ภายในห้องหนังสือของหยางเจี้ยนยังคงกลิ่นอายเคร่งขรึมเย็นชา มิได้แผ่ซ่านกลิ่นอายความมงคลอันใดออกมาสักครึ่งเสี้ยว แม้ว่าจะได้รับข่าวอันเป็นมงคลเรื่องการรับอนุคนงามเข้ามารออยู่เรือนหลังแล้วก็ตาม
บนโต๊ะตัวใหญ่ กระดาษถูกขึงจนตึง ภาพสตรีชุดดำปิดบังใบหน้ากว่าครึ่งด้วยหน้ากากเผยเพียงดวงตาโฉบเฉี่ยวฉายแววคมกล้าเยี่ยงบุรุษปรากฏอยู่บนกระดาษนั้น
ในภาพ นางกำลังยืนตระหง่านอยู่บนเชิงเนิน
นิ้วเรียวยาวของหยางเจี้ยนค่อยๆ ไล้ผ่านภาพวาดของนาง ตั้งแต่ดวงตาจนไปถึงดาบดวงเดือนที่นางถืออยู่
วันนั้นในครรลองสายตาของเขา ภาพของนางปรากฏเบื้องหน้ายามทิวา ตะวันแผดแสงแรงกล้าปานนั้น ทว่าในภาพวาดนี้ เขาบรรจงวาดขึ้นมาโดยมีฉากหลังเป็นจันทร์กระจ่างกลมโต ซึ่งกำลังลอยเด่นแขวนอยู่บนม่านนภาในรัตติกาลมืดดำ
แม้มองแล้วให้รู้สึกเย็นเยียบอย่างประหลาด หากแต่มีเขาเท่านั้นที่รู้สึกได้ว่างดงามเพียงใด
นางดูเร่าร้อนบนความเยือกเย็นชวนพิศวง ช่างทำให้คนอย่างเขาเกิดความรู้สึกหลงใหลรุมเร้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้จักนามของนางด้วยซ้ำ จำได้เพียงสมญานามเงาดาบจันทราเจ้าของฝีมือฉกาจอันน่ายกย่อง
ชั่วขณะที่นิ้วแกร่งไล้วนขึ้นมาที่ดวงตาดุดันทรงเสน่ห์ของนางในภาพวาดอีกครา ภาพดวงตาเรียวยาวดำขลับแฝงความลึกล้ำของสตรีอีกนางพลันซ้อนทับเข้ามา
หยางเจี้ยนกำลังเห็นภาพของภรรยาพระราชทานในท่วงท่าแนบชิด เป็นภาพขณะตระกองกอดร่วมรักแนบสนิท
ค่ำคืนแห่งการเข้าหอ เขาและนางจ้องตากันโดยไม่มีสิ่งใดกางกั้น แนบชิดสนิทสนมปานนั้น
นางซึ่งเป็นของเขาแล้วโดยสมบูรณ์
ผิวพรรณขาวเนียนดุจหิมะ ทั้งนุ่มนิ่มอิ่มน้ำ นวลผ่องดุจจันทร์เดือนสารท เปล่งประกายผุดผาดยิ่งกว่าดอกท้อ เรียวขายาวเสลากระจ่างใสเนียนละมุนดุจแพรไหมของนาง
แค่เพียงคิดขึ้นมาก็ทำเอาแม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกร้อนรุ่มอย่างประหลาด
ทักษะการสร้างความสัมพันธ์บางอย่างทำให้คนอยากทำแล้วอยากทำอีกไม่สิ้นสุดโดยแท้
เมื่อบุรุษฉุกคิดถึงสตรีร่วมผูกผม ภาพวาดตรงหน้าพลันถูกม้วนแล้วเก็บเข้าลิ้นชัก จากนั้นยังใส่กุญแจปิดสนิท พยายามไม่คิดถึงสตรีบนหุบเขากลางทะเลผู้นั้นอีก
มโนธรรมในใจทำให้หยางเจี้ยนระลึกได้ว่าตนแต่งงานมีฮูหยินแล้ว สตรีที่พึงใจตายไปแล้วด้วยน้ำมือเขา
หรือต่อให้นางไม่ตาย เส้นทางชีวิตอันผิดกฎเกณฑ์ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองของนาง จะอย่างไรก็ไม่มีทางเชื่อมวาสนาเกิดความสัมพันธ์บรรจบกับเส้นทางชีวิตของเขาได้
คงมีเพียงต้องรอชาติหน้าเท่านั้น!
ชั่วจังหวะรู้ดีชั่ว หยางเจี้ยนพลันคิดถึงไป๋หมิงเยว่ขณะถีบเขาตกเตียง
เรือนร่างสูงใหญ่สง่างามกลิ้งลงกระแทกพื้นห้องประหนึ่งภูผาคว่ำในสภาพไร้อาภรณ์หุ้มกาย!
ท่าทางที่พยายามปีนป่ายลุกขึ้นมายามนั้น ไม่ว่าจะคิดอีกกี่ตลบก็พบว่าช่างน่าเวทนาและน่าขบขันยิ่ง
เท้าเล็กน่ารักอมชมพูดูสุขภาพดีทั้งนวลนุ่มเปล่งปลั่งราวไข่มุกน้ำงามตรงหน้าในระยะสายตากลายเป็นอาวุธทำลายขวัญชายชาติทหารยิ่งกว่าเจอมือสังหารเสียอีก
หยางเจี้ยนคิดขึ้นมาคราใดก็ให้รู้สึกโกรธมากจริงๆ
ดูเถิด! นางรังเกียจเขาถึงเพียงนี้!
หยางเจี้ยนคิดขึ้นมาคราใดก็ให้รู้สึกโกรธมากจริงๆ
ห้องหอวันนั้นเดิมทีเป็นห้องนอนของหยางเจี้ยน เรือนที่ภรรยาพำนักอยู่ทุกวันนี้ก็เป็นเรือนหลักของเขา
การที่ชายหนุ่มเลือกนอนในห้องหนังสือทุกคืนเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะไป๋หมิงเยว่! นางได้สร้างบาดแผลในใจให้เขาอย่างสุดซึ้ง ยิ่งคิดหยางเจี้ยนก็ยิ่งอับอายและโกรธเกรี้ยวผสมปนเปจนหน้าดำคล้ำไปหมด
ความรังเกียจสายหนึ่งพุ่งปะทุเต็มทรวงอกทันที ภรรยาพระราชทานของเขานางนี้ทำอย่างไรก็ชอบไม่ลง!
ครู่หนึ่งเสียงของจิ้นเหอพลันดังทุ้มต่ำจากนอกห้อง
“ท่านแม่ทัพ สาวใช้เรือนฮูหยินใหญ่นำน้ำแกงบำรุงมาส่งให้ขอรับ”
หยางเจี้ยนรับเสียงเฉยชา “เข้ามา”
ประตูถูกเปิดออก จิ้นเหอรับน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยใหญ่จากสาวใช้มาวางลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปเงียบๆ
หยางเจี้ยนยกน้ำแกงขึ้นดื่มอย่างไม่รู้รสชาติ ไม่นานต่อมาแม้รู้สึกร้อนผ่าวแปลกประหลาดก็มิสนใจ
สองเค่อ[1]ให้หลัง สาวใช้ของเรือนมารดาก็มาอีกครา จิ้นเหอส่งเสียงทุ้มต่ำอีกรอบ “ท่านแม่ทัพ ฤกษ์งามยามดี ได้เวลาเข้าหอแล้วขอรับ”
“อืม...” เสียงตอบรับของหยางเจี้ยนยังคงราบเรียบไร้ระลอกคลื่น ทว่ากายแกร่งกลับรู้สึกวูบวาบไปหมด
ประกายเพลิงรุมเร้าค่อยๆ ถูกจุดขึ้นในแววตา ความร้อนแรงค่อยๆ แผดแสงแรงกล้าออกมาเด่นชัด ท้ายที่สุดไฟอารมณ์ร้อนรุ่มก็ลุกท่วมร่าง
ย่อมเป็นน้ำแกงที่ถูกส่งมาจากเรือนมารดา
แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าผู้อาวุโสในจวนกำลังต้องการสิ่งใด เขาจึงลุกขึ้นออกจากห้องหนังสือ ตรงไปที่เรือนอนุคนงาม เพื่อทำตามปรารถนาของทุกคนในสกุลหยาง ความคาดหวังจากพวกเขา หยางเจี้ยนพร้อมแบกรับไว้อย่างไม่อิดออด
ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์สุกสกาว ดวงดาวพราวระยับ แสงสีนวลสบายตาสาดแสงทอดยาวลงมาส่องกระทบเรือนร่างสูงส่งของแม่ทัพบูรพา แลดูสง่างามหาใดเทียม
หยางเจี้ยนเดินอย่างสุขุมเยือกเย็นมาตามทางเดินกรวดขาวและแผ่นศิลา ทว่าภายในใจกลับกระตือรือร้นมาก
อาจเป็นปกติตามประสาของบุรุษวัยหนุ่มแน่นที่มีเลือดลมร้อนรุ่มเป็นทุนเดิม หรือเพราะฤทธิ์ยาในน้ำแกงที่ทำให้เพลิงอารมณ์ปะทุเดือดพล่านก็สุดรู้ ยามนี้ชายหนุ่มจึงก้าวเท้าหนักแน่นมั่นคง เดินตรงไปอย่างไม่มีลังเล
จิ้นเหอคนสนิทที่เดินตามหลังเริ่มรู้สึกไม่ว่าถูกต้อง
“ท่านแม่ทัพ!”
“หืม...”
“เอ่อ...ท่านเดินมาผิดทางแล้วขอรับ”
“...!?”
เพราะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน หยางเจี้ยนจึงต้องเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมอง แล้วเขาก็เห็นเรือนสุดปลายทาง
เรือนนั้นยังคงมีแสงเทียนเล็ดลอดออกมาริบหรี่ ทว่าชั่วครู่ก็ดับมืดลงเฉกเช่นทุกวัน เป็นเรือนที่ยังคงไม่เคยจุดโคมแดงรอเขา
นางไม่เคยใส่ใจว่าเขาจะกลับเรือนหรือไม่?
น้ำแกงสักถ้วยก็ไม่เคยส่งไปให้ที่ห้องหนังสือ!
เป็นภรรยาประสาอันใด?
แววเกลียดชังสายหนึ่งวาบผ่านม่านตาไปอย่างลึกล้ำ หยางเจี้ยนสะบัดแขนเสื้อเสียงดังพรึบ เดินเลี้ยวไปอีกทางอย่างหงุดหงิดอารมณ์เสีย ซักพักร่างสูงก็ค่อยๆ ห่างจากเรือนของภรรยาเอกอย่างหมิงเยว่ไปไกล
ใช้เวลาแค่ไม่นาน เบื้องหน้าในระยะสายตาเย็นชาของแม่ทัพหนุ่มจึงปรากฏเรือนเล็กท่ามกลางสวนพฤกษา มีการประดับประดาโคมแดงงามตา บ่งบอกได้ว่าสตรีด้านในยินยอมพร้อมปรนนิบัติเพียงใด
---[1] หนึ่งเค่อประมาณ 15 นาที