“ข้าอยู่นี่”
“อ้อ คุณหนู ท่านอยู่ที่นี่เอง นายท่านกับฮูหยินผู้เฒ่าต้องการพบคุณหนูด่วนขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลานฮุ่ยเจินเอ่ยเสียงราบเรียบ เยือกเย็นยิ่งนัก
มู่หลินที่คราแรกนอนคว่ำหน้าบัดนี้เปลี่ยนเป็นขดตัว นางรู้สึกทั้งตกใจทั้งแปลกประหลาดใจ อาการหวาดกลัวอย่างอกสั่นขวัญแขวนไม่อาจปิดบังได้ ร่างของนางสั่นเทาไปหมด หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งรอบๆข้าง ยังคงซุกหน้าลงกับพื้นดินราวกับพยายามจะให้ธรณีนี้กลืนกินร่างของนางลงไป
“นั่นเจ้าเป็นอะไรมู่หลิน เหตุใดจึงลงไปนอนอยู่แบบนั้น เหตุใดไม่ดูแลคุณหนูใหญ่” เสียงบ่าวรับใช้หญิงนางหนึ่งดังขึ้น
“มู่หลินนางคงฝันร้ายกระมัง” หลานฮุ่ยเจินลุกขึ้นยืนอย่างไม่แยแส นางเดินเข้าไปหาเหล่าบ่าวไพร่ที่ยืนนิ่งงันอยู่ ในมือถือผ้าสีแดงที่เมื่อสักครู่ใช้แขวนคอนางไปด้วย
“เอ่อ คุณหนูเจ้าคะ นี่ผ้าอะไรรึเจ้าคะ?” บ่าวหญิงคนหนึ่งถาม
“ก็แค่…” นางเว้นวรรคหายใจพลางหันไปชำเลืองมองมู่หลินที่ยังคงตัวสั่นเทาอยู่
“ของเล่นของมู่หลินกระมัง” นางเหยียดยิ้มใส่ร่างที่กำลังสั่นเทานั้นอย่างไม่ใยดี
“ไปเถอะ มา ใครก็ได้ช่วยมาพยุงข้าหน่อย” หลานฮุ่ยเจินนั้นรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าร่างกายนี้ของหลานฮุ่ยเจินผู้อาภัพนั้นช่างอ่อนแอและโดนโรคภัยรุมเร้ามากมายซะเหลือเกิน เห็นทีนางจะต้องฟื้นฟูสุขภาพเป็นการใหญ่แล้ว
บ่าวรับใช้หญิงสองคนพยุงคุณหนูใหญ่ของจวนมาถึงประตูทางเข้าด้านหน้า แต่หลานฮุ่ยเจินกลับลังเลที่จะเข้าไป
“ข้าจะไม่เข้าบ้านทางประตูหน้า ดูสารรูปข้าสิ ยังกะไปฟัดกับลิงที่ไหนมา ข้าจะไปเปลี่ยนชุดให้เรียบร้อยก่อน พาข้าไปที่ประตูด้านหลังจวน”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ถึงแม้บรรดาบ่าวรับใช้ทั้งชายหญิงจะสงสัยว่าหลานฮุ่ยเจินไปทำอะไรมาก่อนหน้านี้นางถึงได้มีสภาพแบบนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามออกมา
หลานฮุ่ยเจินเดินมาถึงด้านหน้าเรือนของนาง ความทรงจำอันเลือนรางของเจ้าของร่างเดิมผุดขึ้นมาทีละน้อยๆ เรือนหลังนี้นั้นช่างไม่สมศักดิ์ศรีของคุณหนูใหญ่ของจวนเอาซะเลยเพราะอยู่ท้ายจวน เป็นเรือนหลังเก่าๆเล็กๆหลังคาผุพังไปตามกาลเวลา มารดาเลี้ยงของนางซึ่งก็คือฮูหยินคนปัจจุบันของจวนบอกว่าเรือนนี้เหมาะกับการพักรักษาตัวของนางเพราะอยู่ห่างไกลความวุ่นวาย บิดานางก็เห็นดีด้วย พวกเขาจึงให้หลานฮุ่ยเจินย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ได้ห้าปีแล้วหลังจากที่มารดาของนางได้สิ้นไป
“ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนชุดสักหน่อย พวกเจ้ารอข้าอยู่ด้านนอกนี่ล่ะ”
“ให้บ่าวช่วยไหมเจ้าคะ แล้วนี่ทำไมจิ้งอี้กับมู่หลินถึงได้ไม่มาปรนนิบัติคุณหนูล่ะเจ้าคะ?”
“หึๆ พวกนางก็คงอยากจะพักบ้างกระมัง”
“ได้อย่างไรกันเจ้าคะ พวกนางชักจะทำตัวเหลวไหวไปใหญ่แล้ว” บ่าวหญิงคนหนึ่งบ่นอย่างไม่พอใจ
“ช่างเถอะ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ข้าต้องรีบไปเปลี่ยนชุดแล้ว เดี๋ยวท่านพ่อกับท่านย่าจะโมโห หากว่าข้าไปช้า”
พูดจบหญิงสาวก็ไม่รอช้า นางรีบเดินเข้าไปด้านในเรือนเก่าๆนั้นทันที
ทันทีที่หลานฮุ่ยเจินก้าวเข้ามาในเรือนหญิงสาวก็มองหากระจกทันที นางแทบจะร้องกรี๊ดเมื่อพบว่า
“ทำไมหลานฮุ่ยเจินผู้อาภัพกับเราหน้าตาถึงได้เหมือนกันยังกะฝาแฝดขนาดนี้” ถึงแม้ว่าภาพที่ปรากฏในกระจกจะดูโทรมและอ่อนล้าขนาดไหน แต่หญิงสาวก็รู้ได้ทันทีว่านี่มันคือเธอชัดๆ
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ก็เรากับหลานฮุ่นเจินคือคนๆเดียวกันนี่นา หน้าตาเหมือนกัน ชื่อ แซ่ ก็ยังเหมือนกันอีก”
หญิงสาวเดินไปเปิดตู้ใบเก่าๆที่เป็นที่เก็บเสื้อผ้าก่อนจะตัดสินใจหยิบมาหนึ่งชุด
“ฮึ! ชีวิตความเป็นอยู่แย่กว่าที่คิดเอาไว้อีกแฮะ เห็นทีจะต้องเอาคืนยัยแม่เลี้ยงและลูกสาวของนางให้สาสมแล้ว” หลานฮุ่ยเจินเปลี่ยนเสื้อผ้าไปก็บ่นไป
หญิงสาวเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเป็นชุดสีฟ้าที่ดูเรียบร้อย หลานฮุ่ยเจินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นางกำลังจะขยับขาก้าวเดิน ทว่า ขานั้นกลับไร้เรี่ยวแรงไปซะอย่างนั้นจนหญิงสาวเซถลาชนกับโต๊ะตัวเล็กๆที่ขาจวนเจียนจะหักนั้นจนทำให้กาน้ำชาที่ภายในมีน้ำชาที่เย็นชืดอยู่ครึ่งค่อนกาหล่นลงไปบนพื้น
“เพล้ง!” เสียงกาน้ำชาที่ตกกระทบพื้นทำให้บรรดาบ่าวหญิงรับใช้ทั้งหลายที่รออยู่ด้านหน้าเรือนต้องวิ่งเข้ามาดูด้านในอย่างรวดเร็ว
“คุณหนู! เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ คุณหนูบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
“ไม่ ข้าไม่เป็นไร” หลานฮุ่ยเจินที่ยืนพิงกับผนังอยู่เอ่ยออกมา
สาวรับใช้สองนางเข้ามาพยุงหลานฮุ่ยเจิน หญิงสาวขยับตัวตามการประคองแต่แล้วนางก็ทำสีหน้าประหลาดพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิด
“พวกเจ้าได้กลิ่นอะไรแปลกๆหรือไม่?” คิ้วของหลานฮุ่นเจินย่นเข้าหากัน นางได้กลิ่นแปลกๆที่สัญชาตญาณบอกว่า มันคือ อันตราย
“เจ้าจะได้รับพรพิเศษ นั่นคือเจ้าจะสามารถได้กลิ่นพิษ พรข้อนี้รวมกับความสามารถที่เจ้ามีข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องเอาตัวรอดได้” หลานฮุ่ยเจินพลันระลึกถึงคำพูดของนางเซียนตนนั้นขึ้นมาได้
“ไม่ใช่เพียงแค่เอาตัวรอดได้หรอก แต่ข้าจะต้องเอาคืนพวกมันทุกคนให้ได้ต่างหาก นอกจากมาเป็นหมอรักษาคนที่ชาติภพนี้แล้ว อีกภารกิจหนึ่งของข้าคือ ต้องเอาคืนทุกคนที่มันทำร้ายข้าสินะ” นางนึกในใจ
“ปกติ น้ำชานี้ใครเป็นคนเตรียมให้ข้า?” หลานฮุ่ยเจินเอ่ยออกมาเสียงดัง
“เป็นสาวรับใช้ส่วนตัวของคุณหนูใหญ่ จิ้งอี้ กับมู่หลินอย่างไรละเจ้าคะ” สาวรับใช้นางหนึ่งตอบออกไปแบบงงๆ
“อ้อ! ข้าเข้าใจละ เป็นเช่นนี้นี่เอง ไปเถอะ ข้าเสียเวลามามากแล้ว เดี๋ยวท่านพ่อกับท่านย่าจะโมโหเอา”
หลานฮุ่นเจินยังคงต้องอาศัยสองสาวใช้ประคองเดินไปเนื่องจากสภาพร่างกายของหลานฮุ่ยเจินผู้อาภัพนั้นย่ำแย่ทรุดโทรมเป็นที่สุด ไร้เรี่ยวแรง แม้แต่จะหายใจยังเหนื่อยเลย
“เราจะต้องฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาแข็งแรงโดยเร็ว ภารกิจมากมายรอเราอยู่” หลานฮุ่ยเจินนึกในใจ
ระยะทางจากเรือนเก่าโกโรโกโสท้ายจวนของหลานฮุ่ยเจินผู้อาภัพถึงเรือนใหญ่นั้นประมาณหนึ่งลี้ (ห้าร้อยเมตร) ที่นี่เป็นที่พำนักของนายอำเภอหลาน เหวินมี่เฟย ฮูหยินคนปัจจุบัน ฮูหยินผู้เฒ่า หลานฮุ่ยเหมย และหลานฮุ่ยเหอ บุตรชายเพียงคนเดียวของนายอำเภอหลาน
“ระยะทางเพียงแค่นี้ยังเล่นเอาเราเหนื่อยหอบขนาดนี้ งานนี้สงสัยต้องเร่งฟื้นฟูสุขภาพเป็นการด่วนแล้ว” หลานฮุ่ยเจินบอกตนเองในใจ