CHAPTER 02
“ขอบใจที่ชมกูไอ้เลวบอล”
ส่วนเมีย... เธอก็คือตูน ตอนนี้เรียนปีสุดท้าย อายุอ่อนกว่าผมสองปี จริงๆ แล้วเธอน่าจะเรียนจบตั้งนานแล้วแต่เป็นเพราะท้องต้องตาก็เลยดรอปไว้ปีหนึ่ง
ท้องตอนที่บรรลุนิติภาวะแล้วนะข้อนี้ผมบอกไว้ก่อน เผื่อเข้าใจผิดกัน
“แล้ววันอื่น?”
“มันคืออนาคต”
เหี้ย...
รูปปากไอ้บอลพูดขึ้นแบบนี้แต่ไม่ออกเสียงทว่ามันไม่สะทกสะท้านผิวหนังหนาๆ ของไอ้ตามคนนี้หรอกชินชาไปแล้วด้วยซ้ำ คำพวกนี้พูดแล้วพูดอีกกับพวกมันวันละหลายๆ รอบไป
“เออ ตอบกวนกูเข้าไปไอ้ตาม”
ผมฉีกยิ้มกวนตีนส่งกลับไปให้ไอ้บอลประกอบกับท่าทางยียวนกวนประสาทเต็มเหนี่ยว ทีมันพูดกวนคนอื่นยังทำได้แล้วทำไมผมจะทำไม่ได้
“มึงอยากรู้มากเลยเหรอวะ?”
“ก็... เออๆ บอกก็บอกว่ะ” นั้นไงมันไม่ใช่เที่ยวอย่างเดียวเท่านั้นมีเรื่องอื่นมาพัวพันจนได้ ไอ้บอลมันคิดอะไรอยู่ไม่เจียนสังขาร “มึงจำน้องมิ้นท์ได้มั้ย?”
“ได้” ธรรมดาใครมันจะจำไม่ได้พึ่งเจอไปเมื่อวานกับมันเอง ลืมก็สมองเสื่อมแล้วระยะเวลาห่างไม่ถึง 24 ชั่วโมงด้วยซ้ำ “ไงต่อ”
“คืนนี้น้องเขาชวนกูเที่ยวเว้ย ผับที่ไปบ่อยๆ ”
“มึงก็ไปดิ บอกกูเพื่อ?”
“ก็น้องเขาจะไม่ไปไงถ้ามึงไม่ไปด้วย”
“เพื่อนเขาชอบกูว่างั้น?”
ที่แท้ก็ให้ไอ้บอลเป็นสะพานเชื่อมต่อมายังผม เพื่อนคนนี้มันจริงๆ เลยโว้ย ไม่ใช่มันไม่รู้ทันนะแต่มันแกล้งเออออทำทีโง่ไปอย่างงั้นแหละ
“มึงรู้...”
“เพื่อนมึงไม่ได้โง่ มองกูอย่างกับอยากเขมือบขนาดนั้นมึงก็เห็น”
สิ้นเสียงไอ้บอลก็หัวเราะจนทำให้ผมแทบอยากลุกขึ้นเตะมันรัวๆ
“น้องเขาชื่อบุ๋ม”
สิ้นเสียงร่างเล็กนุ่มนิ่มที่ผมโอบกอดเอาไว้เงยใบหน้าขึ้นมาสบสายตาของผมทำท่างงงวยจากนั้นนัยน์ตาสีนิลสวยก็เปลี่ยนเป็นเชิงอยากรู้อยากถาม
“พ่อตามขา... ใครบุ๋ม?”
เอาแล้วไงวะ
นี่แหละที่เขาถึงบอกว่าเด็กชอบเรียนรู้ชอบจดจำในสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด
“เอ่อ... เพื่อนอาบอลของลูกไง” ผมตอบลูกทันทีที่คิดได้โดยการบวยไปให้ไอ้บอลแทน เอาตัวรอดไว้ก่อนส่วนเพื่อนค่อยช่วยทีหลัง “ใช่ไหมบอล”
“ใช่ค่ะต้องตาเพื่อนอาบอลเอง”
ไอ้บอลรับไปแล้วต้องตาก็ยังทำท่ารุ่นคิดแป๊บหนึ่งซึ่งขนาดผมก็ไม่เข้าใจว่าลูกตัวเองทำไมต้องทำขนาดนั้นทั้งที่เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ สีหน้าเหมือนโตเต็มที่แสดงออกเรื่อยๆ ทว่าแค่พักเดียวริมฝีปากจิ้มลิ้มก็เอ่ยขึ้นทำเอาเสียวสันหลังวาบ
“งั้นตาต้องบอกแม่ตูนมั้ยคะพ่อตามขา”
ซวยแล้วไง...
เป็นสิ่งที่ผมพูดในใจพร้อมกับฝืนยิ้มแห้งๆ ให้กับต้องตาลูกสาวตัวน้อยที่ยังเงยหน้ามองด้วยสายตาแป๋วใสซื่อตามสไตล์เด็ก สิ่งที่เด็กคิดกับผู้ใหญ่คิดมันไม่เหมือนเลยด้วยซ้ำโลกของเด็กก็เปรียบเสมือนผ้าขาวสะอาดไม่มีการแต่งแต้มสีลงไปให้เลอะเทอะส่วนผู้ใหญ่อาจเปื้อนจนแทบไม่มีที่ว่างด้วยซ้ำไป ประโยคนี้นึกไปถึงคนสอนถึงแม้ไม่อยู่ในสถานการณ์ก็ยังมีส่วนเสริมสร้างให้นึกถึง
ร้ายทั้งแม่อีกทั้งยังส่งเสริมลูกอีก
เธอมันน่าจับตีก้นจริงๆ ตูน...
“ไม่เกี่ยวกับพ่อตามขาของต้องตาเลยค่ะ ไม่บอกเนาะอาบอลขอ”
ไอ้บอลพูดขึ้นเป็นผมที่เงียบนิ่งไม่ได้ตอบอะไรกับลูกปล่อยให้ไอ้คนปากหมามันแก้ตัวไปก่อน เรื่องความฉลาดในการเอาตัวรอดต้องยกให้ไอ้บอลเป็นอันดับหนึ่งมันทำได้ดีเลยสำหรับเรื่องนี้และที่มันเอ่ยเอาตัวรอดได้รวดเร็วขนาดนี้ก็เพราะก่อนหน้าผมบวยเรื่องผู้หญิงชื่อบุ๋มให้มัน
ถ้าเรื่องนี้ถึงหูตูนเมื่อไหร่ไอ้บอลก็ไม่รอด
ผมก็ไม่รอดเหมือนกัน
ผลสรุปออกมาตายห่าทั้งคู่เดี๋ยวเมียก็หาว่าเป็นเพื่อนกันก็ต้องเข้าข้างกันอีก เพื่อนกันออกรับแทนกัน คิดแล้วโคตรปวดหัว
“แต่แม่ตูนบอกว่าถ้าเกี่ยวกับอาบอลก็ต้องบอกค่ะ”
จบสิ้นประโยคไอ้บอลหันใบหน้ามาหาผมและขยับปากแบบไม่มีเสียงอีกครั้ง ไอ้สันขวานตามลูกแม่ไหมล่ะ มันตั้งใจบอกว่าต้องตาลูกผมได้เชื้อแม่มาเยอะหรือว่าเข้าข้างทางตูนประมาณนั้น
นี่ก็คือความฉลาดของเมียผมบวกกับความฉลาดของลูกเข้าไปสร้างความปวดหัวได้ทันทีที่ได้ฟังพาราคงได้ใช้แหละคืนนี้ ทางแก้ปัญหาเหลือแค่ความมืดมิดของทางตันเท่านั้นมองยังไงก็ไม่มีแสงสว่าง
“แต่ถ้าต้องตาบอกอาบอลต้องถูกตีแน่ๆ เลยค่ะ” คราวนี้ไอ้บอลสวมบทดารานำชายทำหน้าเศร้าแบกโลกเอาไว้ทั้งใบต่อหน้าลูกสาวผม อีกอย่างที่ผมอยากบอกมันคือเพื่อนที่ใช้คำว่าไอ้ปัญญาอ่อนได้เหลือเดนที่สุด “ถูกตีป้าบๆ”
“ต้องตาอยากเห็นอาบอลถูกตี”
นั่นไงลูกผมฉลาดไหม คำตอบที่ชวนหักมุมหักหน้าไอ้บอลซึ่งๆ หน้าไม่มีการลีลาอะไรให้มากความก็บอกแล้วว่าเด็กคิดอะไรก็จะพูดออกไปแบบนั้น ไม่กั๊ก
“ต้องตาลูก”
“ขาพ่อตาม”
เพียงแค่เอ่ยใบหน้าเล็กก็เงยขึ้นมองหน้าของผมอีกครั้งเพื่อไม่ให้ลูกสาวตัวเองมีอาการปวดเมื่อยลำคอตามหลังผมจึงอุ้มต้องตาเปลี่ยนท่าทางให้หันตัวมาทางตัวเอง เพราะฉะนั้นตอนนี้ลูกก็นั่งบนพาดขาของผมไปข้างหนึ่งโดยมืออวบเล็กยังถือโทรศัพท์แน่นเหมือนกลัวทำตก ผมไม่หวงสักนิดตกได้ก็ซื้อใหม่ได้
“แล้วต้องตาอยากให้แม่ตูนตีพ่อมั้ย?”
ศีรษะเล็กปฏิเสธทันที
“พ่อตามขาไม่ดื้อ แม่ตูนไม่ตีหรอกค่า”
ให้ตายสิเด็กน้อย จะรับรู้ไหมว่าพ่อคนนี้โดนไม่น้อยเลยเวลาลับสายตาของผู้เป็นลูก จิกข่วนทุกอย่างพ่อล้วนโดนมาหมดแล้วนับประสาอะไรกับครั้งนี้
“ถ้าอาบอลของต้องตาโดนรู้ไหมว่าพ่อก็โดนด้วย” ผมเชื่อนะว่าอย่างน้อยลูกคนนี้ก็ได้เชื้อจากผู้เป็นพ่อมาไม่น้อยเหมือนกันเช่นกัน จึงพยายามโน้มน้าวใจต้องตาโดยการฉุดเอาความน่าสงสารมาเป็นจุดเด่น “อาจโดนก้านมะยม”
“เจ็บๆ ”
ถ้อยคำมาพร้อมกับอ้อมแขนอวบๆ กอดรอบเอวของผมทันทีในขนาดที่ความยาวของแขนอวบยังเอื้อมไม่ถึง ใบหน้าเล็กกลมแนบชิดกับหน้าท้องอาจเป็นเพราะได้ยินว่าก้านมะยมที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของต้องตาก็ได้นะ
ต้องตาไม่ถูกกับก้านมะยมเท่าไหร่นักถ้าจะสาวความยาวของเหตุการณ์ก็ประมาณสองอาทิตย์ก่อน ตูนใช้ก้านมะยมฟาดเพื่อทำโทษลูกแค่ทีเดียวก่อนหน้าที่ผมไปเห็นและคว้าตัวลูกมาอุ้มครั้งที่สองจึงถูกมือของผมเองแบบเต็มๆ เหตุการณ์นั้นทำให้ต้องตาร้องไห้สนั่นลั่นบ้านไปหลายชั่วโมง
และตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ระหว่างผมกับตูนก็ไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไหร่
“พ่อกลัวเจ็บ”
ติ้ง!
TOON’ TT : รู้ว่าอยู่ร้านไอติมรีบกลับบ้าน อย่าพาลูกเถลไถล
รอบคอบมาก อยากได้ฉายาแม่บ้านปราบผัว2018 หรือไง
มันเป็นข้อความแรกที่ผมพึ่งได้จากคนที่ขึ้นชื่อว่าเมีย เชื่อเถอะถ้าต้องตาไม่ได้อยู่กับผมข้อความนี้ก็จะไม่ถูกส่งมาอีกเช่นกัน
สรุปสั้นๆ ก็คือตูนห่วงลูก
ผมจะเป็นตายร้ายดียังไงเธอไม่สนอยู่แล้ว
ไม่สนใจในที่นี้ไม่ใช่ว่าแค่เรื่องเดียวแต่มันเป็นทุกๆ เรื่องเลยต่างหากเช่น การพูดจาถามคำตอบคำ การพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ทำอาหารให้ เรียกได้ว่าสิ่งที่เป็นหน้าที่เมียเธอไม่ทำสักอย่าง
ผมโกรธเธอเรื่องใช้ก้านมะยมตีลูก
ส่วนตูน... เธอโกรธผมเรื่องไปเที่ยวกลับดึก
“ไม่บอกแม่ตูนแล้ว พ่อตามขาจะได้ไม่ถูกตี”
เสียงชัดแจ๋วพูดออกมาสร้างรอยยิ้มให้กับผมและไอ้บอล ส่วนหนึ่งก็มีความโลงอกโล่งใจด้วยแหละบอกเลยว่าผมไม่อยากทะเลาะอะไรกับเมียในช่วงนี้เพราะทั้งวันพรุ่งนี้และวันมะรืนเป็นวันหยุด เป็นวันครอบครัวที่ทั้งผมตูนและต้องตาต้องอยู่ร่วมกันทั้งวันทั้งคืนขืนมีเรื่องทะเลาะก็ทำให้บรรยากาศเสียทั้งที่เป็นอยู่ก็ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วด้วย
ไม่อยากซ้ำเอาน้ำมันราดลงบนกองไฟ
“แบบนี้สิเด็กดีของพ่อ”
“แต่ตาต้องได้ไปเที่ยวทะเล พ่อตามขาไปพาหน่อยย...”
ใบหน้ากลมผละออกจากตัวของผมก่อนที่ต้องตาจะเงยหน้าขึ้นทำพร้อมกับกระพริบดวงตาโตถี่ๆ เป็นสัญญาณการออดอ้อนอย่างเต็มที่
“แลกเปลี่ยนกันแบบเลยเหรอค่ะต้องตาของอาบอล”
“ค่าอาบอล”
ไอ้บอลพยักหน้ายิ้มกลุ้มกริ่มกับต้องตาเท่านี้ผมก็รับรู้แล้วว่ามันโล่งใจมากแค่ไหนที่ไฟลูกใหญ่ยังไม่เข้าไปเผาไหม้บ้านหลังใหญ่ของมัน นิ้วโป้งใหญ่ส่งมาให้ผมแทนคำชื่นชมก่อนที่มันจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเพื่อหนีเอาตัวรอดอีกครั้งด้วยความเจ้าเล่ห์
“งั้นกูกลับก่อนดีกว่ากลัวอยู่ต่อแล้วไฟไหม้บ้านอีกว่ะ” มันก้มลงมากระซิบข้างหูผมโดยที่มือใหญ่ลูบศีรษะต้องตาเบาๆ และหันมาพูดกับต้องตา “อาบอลไปก่อนนะคะ เที่ยวให้สนุกกับพ่อตามขาด้วย”
เวร...
ผมยังไม่ตกลงพาลูกเที่ยวแต่ไอ้บอลปากหมากับพูดแบบนั้นออกไปจึงอดไม่ได้ที่จะเหยียบเท้ามันอย่างแรงส่งท้ายแต่คนอย่างมันก็ไม่ได้สะทกสะท้านนัก
“ค่า จุ๊บๆ ค่ะอาบอล”
พอไอ้บอลออกไปได้ประมาณยี่สิบนาทีผมก็พาต้องตาออกมาจากร้านไอศกรีมบ้าง เพียงไม่นานก็ถึงบ้านที่มีแค่ผมตูนและต้องตาเท่านั้น หมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในทำเลดีสะดวกสบายมีความเป็นส่วนตัวมากมีไม่กี่หลังคาเรือนอีกทั้งรอบๆ ก็ยังมีความปลอดภัยในระดับสูง วางใจได้
“สวัสดีค่าแม่ตูน”
ร่างเล็กของต้องตาที่พยายามดิ้นประท้วงเพื่อให้ผมที่อุ้มเดินเข้ามาในบ้านปล่อยลงสู่พื้นเพียงแค่เท้าเล็กสัมผัสพื้นหินอ่อนก็ส่งเสียงพูดกับตูนที่คุกเข่าลงกับพื้นรับร่างของต้องตาขึ้นมาอุ้ม สองแม่ลูกผลัดกันหอมแก้มไปมาโดยไม่ได้สนใจผมเลยสักนิด
“แก้มหอมชื่นใจแม่จังจ๊ะ”
เห็นแม่แล้วลืมพ่อเลยนะลูกเอ้ย
ผมจึงเดินไปที่โซฟากลางห้องรับแขกวางกระเป๋าเล็กรูปเป็ดน้อยลงก่อนเดินไปในครัวเอาน้ำเย็นๆ เทใส่แก้วเดินออกมานั่งโซฟาแต่สายตายังจับจ้องไปยังสองแม่ลูก พอตูนปล่อยตัวต้องตาลูกก็วิ่งมาหาผมทันที
“ใช่มั้ยคะพ่อตามขา...”
ต้องตาพยายามแยกขาผมแล้วแทรกตัวยืนและพูดขึ้นเป็นประโยคที่ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก เพราะจู่ๆ ก็พูดออกมาไม่ทันเท้าความเรื่องราวจะตอบรับมันก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่นัก
“อะไรลูก?”
“ไปเที่ยวทะเลไงค่า”
“อ๋อ...” ผมลากเสียงยาวเพราะเข้าใจที่ลูกพยายามสื่อสารแล้วก็มองไปทางตูน เธอเข้ามานั่งโซฟาอีกอันหนึ่งแต่อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ใบหน้าสวยมีคำถามมากมายแต่เธอยังไม่เอ่ยถามผมก็เท่านั้น ผมจึงพูดขึ้นกับเธอ “พี่จะพาลูกไปพรุ่งนี้”
“เย้ๆ พ่อตามขาใจดีที่สุดเล้ยค่า”
“คงไม่ใช่ติดสินบนลูกนะคะ”
ตาม ภูมิรพี: TALK END