งานแต่งงานผ่านไปอย่างราบรื่น เจ้าบ่าวมาทันเข้าพิธี ตอนนี้เจ้าบ่าวเจ้าสาวทั้งสองกำลังนั่งหันหลังให้กันบนเตียงนอนนุ่มหลังจากผู้ใหญ่พากันออกไปจากห้อง แสนรักไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี ส่วนเจ้าบ่าวป้ายแดงอย่างนายแพทย์หนุ่มสงครามก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบ หน้าเคร่งขรึมเหมือนตอนเข้าพิธีกัน ใบหน้าของเขานิ่งขรึมไร้ความรู้สึกแบบนี้ตลอดเวลา
“ฉันแต่งงานกับเธอเพราะความจำเป็นที่เลี่ยงไม่ได้ หวังว่าเธอจะเข้าใจที่ฉันพูดแสนรัก” สงครามเอ่ยทำลายความเงียบพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตนเอง
คำพูดของเจ้าบ่าวที่ตอนนี้เลื่อนสถานะมาเป็นสามีถูกต้องตามกฎหมายของตนเองทำให้แสนรักต้องหมุนเอี้ยวตัวหันมามองทางต้นเสียงพร้อมขมวดคิ้วเป็นปมสงสัยในคำพูดของชายหนุ่มอย่างใสซื่อ
สีหน้าและหัวคิ้วที่ขมวดเป็นปมชนกันของหญิงสาวทำให้สงครามเม้มปากแน่น หล่อนกำลังแสร้งทำเป็นใสซื่อในสิ่งที่เขาพูด
“ยังไงคะ?”
แสนรักถามสามีตีทะเบียนของตนเองอย่างไม่เข้าใจ และยิ่งสีหน้าของเขาในตอนนี้แสดงความไม่พอใจในตัวเธอออกมาชัดเจน แม้จะเป็นคนอ่อนต่อโลก ไร้เดียงสา แต่เธอก็มองคนออกว่าใครชอบตนและไม่ชอบตน สายตาเย็นชาของสงครามทำให้หัวใจของสาวน้อยหนาวเหน็บอย่างบอกไม่ถูก ทำไมไม่เหมือนเมื่อครั้งที่ตอนเธอรู้จัก เหมือนไม่ใช่พี่ชายคนนั้น คนตรงหน้าเหมือนกับเป็นคนละคนที่เธอเคยเจอในตอนอายุแปดขวบ
“หน้าตาไม่เหมือนคนโง่นี่” สงครามไขความสงสัยให้สาวเจ้า แต่เลือกพูดให้สาวเจ้าโกรธชังตัวเองแทน และมันก็ได้ผล คนที่นั่งมองตัวเองตอนนี้ได้ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“คุณรู้จักฉันดีแค่ไหนถึงมาพูดกับฉันแบบนี้”
บทจะสู้คน เธอก็สู้นะ และรู้สึกผิดหวังกับคนตรงหน้าเหลือเกิน ชายหนุ่มในความทรงจำช่างแสนดี อ่อนโยน แต่คนตรงหน้านี้กลับไม่ใช่ ตรงข้ามทุกอย่าง ทำไมไม่เหมือนคนเดิมในความทรงจำ ทำไมเขาถึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน หรือว่าตัวตนที่แท้จริงของสงครามเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว
“ก็ไม่ต่างจากเธอนักหรอกแสนรัก เธอรู้จักฉันดีแค่ไหนถึงกล้ามาแต่งงานกับฉันทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอกันสักครั้ง” นายแพทย์สงครามถามกลับภรรยาตีทะเบียนของตนเอง ที่วันนี้ทั้งเข้าพิธีมงคลสมรส แถมยังจดทะเบียนสมรสต่อหน้าพ่อกับแม่ของตนและของหญิงสาวด้วย
‘พี่จำแสนไม่ได้?’ พอได้ยินเขาตอบสวนกลับมา แสนรักก็ได้แต่พึมพำถามตัวเองและมองจ้องสบดวงตาสีสนิมของบุรุษตรงหน้าแล้วก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะพูดตอบโต้กลับ
“ใช่ เราต่างเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน แต่ตอนนี้เราสองคนก็...” แต่เธอยังไม่ทันได้พูดจบประโยค เสียงเข้มห้วนก็พูดแทรกขึ้น
“หนึ่งปี”
“อะไรคือหนึ่งปี?” เธอถามเขาอย่างไม่เข้าใจ เขาพูดขึ้นมาสั้นๆ ห้วนๆ แล้วก็เงียบไป
“หนึ่งปีที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน และหลังจากนั้นเราจะหย่ากัน ต่างคนต่างไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง เพราะฉันยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ฉันอยากทำ และฉันคิดว่าเด็กอย่างเธอก็คงจะมีทางเดินที่ตัวเองวาดฝันไว้เช่นกัน” สงครามบอกภรรยาแต่งของตัวเอง
‘ทางเดินที่แสนวาดฝันไว้คือพี่ ฝันของแสนคือพี่ตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันจนตอนนี้ก็ยังเป็นพี่’ แสนรักตอบสามีในใจ ส่วนสงครามเมื่อเห็นภรรยาตัวน้อยของตัวเองนิ่งเงียบไม่ตอบตัวเอง เขาจึงพูดต่อ
“ระหว่างที่อยู่ด้วยกันแบบสามีภรรยา ฉันจะไม่แตะต้องให้เธอเสียหายแม้แต่ปลายเส้นผม แต่เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ฉันอาจจะแตะต้องเธอบ้างเพื่อเป็นการแสดงให้พวกท่านสบายใจ แต่สบายใจได้เมื่อลับตาพวกท่าน ฉันจะไม่ทำให้เธอเสียหายมีราคีแน่นอน ทุกอย่างจะยังสมบูรณ์จนถึงวันหย่า แต่ขออย่างเดียวระหว่างที่อยู่ด้วยกันกรุณารักษาหน้าตาของตัวเองและครอบครัวฉันบ้าง อย่าเพิ่งไปคิดคบใคร และฉันเองก็จะทำเช่นกัน ถ้าจะรักใคร ชอบใคร คบใครก็ให้เป็นหลังที่เราหย่ากัน” ในเมื่อคนสองคนไม่ได้รักกัน แต่ต้องแต่งงานกันเพราะข้อตกลงของผู้ใหญ่ เขาจึงคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดระหว่างเขาและแสนรัก
‘เขาคิดเองเออเองหมดแล้ว แล้วความคิดเห็นของเราจะมีประโยชน์อะไร’ แสนรักเอ่ยในใจ มองจ้องดวงตาเย็นชาและว่างเปล่าของสามี ก่อนจะฝืนยิ้มแห้งๆ แล้วตอบกลับไม่เต็มเสียงไปว่า
“ค่ะ เมื่อคุณคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับเราสองคนก็ตามนี้ค่ะ หนึ่งปีเราจะหย่ากัน” แม้จะเจ็บปวดทรวงอก แต่ก็ต้องฝืนยิ้มกลืนก้อนสะอื้นไว้ในอก ก่อนจะเดินผ่านสามีตีทะเบียนตัวเองไปยังห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน เมื่อคืนเข้าหอไม่เป็นดั่งฝัน และชายที่เฝ้าฝันไม่ได้เป็นแบบที่ฝันไว้
“แค่หนึ่งปีเท่านั้นสงคราม”
สงครามพึมพำกับตัวเอง มองตามแผ่นหลังเล็กที่หายเข้าไปในห้องน้ำพร้อมเสียงปิดประตูแนบสนิท ก่อนจะยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตัวในตัวเองสองเม็ด แม้จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากดวงตาที่สบประสานก่อนหน้านี้ ก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองหยิบโทรศัพท์ออกมากดต่อสายไปหาเพื่อนสายอาชีพของตนเอง เพราะดูท่าวันนี้คงไม่ได้เข้าเวรที่โรงพยาบาล เพราะพ่อกับแม่ได้ให้คนเฝ้าหน้าห้องหอไว้ จะออกจากห้องได้ก็คงพรุ่งนี้เช้านั่นแหละ