“ฉันมาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไงคะ” คนที่จำได้ว่าครั้งสุดท้ายตัวเองนอนอยู่ที่คอนโดเอ่ยถามเสียงแผ่ว รู้สึกเศร้าใจที่ตื่นมาไม่มีใครสักคนคอยอยู่ข้างกาย
“คุณกินยานอนหลับเกินขนาด หลับไปสามวันเต็มๆ ดีที่หมอช่วยไว้ได้ทัน คุณชายหมอธีรเดชท่านเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินมือหนึ่งของโรง’บาลรักษ์ คืนนั้นท่านอยู่เวรพอดีค่ะ”
ถ้อยคำในตอนท้ายทำให้ร่างบางนิ่งงันไปชั่วขณะ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยท่าทางเหนื่อยล้า นัยน์ตาที่ยังคลอเคล้าไปด้วยหยาดน้ำใสๆ ปิดลงอย่างไม่ต้องการรับรู้อะไรอีก
กระทั่งเสียงเปิดประตูห้องผู้ป่วยดังแว่วหู เสียงฝีเท้านุ่มนวลทว่าสม่ำเสมอก้าวมาหยุดลงข้างเตียง เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอลืมตาขึ้นพอดี
“สวัสดีค่ะ หมอมาตรวจแทนหมอธีรเดชนะคะ”
“ค่ะ”
“เป็นยังไงบ้างคะ มีอาการผิดปกติอะไรหรือเปล่า” คุณหมอสาวคนสวยที่ถือชาร์ตคนไข้เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ขณะที่ตาอ่านผลเลือดไปด้วย
“รู้สึกเพลีย แล้วก็มึนหัวค่ะ”
“มันเป็นผลข้างเคียงจากการกินยานอนหลับเกินขนาดค่ะ แต่เดี๋ยวก็คงดีขึ้น”
คุณหมอสาวเอ่ยบอก พลางก้มลงจดบันทึกอาการคนไข้ลงไปในชาร์ต แล้วเอาหูฟังมาแตะที่บริเวณหน้าอกของคนไข้ รับไฟฉายจากพยาบาลมาส่องดูรูม่านตา แล้วเอ่ยสอบถาม
“มีอาการเจ็บหน้าอก หรือว่าคลื่นไส้อยากอาเจียนไหมคะ”
“ไม่ค่ะ”
จากนั้นหมอก็สอบถามอีกนิดหน่อย แล้วบอกว่าหลังจากนี้จะให้พยาบาลเอาอาหารอ่อนๆ มาให้ทาน หากมีอาการผิดปกติ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง หรืออื่นๆ ให้รีบแจ้งทันที
“ฉันจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหนคะ”
“หมอธีรเดชแจ้งว่าอยากให้นอนดูอาการอีกสักสองวันค่ะ”
“โอเคค่ะ”
คนไข้สาวพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ดันทุรังเอาแต่ใจ ที่ทำตัวว่าง่ายไม่ใช่ว่าจะเชื่อฟังคำสั่งอะไรของธีรเดช แต่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อตัวเธอเอง อารญาไม่อยากถูกหามส่งโรงพยาบาลเพราะความดื้อรั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต เพราะการทำอย่างนั้นมันอาจทำให้ชีวิตเธอต้องมาวนเวียนใกล้เขาอีก
“น้องอายทำไมถึงทำร้ายตัวเองอย่างนี้”
พงษ์สวัสดิ์ที่ตั้งใจมาเยี่ยมหลังจากขึ้นวอร์ดเสร็จเอ่ยถามด้วยท่าทางเครียดๆ เพราะการคิดจบชีวิตลงแบบเด็ดเดี่ยวของอารญาทำเอาเขาแทบนอนไม่หลับ
“อายไม่ได้ตั้งใจ”
“ทำตัวเองปางตายขนาดนี้ ยังบอกไม่ได้ตั้งใจอีกเด็กโง่”
“อายไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ อายแค่นอนไม่หลับติดกันหลายคืน ก็เลยกินยานอนหลับ”
เจ้าของใบหน้าซีดเซียวส่ายหัวเล็กน้อย แล้วเอ่ยไปตามความเป็นจริง เธอไม่ได้คิดสั้นจะฆ่าตัวตาย เธอแค่มีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับ จิตใจหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของธีรเดชเพราะยังปล่อยวางไม่ได้ สุดท้ายรู้ว่าร่างกายจะไม่ไหวเพราะไม่ได้พักผ่อน เธออยากหลับโดยไม่คิดอะไร จึงกินยานอนหลับไปหลายเม็ด ที่ต้องกินหลายเม็ดเพราะเพิ่มปริมาณมากขึ้น หลังจากตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมากินคืนละสองเม็ด แล้วมันไม่ช่วยอะไรเลย
“กินยานอนหลับเกินขนาด มันไม่ต่างอะไรจากการฆ่าตัวตายสักนิด”
“…”
เห็นหน้าเจื่อนๆ และแววตาสำนึกผิดของคนตัวเล็กเขาก็ดุไม่ลง ร่างสูงลุกขึ้น ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ วางมืออุ่นลงบนหัวน้อย แล้วเอ่ยออกมา
“น้องอายควรจะรักตัวเองรู้ไหม”
“อายรู้ค่ะ อายรู้…”
พอเห็นเขาแสดงความเป็นห่วงจากใจจริงอารญาก็ละล่ำละลักด้วยท่าทางละอาย คนในครอบครัวไม่มีใครสักคนสนใจไยดีเธอ แต่เขาผู้เปรียบเสมือนพี่ชายกลับเป็นห่วงเธอ
“อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนี้อีก พี่ขอนะ รับปากกับพี่ได้ไหม นอกจากการฆ่าตัวตายจะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดแล้ว มันยังทำให้เราเป็นบาป บาปที่ไม่อาจหลุดพ้นได้”
วูบหนึ่งอารญาเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายจริงๆ แต่เธอขี้ขลาดเกินกว่าที่จะปลิดชีวิตตัวเอง ตอนเด็กคุณยายสอนว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปสูงสุดอย่างที่พงษ์สวัสดิ์พูด
“อายจะไม่ทำอย่างนี้อีก อายสัญญา”
“เด็กดี”
ได้ยินอย่างนั้นคุณหมอหนุ่มก็มีสีหน้าดีขึ้น ผ่อนลมหายใจออกมาเมื่อความกังวลในอกลดลง มือใหญ่ลูบหัวทุยเบาๆ พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ อยากระบาย อยากให้พี่ช่วย โทรหาพี่ได้เสมอ เพื่อนพี่จะไม่มีวันรู้เรื่องของน้องอาย ทุกอย่างจะเป็นความลับตราบเท่าที่น้องอายต้องการ”
“อายจะกล้ารบกวนพี่ได้ยังไง…” เธอเอ่ยด้วยสภาพน้ำตาคลอ
“พี่ยังเป็นพี่ชายของน้องอาย ต่อให้ความสัมพันธ์ของน้องอายกับเพื่อนพี่จะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน พี่ก็ยังเอ็นดูน้องอายเหมือนน้องสาว และมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
เท่านั้นแหละคนฟังก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น พงษ์สวัสดิ์ขยับเข้าสวมกอดร่างสั่นเทา ลูบหลังเบาๆ อย่างปลอบประโลม เขาเป็นจิตแพทย์ย่อมรู้ดีว่าการไม่พูดอะไรในเวลานี้ดีที่สุด ปล่อยให้อารญาเอาสิ่งที่ค้างคาอยู่ภายในออกมาพร้อมกับหยาดน้ำตา ดีกว่าทนกักเก็บเอาไว้