ตอนที่ 2 เร่งช่วยเหลือ

2303 คำ
หลายวันผ่านไปในที่สุดไป๋หมิงเยว่ก็เริ่มคิดได้ นางเปิดประตูห้องออกด้วยใบหน้าซีดเซียว เรี่ยวแรงลดน้อยถอยลงยิ่งกว่าเดิม หลี่เฟยเทียนยังคงมาหานาง คลี่ยิ้มอบอุ่นส่งให้ เหมือนไม่เคยทำเรื่องบัดสีอันใดมาก่อน “เยว่เอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็หายป่วยแล้ว ข้ามาหาเจ้าหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้พบเลย กระนั้นข้าก็มาหาเจ้าทุกวัน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ยังเจ็บไข้หรือไม่?” ชายหนุ่มตรงเข้ามาจับมือเรียวเล็กอย่างห่วงใย         แววตาสั่นไหว ประหนึ่งหากมิได้เจอกันอาจขาดใจตายได้ จิ่นซินที่ติดตามคุณหนูของตนทุกยามเวลา ได้เห็นความจริงทุกสิ่งมาโดยตลอดก็ลอบถอนหายใจเบื่อหน่าย นางเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยจึงไม่สะดวกอะไรเท่าใด จึงได้แต่ทำตากะหลับกะเหลือกสีหน้าพิกลแล้วหลบเลี่ยงไป ไป๋หมิงเยว่มองหน้าชายคนรักด้วยหัวใจที่เจ็บแปลบ แม้เป็นคนอ่อนแอเป็นแค่คุณหนูในห้องหอที่แสนจะบอบบาง แต่นางไม่คิดจะกักเก็บความปวดร้าวให้กลัดหนอง นางไร้ซึ่งความคิดประคองความรักจอมปลอมอย่างคนโง่งม คำถามแทงใจจึงเกิดขึ้นต่อหน้าบุรุษ “ท่านมาหาข้าหรือมาหาใครกันแน่ เฟยเทียน” เพียงวาจานี้ถูกเอ่ยออกมา บุรุษพลันเบิกตากว้าง “เยว่เอ๋อร์....เจ้า...” เขาอึกอัก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ไป๋หมิงเยว่อยากหัวเราะทั้งน้ำตา “เรือนนี้มิใช่เรือนของน้องรอง เกรงว่าท่านคงเดินมาผิดทางแล้วกระมัง” ม่านตาดำของหลี่เฟยเทียนหดแคบ “เจ้ารู้แล้ว?” หญิงสาวพยักหน้า น้ำตามากมายไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ นางสะอึกสะอื้นเสียงเครือ หายใจแทบไม่ออก “หลี่เฟยเทียน ในเมื่อท่านมิได้รักข้าแล้วจงไปเสีย ท่านจะไปรักกับน้องสาวของข้าที่ใดก็ไป พวกเราสองคน          ไม่เกี่ยวข้องกันอีกแล้ว” หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นอ้อมแขนอบอุ่น          หลี่เฟยเทียนสวมกอดไป๋หมิงเยว่แนบแน่นรีบยื้อสุดใจ “เยว่เอ๋อร์ หญิงที่ข้ารักอย่างแท้จริงย่อมเป็นเจ้า ทว่าฐานะของเจ้าในจวนไป๋ไม่เหมือนเดิมแล้ว การแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างหลี่ไป๋ยังคงต้องเกิดขึ้น เพียงแต่ตัวข้าไม่อาจเลือกภรรยาเอกตามแต่ใจได้ เยว่เอ๋อร์ ข้ารักเพียงเจ้า ข้าไม่มีทางไม่แต่งกับเจ้า เข้าใจหรือไม่?” รักข้า แต่ไม่อาจมอบฐานะภรรยาเอกให้ข้าได้ ไป๋หมิงเยว่หลับตาลงอย่างปวดใจ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พลันเห็นไป๋ลี่ถิงยืนชะงักนิ่งอยู่เบื้องหน้า ในระยะสายตาตรงพุ่มไม้ ชั่วจังหวะที่เห็นน้องสาวแอบมอง มิรู้ว่าอะไรดลใจ นางจึงเอ่ยกับเจ้าของอ้อมแขน “หากท่านรักข้าคนเดียว พิสูจน์ได้หรือไม่?” ชายหนุ่มก้มหน้าซุกซอกคอขาว รัดแขนกับร่างนุ่ม “ข้ารักเพียงเจ้า จะให้ข้าทำสิ่งใดก็ยอมทั้งนั้น” ไป๋หมิงเยว่พลิกกายในอ้อมกอด เงยหน้าออดอ้อน “จูบข้าได้หรือไม่?” เมื่อคำนี้หลุดออกมา ใบหน้านวลพลันแดงซ่าน ตั้งแต่เด็กจนโตเต็มวัย นอกจากมองตาจับมือ นี่คือครั้งแรกที่แนบชิด ไป๋หมิงเยว่กลั้นใจรอคำตอบด้วยหัวใจเต้นแรงแทบทะลุอก หลี่เฟยเทียนที่ก้มหน้าอยู่แล้วจึงคลี่ยิ้มอ่อนโยน ลอบถอนหายใจโล่งอก พิสูจน์โดยการจูบเป็นเรื่องง่ายดาย ก่อนจรดริมฝีปากอุ่นชื้นกับกลีบปากนุ่มแดง ค่อยๆ ละเลียดชิมคนงามอย่างรักใคร่ท่วมท้น จังหวะนั้นเสียงตวาดพลันดัง “พี่เฟยเทียน!” เจ้าของนามรีบผละออกจากสตรีตรงหน้า เขาเบิกตามองตามเสียงจึงเห็น...ไป๋ลี่ถิง! ไป๋หมิงเยว่ลอบกระตุกยิ้มสาสมใจ ทันทีที่หลี่เฟยเทียนเห็นไป๋ลี่ถิง เขาก็ชะงักงันตัวเกร็ง      อ้อมแขนอบอุ่นที่โอบกอดไป๋หมิงเยว่อย่างอ่อนโยนพลันแข็งค้างไปถนัดตา ไม่ช้ายังรีบผละจากอย่างตกใจ แน่นอนว่าไป๋หมิงเยว่สัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาของเขา เรื่องนี้ยิ่งกว่ามีมีดนับหมื่นเล่มทิ่มแทงนางจนเลือดโชก  หญิงสาวเจ็บร้าวเกินทานทนจนกระทั่งต้องปัดแขนเขาออก แล้วหันหลังวิ่งหนีอย่างคนไร้ทางสู้ ไป๋หมิงเยว่ขังตัวเองอยู่แต่ในห้องร้องไห้อยู่คนเดียวก่อนจะเป็นลมสลบไป จิ่นซินเห็นเช่นนั้นก็เริ่มทนไม่ไหวแล้ว แม้คุณหนูจะไม่ให้นำเรื่องราวในจวนไปปรึกษาใคร          แต่การเงียบหาใช่ทางออกที่ดีไม่ มีความจริงอยู่หนึ่งประการ แม้จวนไป๋จะเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด ทว่ากลับมีพระสนมคนหนึ่งสนิทสนมกับมารดาของไป๋หมิงเยว่มาก เนื่องจากเคยมีบุญคุณต่อกัน จิ่นซินจึงทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าพบพระสนมผู้นั้น ทั้งลำบากและใช้เวลาเนิ่นนาน แต่สาวใช้ตัวน้อยกลับไม่ย่อท้อ ในที่สุดวันที่เฝ้ารอก็มาถึง จิ่นซินได้รับอนุญาตให้เข้าเฝ้าถึงตำหนักพระสนมเว่ยโดยขันทีผู้หนึ่ง เรื่องราวฟ้องร้องจึงพร่างพรูออกจากปากของจิ่นซิน ตามความเป็นจริงทุกประการโดยไม่มีการหมกเม็ดใดๆ        นางเล่าพลางร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าเวทนาราวจะขาดใจ ช่างเป็นสาวใช้ที่ภักดีอย่างยิ่ง พระสนมให้รู้สึกชื่นชมระหว่างรับฟังเรื่องราวโสมมในจวนไป๋ เมื่อฟังจบจึงบังเกิดความคิดฉุดดึงไป๋หมิงเยว่ให้หลุดพ้นขึ้นจากห้วงทุกข์ระทมขมขื่นใจจึงคิดจับคู่ให้เสียเลย ช่วงนี้นางกำลังเป็นที่โปรดปราน ใช้เวลานอนคุยเรื่องสัพเพเหระกับฮ่องเต้ไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น และบางครั้งฝ่าบาทก็มักจะพลั้งเผลอพร่ำบ่นเรื่องงานราชกิจออกมาบ้างเล็กน้อย “แม่ทัพหยางเปี่ยมบารมี ฝีมือสูงส่ง เริ่มเรืองอำนาจมากเกินไป การกำจัดเขามิใช่ทางออกที่ดี ถึงอย่างไรฝีมือสูงส่งของเขายังสร้างคุณประโยชน์แก่แผ่นดินได้อีกมาก” “เช่นนั้นสมรสพระราชทานเพื่อลดทอนความล้ำเลิศไยมิใช่ควรเกิดขึ้นเล่าเพคะ” พระสนมแย้มยิ้มอ่อนหวานพลางกล่าววาจาเสนาะโสตคล้ายไม่ใส่ใจ “แม่ทัพผู้แข็งกระด้างปานศิลากับหญิงสาวธรรมดาไร้ยศศักดิ์ไร้อำนาจสนับสนุน มิใช่คู่ที่เหมาะสมหรือเพคะ” ฮ่องเต้เยี่ยนเลิกคิ้ว อันที่จริงมิใช่ว่าพระองค์จะไม่รู้ว่าสนมแต่ละนางเป็นเช่นใด แอบพบใครบ้างในแต่ละวัน ทว่าเพราะกำลังเสาะหาสตรีที่สมควรเป็นหมากตานี้อยู่พอดีจึงไม่ได้ขัดสนมเว่ยในเรื่องนี้ อีกอย่างพระองค์เองก็ลองถามหยั่งเชิงกับพระสนมคนใดก็มีแต่แนะนำหลานสาวจากตระกูลตัวเองเพื่อเสริมอำนาจแห่งตนไปเสียสิ้น เมื่อหยั่งเชิงกับขุนนาง พวกเขาก็เอาแต่อ้ำอึ้งอึกอัก มิกล้าออกความเห็น ทว่าสกุลเว่ยกับสกุลไป๋นั้น สายสัมพันธ์ห่างไกล           ไร้เส้นสายโยงใย เรื่องขั้วอำนาจอันใดยิ่งไม่มี แน่นอนว่าฮ่องเต้ส่งสายลับออกไปสืบหาข้อเท็จจริงในประสงค์ของสนมเว่ยได้ไม่ยาก สนมเว่ยไหนเลยจะล่วงรู้พระทัยฮ่องเต้ถึงขั้นนั้น นางเพียงแนะนำไป๋หมิงเยว่ตามที่ตั้งใจเอาไว้ เพราะมารดาของอีกฝ่ายเคยช่วยนางเอาไว้ครั้งหนึ่ง เฮ้อ! ถือว่าตอบแทนคุณให้แก่วิญญาณผู้ล่วงลับ        ข้าเองก็ช่วยบุตรสาวของท่านได้เท่านี้ล่ะ! สนมเว่ยคิดเพียงต้องการให้ไป๋หมิงเยว่หลุดพ้นจากครอบครัวที่ละเลยและบุรุษเห็นแก่ตัว นางจึงเอ่ยอย่างเรียบง่ายไร้แผนการใดว่า “นางคือคุณหนูใหญ่สกุลไป๋แห่งจวนขุนนางขั้นเจ็ด ไร้มารดา บิดาไม่ใส่ใจ นามว่าไป๋หมิงเยว่เพคะ แน่งน้อยผู้นี้ไร้ตัวตนในจวน หมดอำนาจตั้งแต่มารดาตาย ปราศจากคู่หมั้นคู่หมายเป็นเรื่องเป็นราวแม้อายุล่วงเข้าสิบแปดปีแล้ว และที่สำคัญ ทั้งนางและตระกูลมิได้มีอำนาจมากจนเกินไป นิสัยใจคอหรือก็อ่อนแอชวนปวดใจ เหมาะแก่การดึงรั้งบารมีขุนนางเรืองอำนาจได้อย่างดีเพคะ” เมื่อฟังจนจบ เนตรมังกรพลันเปล่งประกายเข้มลึก พระสนมเว่ยคนงามจึงได้รับสิทธิ์ปรนนิบัติจนรุ่งสาง... ไม่นานหลังจากนั้นการไว้ทุกข์ให้มารดาครบสามปีจบลงพร้อมกับเทียบเชิญเข้าร่วมฉลองชนะศึกและการประกาศราชโองการสมรสพระราชทานอันเป็นรางวัลแก่ผู้ทำความดีความชอบพลันเกิดขึ้น ไป๋หมิงเยว่ยังไม่อาจตัดใจรักหลี่เฟยเทียนได้ด้วยซ้ำกลับต้องออกมายืนรับพระราชโองการกลางลานงานเลี้ยงหน้าที่ประทับอย่างกะทันหันชนิดไม่ทันตั้งตัวมิได้เตรียมใจ ข้างกายคือบุรุษผู้ได้รับสมรสพระราชทานกับนาง แม่ทัพหนุ่มผู้แข็งกระด้างเย็นชา หยางเจี้ยน... อันที่จริง สมญานามเรื่องเย่อหยิ่งจองหองมองคนด้วยหางตาพิฆาต ยังมีท่าทีเย็นชาท่วงท่ากิริยาสุดแสนจะแข็งกระด้างกอปรกับใบหน้าไร้อารมณ์และนิสัยเข้าถึงยากของหยางเจี้ยน มิได้ทำให้ไป๋หมิงเยว่นึกกังวลเท่ากับการที่เขาคือบุรุษที่สหายของนางแอบพึงใจหมายปอง เหยาฟู่หรง สหายเพียงหนึ่งเดียวของไป๋หมิงเยว่ คุณหนูเหยามักจะร่วมดื่มชาเดินหมากกับไป๋หมิงเยว่เพื่อคลายเหงาและร่ายเป้าหมายอันสูงสุดในชีวิตตนเองให้ไป๋หมิงเยว่ฟังว่า ‘ข้าจะบอกกับท่านแม่ให้ไปเลียบเคียงท่านผู้เฒ่าจวนหยางเรื่องหมั้นหมาย เขาสูงส่งปานนั้น ได้เป็นเพียงอนุของเขาก็ยังดี หวังว่าท่านแม่ทัพหยางผู้นั้นจะไม่รังเกียจข้า’ คำพูดจาคล้ายฝันเฟื่องเช่นนั้นถูกโพล่งออกมาได้แค่เพียงไม่นาน สมรสพระราชทานกลับถูกประกาศตัดหน้า ราชโองการโอรสสวรรค์ไม่อาจขัด มิเช่นนั้นย่อมต้องพาคนทั้งตระกูลตายตกถึงเก้าชั่วโคตร เรื่องนี้มีเพียงต้องทำใจเท่านั้น ไป๋หมิงเยว่จึงทำอะไรมิได้นอกจากก้มหน้าร่ำไห้ยอมรับชะตากรรม โดยไม่รู้ตัวเลยว่าสหายรักอย่างเหยาฟู่หรงไม่คิดยินยอมสักเสี้ยว ในขณะเดียวกัน ไป๋ลี่ถิงยังรู้สึกเสมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมเลยสักนิด นางต้องชอกช้ำเพราะหลี่เฟยเทียนยังมีใจรักในตัวไป๋หมิงเยว่มากล้นไม่พอ พี่สาวผู้ไม่มีอะไรดีเลยของนางผู้นี้ยังได้สมรสพระราชทานกับแม่ทัพผู้หล่อเหลาและเกรียงไกร ได้ยกฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกแห่งจวนหยาง ดูเถิด ช่วงนี้บิดามารดายังเอาใจใส่พี่สาวมากขึ้นด้วย พากันเชิดหน้าชูคอกันเหลือเกิน นางไม่ยอม... และใช่... ไป๋หมิงเยว่สิ้นใจเพราะน้องสาวตัวดีจอมริษยาอย่างไป๋ลี่ถิงและสหายตัวร้ายจอมหึงหวงอย่างเหยาฟู่หรง สองคนนั้นแอบร่วมมือกันลอบสังหารชีวิตน้อยๆ สุดแสนจะอาภัพของไป๋หมิงเยว่ เพียงเพราะโกรธเคืองเรื่องบุรุษที่มิใช่ของตน! เหตุผลแสนอัปยศชวนคลื่นเ**ยนเยี่ยงนี้มีมาช้านาน ทว่าไป๋หมิงเยว่ไหนเลยจะหลบเลี่ยงหรือต่อกรได้ แรกเริ่มนางเพียงกินข้าวดื่มชาตามปกติโดยมิรู้เลยว่าไป๋ลี่ถิงแอบสั่งให้คนผสมสิ่งใดลงไป การระแวดระวังภัยแน่นอนว่ามีบ้างตามประสา ทว่าสาวใช้อีกคนที่ดูแลในเรือนถูกลอบซื้อตัวไปด้วยอำนาจที่มากกว่าเรียบร้อยแล้ว จะอย่างไรก็ทำชั่วแนบเนียน กระทั่งผู้ใดก็มิอาจล่วงรู้หรือระแคะระคาย คุณหนูใหญ่แห่งจวนไป๋จึงกินข้าวดื่มน้ำแกงจิบน้ำชาที่ทำร้ายร่างกายให้ค่อยๆ อ่อนแอและเจ็บป่วยบ่อยกว่าเดิม ไป๋ลี่ถิงทำให้ไป๋หมิงเยว่ป่วย กระทั่งจำต้องเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน เพียงเพื่อมิให้พี่สาวออกมาพบหน้าหลี่เฟยเทียน ทั้งที่พวกเขาไร้วาสนาต่อกันไปแล้วด้วยสมรสพระราชทาน ในห้องหับมืดอับ ไป๋หมิงเยว่ผู้เปราะบางทำได้แค่นอนมองดวงจันทร์ผ่านหน้าต่างยามราตรี มองดวงตะวันผ่านแสงของมันยามทิวา ชีวิตแต่ละวันผ่านไปอย่างไร้ค่า และอาจป่วยตายเงียบๆ อยู่ในจวนแห่งนี้ได้ทุกเวลา จากนั้นยังได้รับชาหอมชั้นดีที่เหยาฟู่หรงนำมาฝาก พร้อมคำบอกกล่าวอย่างมาดมั่นว่าจะตัดใจจากแม่ทัพหยาง ขอให้สหายรักไป๋หมิงเยว่มีชีวิตแต่งงานที่ดี นางจะอยู่ตรงนี้คอยเป็นกำลังใจให้สหายตลอดไป ไป๋หมิงเยว่ดื่มน้ำชานั้นอย่างตื้นตัน โดยไม่รู้อีกเช่นกันว่าในชามีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มีพิษอ่อนทำให้เจ็บป่วยไม่ต้องหายดีตลอดไป เหยาฟู่หรงหมายมาดให้งานมงคลล่มไม่เป็นท่า           ทว่านางมิอาจทราบว่าดอกไม้ที่มีพิษอ่อนจักกลับกลายเป็นพิษร้ายเสียได้ มันบังเอิญทำฤทธิ์กับยาต้มซึ่งคนในเรือนแอบผสมในน้ำแกงให้ไป๋หมิงเยว่กินอยู่ทุกวัน สองสิ่งเลวร้ายผสานกันลงตัวโดยมิได้นัดหมาย กระทั่งเกินที่ใครจะคาดคิด ไป๋หมิงเยว่ที่กำลังย่ำแย่กับเรื่องที่กำลังเผชิญแทบขาดใจอยู่แล้วเมื่อเจอยาที่ผสานกันเข้าไป ผลที่ได้กลับกลายเป็นตัวเร่งให้คนตรอมตรมเกิดภาวะตรอมใจจนตาย หัวใจของไป๋หมิงเยว่หยุดเต้นฉับพลันยามหลับสนิทในกลางดึกคืนหนึ่ง...
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม