ่งมาชนหลัง พอหันมาก็เห็นลูกศรนี่วางอยู่ แม่คะ?” เหมยลี่สมกับเป็นเด็กฉลาด รู้ทันทีว่าเกิดจากพลังของแม่
“...” หนานชิงยิ้มให้ลูกสาว นี่บ่งบอกว่าลูกศรจะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ แต่ผลที่ทำให้มันไม่ส่งผลอะไรกับเหมยลี่เลยก็เป็นเพราะพรปกป้องด้วยส่วนหนึ่ง
“แม่ครับ แบบนี้ยอดมากเลย”
“พี่ใหญ่ตื่นเต้นอะไรกัน ดูซิบ้านเป็นรูเลย” เหมยลี่เดินเข้าไปลูบๆ รูบนผนังบ้าน ก่อนหันไปเอ็ดพี่ชายคนโต
“แม่ ผมขอโทษ” หมิงเทียนเบ้ปาก หันมองแม่ทำตัวน่าสงสารเห็นใจ ไม่ได้คิดเลยว่าตัวเองเป็นคนหนุ่มตัวโตมันดูแล้วน่าเกลียดเสียมากกว่า
“ช่างเถอะ แค่นี้เอง” ว่าแล้วก็โบกมือเบาๆ รูนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“แม่คะ สุดยอดเลย สอนหนูทำแบบนี้ด้วยได้มั้ยคะ” เหมยลี่ลูบๆ จุดที่รูเคยอยู่บนผนัง แต่ตอนนี้มันเนียนกริบราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นแล้ว
“คงต้องใช้เวลาสัก…พันปี” หนานชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม เหมยลี่รู้สึกเหมือนแม่ไม่ได้ล้อตัวเองเล่น
“เฮ่อ ถ้างั้นก็ช่างเถอะค่ะ หนูทำอาหารต่อก่อน ไหม้แล้วๆ” ว่าแล้วลูกสาวคนเดียวของบ้านก็กระวีกระวาดไปทำอาหารต่อ หนานชิงเลยเดินกลับห้องมาพร้อมกับลูกชายคนโต
“มีดนี่” หยิบมีดขึ้นมา ก่อนจะลงอักขระใหม่ และลับคมให้ด้วย
“มีดนี่แม่จะให้เจ้ารอง อาเทียนไม่ว่าอะไรใช่มั้ย”
“ไม่เลยครับ ถึงผมเอาไว้ก็ไม่ได้ใช้ ยังไงก็เป็นมีดทหาร ให้น้องรองถือว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว” หมิงเทียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง เขายังชื่นชมน้องชายที่ไปเป็นทหารเพื่อประเทศชาติ ส่วนตัวเขาเองรู้ดีว่ามีหน้าที่ดูแลครอบครัวและมารดา ดังนั้นจึงได้แต่ส่งใจช่วย
“ถ้าอย่างนั้น ธนูจะเป็นของครอบครัวและสายเลือดของหยางหมิงเทียน ส่วนมีดนี้จะเป็นของครอบครัวและสายเลือดของหยางตง!” หนานชิงกล่าวออกมา ขณะที่หมิงเทียนพยักหน้าโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
ไม่รู้เลยว่ามรดกนี้จะตกทอดให้กับสายเลือดที่แท้จริงของตระกูลหยางเท่านั้นจริงๆ ดังมารดาได้เอ่ยคำสัตย์ต่อฟ้าดิน
-อนาคตท่ีห่างไกล-
ลูกหลานตระกูลหยางแบ่งแยกออกเป็นอีกหลากหลายสาย แต่สุดท้ายเมื่อถึงยุคหนึ่งก็มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ ลูกหลานสายเลือดของหยางหมิงเทียนตอนนี้ยังใช้ชีวิตโดยอาศัยวิชาการยิงธนูเป็นหลัก ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนผ่าน การยิงธนูเป็นเพียงกีฬาไปแล้ว แต่ทุกคนล้วนยกย่องฝีมือการยิงธนูของลูกหลานตระกูลหยางเป็นอย่างดี
น่าเสียดายอาวุธทั้งสองของตระกูลหยางมีข้อห้ามสำคัญทางสายเลือด ทำให้มีหลายๆ คนที่อยากเป็นสะใภ้ตระกูลหยาง เพื่อจะได้สัมผัสความรู้สึกเมื่อใช้งานธนูเทพ
มีสะใภ้และครอบครัวสะใภ้หลายคนที่โลภในสมบัติสกุลหยางแต่สุดท้ายก็ไม่ได้รับอะไรกลับไป เพราะธนูเทพราวกับมีความนึกคิด ทันทีที่มีการหย่าร้าง หรือมีคนคิดไม่ดีต่อตระกูลหยาง มันจะไม่สามารถใช้งานโดยคนนอกได้ ซ้ำยังปกป้องลูกหลานสกุลหยางไว้เป็นอย่างดี
.
ส่วนมีดของสกุลหยางที่สืบทอดมาในสายเลือดของหยางตงนั้น ได้กลายเป็นอาวุธลับของกองทัพ พวกเขาเฟ้นหาสายเลือดหยางตงเพื่อมาสืบทอดตำแหน่งนายพล ขอเพียงเป็นสายเลือดของหยางตงและใช้มีดนี้ได้เท่านั้น
รัฐบาลขนานนามสองอาวุธเทพนี้ว่า ‘อาวุธวิเศษของเหล่าปรมาจารย์’ ตามรัฐบาลในอดีต