กลิ่นอายรัก 8
ล่องแก่งสนุกมาก ฉันกรี๊ดและหัวเราะอย่างปลดปล่อยเลยก็ว่าได้ แต่พอลงจากเรือยางและถอดหมวกก็แทบจะร้องตกใจเมื่อพี่ ๆ กรูเข้ามาดูฉันด้วยใบหน้าตื่นตระหนก ทีแรกยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกระทั่งจิ้มบอกว่าบนหน้าผากฉันมีรอยแผลขีดยาว ๆ และมีเลือดซึมออกมา ไหนจะต้นแขนที่มีรอยหนามเกี่ยว เยี่ยมเลยมาทริปวันแรกได้แผลมาทั่วทั้งตัวแล้ว จะเกินไปแล้วนะผิงกั่ว!
“งั้นก็ไปอาบน้ำจะได้ทำแผล ตอนเย็นกินหมูกระทะนะ”
“ได้ค่ะพี่ เจอกันตอนเย็นเลยนะ” โบกมือลาพี่ ๆ หลังจากที่เล่นน้ำต่อจนเสร็จแล้ว แผลที่ต้นแขนยังมีเลือดซึมอยู่แต่ฉันก็ยังเล่นน้ำไม่ได้รีบกลับ กระทั่งเดินมาถึงหน้าห้องพักและเพื่อนก็เดินนำเข้าไปก่อนแล้วรวมถึงพี่ดา
“หิวไหม...ผิง!”
“คะ!?” ฉันสะดุ้งตกใจเมื่อจู่ ๆ ก็มีคนเรียกชื่อเสียงดัง หันกลับไปมองด้านหลังก็เจอเข้ากับเจ้านายที่ไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่ตอนไหน ฉันเองก็ไม่ได้สนใจเพราะเอาแต่ก้มหน้าส่งรูปให้แม่ดูในไลน์
“ทำไมแผลเต็มตัวแบบนี้” เสี้ยววินาทีเจ้านายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าพร้อมกับมองสำรวจดวงตาคมนั้นจ้องมองตามเรือนร่างด้วยความหงุดหงิด อะไรของเขาอีก ฉันไปทำอะไรให้เขาหงุดหงิดอีกหรืออย่างไรกัน
“ไปอาบน้ำ” เอ่ยสั้น ๆ พร้อมกับดึงมือฉันไปยังห้องพักหลังข้าง ๆ
“เดี๋ยวค่ะ เดี๋ยวก่อน ห้องพักฉันอยู่ห้องนั้นนะคะ ปล่อยก่อนเจ็บ” มือข้างที่ถูกกุมด้วยฝ่ามือหนาเริ่มเจ็บ จึงออกแรงดึงอย่างเต็มแรงหวังจะหลุดจากพันธนาการนั้น แต่ทุกอย่างก็ยังนิ่งเพราะฉันไม่สามารถหลุดออกจากการเกาะกุมนั้นได้เลย
“เข้าไปอาบน้ำ”
“แต่...”
“แผลเต็มตัวขนาดนี้แล้วยังจะดื้อเหรอ? มันน่าเบื่อนะที่ต้องมาตามดูแลแบบนี้” อีกแล้วพูดแบบนี้อีกแล้ว คนพูดอย่างเขาคงไม่ได้จดจำอะไรหรอก แต่คนที่ฟังอย่างฉันนี่ไงที่จดจำทุกคำพูดของเขา
“ถ้าเบื่อก็บอกไปแล้วไงคะว่าอย่ามายุ่ง ต่างคนต่างอยู่ไปสิ”
“ไม่ใช่แบบนั้น ผิง...” ฉันเดินเลี่ยงเขาตั้งใจจะออกจากห้องพักแห่งนี้แต่ก็เหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นใจเพราะมือถูกดึงไว้แล้วรั้งให้เดินเข้าไปยังห้องน้ำทันที
“อาบน้ำซะ จะได้ทำแผล” เสียงที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดยิ่งทำให้ฉันไม่อยากอยู่ใกล้เขา ปากว่าร้ายแต่ทำไมถึงได้เข้าใกล้ฉันแบบนี้ต่างคนต่างอยู่ไปเลยไม่ได้หรือยังไงกัน
“อาบเสร็จแล้วก็ออกมาเอาเสื้อผ้า คุณรินรดาเอากระเป๋ามาให้แล้ว”
“ไม่อยากอยู่ที่นี่!” ฉันตะโกนกลับไปอย่างดื้อรั้น อาการร้อนไปทั้งตัวบวกกับปวดศีรษะทำให้ฉันอยากจะร้องไห้งอแงเสียตรงนี้ให้ได้
“แล้วจะไปอยู่ไหน นอนห้องนี้นี่แหละ”
“ไม่นอน จะไปนอนกับเพื่อน” ไม่ยอมอย่างเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา เมื่อบอกไปแบบนั้นนอกห้องน้ำก็เงียบฉันจึงรีบอาบน้ำและตั้งใจจะเอาเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนเพื่อที่จะได้รีบกลับห้องพักตัวเอง แต่ใครจะไปคิดว่าแค่เปิดประตูห้องน้ำออกมา ภายในห้องนอนจะมียังคนตัวสูงนั่งจ้องมาทางฉันอยู่ด้วยใบหน้าดุ ๆ
“รีบแต่งตัวจะได้ทำแผล”
“...”
“อย่าให้ต้องดุไปมากกว่านี้ รีบไปแต่งตัว”
เสื้อยืดกางเกงขาสั้นเป็นชุดที่ฉันเลือกสวมในตอนนี้ เมื่อออกจากห้องน้ำก็ถูกดึงมือไปให้นั่งที่ปลายเตียงส่วนใครอีกคนก็ช่วยทายาทำแผลให้ทั้งที่ขา ต้นแขนและใบหน้า แต่ระหว่างเราไม่มีใครเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักประโยค เมื่อทำแผลเสร็จฉันก็ขยับออกห่างจากเขาแทบจะทันที
“นอนพักผ่อน เหนื่อยมาทั้งวันแล้วกว่าจะถึงเวลามื้อเย็น” เท้าที่กำลังจะเดินออกจากห้องก็ชะงักไป แต่สุดท้ายฉันก็เดินออกจากห้องอยู่ดีและเลือกที่จะกลับมาที่ห้องพักของตัวเองที่มาครั้งแรก พี่ดาหลับอยู่บนเตียงส่วนจิ้มคล้ายกับเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“อ้าวทำไมได้กลับมาล่ะ เจ้านายเอากระเป๋าไปให้แล้วนี่...” จิ้มถามด้วยความสงสัย
“จิ้ม...” เอ่ยเรียกเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวเสียงสั่น
“ผิงกั่ว อย่าร้องไห้ ใจเย็น ๆ ฉันไม่บังคับพี่ ๆ เองก็เหมือนกัน เรารู้แต่เพราะเข้าใจว่าแกมีเหตุผลเลยไม่บังคับให้เล่า รอแกพร้อมค่อยเล่าก็ได้”
“...”
“ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องคิดมาก”
“มันมีเหตุผล เราอยากปฏิเสธแต่เงื่อนไขมันเป็นสิ่งที่เราทำด้วยตัวเองไม่ได้” ฉันพยายามอธิบายให้เพื่อนฟัง
“ฉันเข้าใจ เอาไว้ใจเย็น ๆ เราค่อยมาคุยกันดีไหม วันนี้คงตกใจมากเลยใช่ไหมที่รู้ว่าพี่ ๆ ที่แผนกรู้หมดแล้ว” จิ้มถามพร้อมกับยื่นน้ำมาให้หนึ่งขวด
“อื้อ ตกใจมากเลย ขอโทษที่ไม่ได้บอก ไม่อยากให้แกเป็นห่วงอีกอย่างไม่นานคงจะต้องหย่าแล้ว”
“ทำไมล่ะ ดูเหมือนเจ้านายจะไม่ใช่อย่างนั้นนะ” จิ้มมองอย่างสงสัย
“มันแค่สิ่งที่แสดงออกมา ความจริงเขาเกลียดฉันจะตายจิ้ม สิ่งที่เขาพูดกับฉันแต่ละคำฉันจำได้ไม่เคยลืมเลย”
“แกไหวไหม? ตอนนี้โอเคหรือเปล่า” จิ้มนั่งลงฝั่งตรงข้ามพร้อมกับสายตาห่วงใยที่ถูกส่งมา
“ไหว แค่เลี่ยงที่จะเจอที่จะคุยไม่ว่าจะตอนไหนแค่นี้ก็อยู่ได้แล้ว”
“อื้อ ถ้าอยากให้ช่วยอะไรบอกมาได้เลยนะรู้ไหม เอาละนอนพักกันหน่อยไหมกว่าจะถึงเวลานัด” จิ้มชวนพัก ฉันพยักหน้าก่อนจะล้มตัวลงบนที่เตียงนอนของตัวเองที่จองไว้ตั้งแต่มาถึง เรานัดกันไว้ตอนหนึ่งทุ่มตรงตอนนี้เพิ่งห้าโมงครึ่งเอง นอนพักหน่อยก็ดีคิดว่าเย็นนี้คงจะต้องอยู่จนถึงดึกแน่ ๆ เลยล่ะ
เกือบหนึ่งทุ่มตรง ฉันถูกปลุกให้ตื่นก่อนจะถูกจิ้มและพี่ดาควงแขนเดินออกจากห้องพักเพื่อไปกินข้าวเย็นที่บริเวณหน้าห้องพักของพี่เพชรและคนอื่น ๆ ที่มีโต๊ะตั้งอยู่หน้าห้องรวมถึงชุดย่างหมูกระทะและเมนูอาหารอีกหลากหลายเมนูที่สั่งมาจากทางที่พัก
“ทำไมตัวร้อน ๆ” จิ้มหันมามองหน้าฉันพร้อมกับเบิกตาตกใจ
“ปวดหัวนิดหน่อย” ตอบเพื่อนระหว่างนี้ก็นั่งลงที่เก้าอี้ที่ว่างมุมโต๊ะ ที่เลือกมุมนี้เพราะมีเก้าอี้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ที่หัวโต๊ะอีกทาง ฉันจึงเดินเลี่ยงมานั่งมุมนี้เพื่อที่จะได้อยู่ไกล ๆ จากคนนั่งหัวโต๊ะ
“ต้องกินยาดักไว้เลยนะ แกจะมีไข้แน่ ๆ ผิง”
“อื้อ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จจะกินยาดักไว้เลย” บอกเพื่อนหวังให้คลายความกังวลลงบ้าง ฉันเองก็ไม่อยากจะป่วยหรอกนะ เพราะป่วยทีไรฉันจะงอแงไม่ว่ากับใครก็จะอ้อนก็จะงอแงใส่ทั้งนั้นกลัวว่าจะทำให้พี่ ๆ รู้สึกรำคาญน่ะสิ
“ฝนจะตกหรือเปล่าทำไมท้องฟ้ามันมืดแปลก ๆ” พี่เพชรที่นั่งคนละมุม เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงพูดคุยของทุกคนที่ดูเหมือนจะมีเรื่องพูดคุยกันเยอะเหลือเกิน
“ไอ้ผิงดื่มหน่อยไหม?” พี่ดาวตะโกนมาถาม
“วันนี้ขอผ่านค่ะพี่ เหมือนจะไม่สบายเลย”
“โอเค งั้นกินน้ำใบเตยแทนแล้วกันนะ”
“ค่ะพี่ดาว” ขานตอบมือก็จับตะเกียบพลิกหมูบนเตาตรงหน้า ฉันชวนจิ้มคุยเล่นกันไปเรื่อยกระทั่งพี่กรรณยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมาวางหัวโต๊ะที่ว่างข้างฉัน เริ่มมองหน้าเพื่อนเลิกลักไปหมด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเมื่อเห็นคนตัวสูงเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ อุตส่าห์ย้ายมานั่งฝั่งนี้แล้วนะนี่เขายังจะตามฉันมาอีกเหรอ แต่จะว่าไปคงไม่ใช่หรอก เขาไม่ได้ตามฉันมา อาจจะเป็นเพราะที่เดิมอยู่ใต้ลมเวลาลมพัดไอร้อนจากเตาพัดไปโดนเขาทำให้เขาต้องย้ายมานั่งตรงนี้ ใช่แน่ ๆ ฉันเชื่อความคิดตัวเองมากดังนั้นก็คงจะเป็นดังที่ฉันคิด
“บอสจะดื่มหน่อยไหมครับ?”
“ครับ เหมือนเดิมเลยก็ได้” สองเจ้านายเลขาคุยกันเสียงเบา ฉันไม่ได้สนใจมากนัก แต่คีบหมูเข้าปากด้วยความหิวโหย วันนี้เล่นเหนื่อยทั้งวันเลยพลังงานจะหมดแล้ว
“เอาข้าวไหม?” จิ้มถาม
“ไม่เอา ๆ จิ้มขอตับหมูด้วย”
“อะ เอาให้ทั้งจานเลย” จิ้มยื่นจานตับหมูมาให้ ฉันรับมาก่อนจะจัดการคีบลงไปย่างบนเตา ระหว่างนี้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดถ่ายรูปและส่งไปให้แม่ได้ดูด้วย ตั้งใจไว้ว่ากินข้าวเสร็จจะแยกออกไปโทรหาแม่ วันนี้ยังไม่ได้คุยกันเลยรู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย
ผิงกั่วน้อยของแม่ :: Sent Photo
ผิงกั่วน้อยของแม่ :: หนูกำลังกินมื้อเย็น แม่กินข้าวหรือยังคะ
แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: Sent a voice
(แม่กินแล้ว กินแกงพะแนงหมูที่หนูชอบด้วยนะ)
ผิงกั่วน้อยของแม่ :: พรุ่งนี้ทำให้กินได้ไหมคะ จะกลับถึงบ่ายๆ
แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: Sent a voice
(เดี๋ยวแม่ทำให้นะ เที่ยวให้สนุกไม่ต้องห่วงแม่)
แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: Sent a voice
(คนของกานดามาดูแลแม่ดีมากๆ เลย)
ผิงกั่วน้อยของแม่ :: จะรีบกลับบ้านนะคะ กินยาแล้วอย่าดื้อกับพี่ที่มาดูแลนะคะ รักแม่นะ
แม่แม่ของแอปเปิลน้อย :: รักหนูนะผิงกั่ว แอปเปิลน้อยของแม่
“ฟ้าร้องหรือเปล่า?” จู่ ๆ เราทั้งโต๊ะก็เงียบฟังเสียงพร้อมกัน แล้วก็จริงดังที่พี่ตองทักเมื่อเราเห็นแสงแวบ ๆ ที่ท้องฟ้า เป็นคำตอบให้กับทุกคนได้อย่างดี นับว่าดีมาก ๆ ที่ระเบียงหน้าห้องที่เรานั่งอยู่ตรงนี้มีหลังคาไม่อย่างนั้นเราคงต้องรีบกินรีบแยกย้ายกันแน่เลยเพราะไม่รู้ว่าฝนจะตกลงมาตอนไหน
“ลมมาแล้ว ดีนะมีหลังคาตรงนี้” ฉันได้แต่นั่งฟังพี่ ๆ คุยกันไม่ได้ร่วมวงสนทนาแต่ก็ไม่ได้เงียบจนทำให้พี่ ๆ รู้สึกไม่ดี มีบ้างที่ถามตอบแต่ส่วนมากฉันจะกินมากกว่า
“หมึกกรอบเพิ่มไหม สั่งมาไว้เลยเดี๋ยวฝนตกพนักงานจะเอามาส่งลำบาก” พี่เพชรบอก จากนั้นเราก็สั่งของมาไว้ก่อนที่ฝนจะเทกระหน่ำลงมา จุดที่ฉันนั่งโดนละอองฝนเล็กน้อยแต่เพราะยังสนุกเลยไม่คิดจะย้ายที่นั่งและกินอาหารบนโต๊ะต่อ
“หนาวไหม?” เจ้านายเอ่ยถามมือก็ยื่นมาแตะที่แก้มฉันเบา ๆ แต่เพราะความตกใจทำให้รีบผละออกห่างมองอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ
“ตัวร้อน?” ฉันมองเขาอย่างไม่เข้าใจและไม่รู้จริง ๆ ว่าตอนนี้เขาคิดจะทำอะไร จะดีหรือจะร้ายฉันไม่เข้าใจจริง ๆ
“กินข้าวเสร็จก็กลับห้องจะได้กินยาแล้วนอนพัก” ฉันไม่ตอบได้แต่มองเขานิ่ง ๆ เครื่องดื่มสีเข้มแก้วแล้วแก้วเล่าที่อีกฝ่ายยกขึ้นดื่มและหมดไป พี่กรรณก็ขยันชงให้เจ้านายเหลือเกิน
“ขากลับแวะเที่ยวกันหน่อยไหม? มีคาเฟ่น่ารัก ๆ อยู่เยอะเลย” พี่ท้อชวน
“หนูไปด้วย อยากกินเค้ก” ฉันยกมือบอกพี่ ๆ แสดงความจำนงของตัวเอง
“ได้เลย เดี๋ยวหาร้านไว้สักสองร้านแล้วกัน”
“ฝากด้วยนะคะ” เอ่ยบอกพี่ท้อพร้อมกับรอยยิ้มขอบคุณ
“ผิง เพื่อนจะแต่งงานกันหมดแล้วนะเมื่อไหร่ฉันจะได้แต่ง” จิ้มเอารูปในโซเชียลให้ฉันดูเป็นรูปในงานแต่งของเพื่อนร่วมคณะ
“ให้โทรหาเลยไหม คนนั้นน่ะ”
“บ้าบอ พอเถอะตีกันตายก่อนพอดี” จิ้มส่ายหน้าเอือม ๆ ฉันหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้าดูโทรศัพท์ตัวเองที่มีแจ้งเตือนเข้ามา เป็นรูปที่พี่เพชรอัพลงโซเชียลแล้วแท็กฉันมา แต่ยังไม่ดูตอนนี้หรอก ขอฉันกินให้อิ่มก่อนแล้วค่อยนั่งเล่นยาว ๆ ดีกว่า เกือบสามทุ่มใครที่ดื่มอยู่ยังคงนั่งคุยกันต่อส่วนใครที่อิ่มแล้วง่วงก็ขอตัวไปนอนพักแล้วแต่สะดวก ฉันพอกินอิ่มแล้วก็อยากจะนอนพักแล้วเหมือนกัน แต่ระหว่างที่กำลังจะเดินกลับเข้าห้องพักตัวเองก็มีแรงกระชากที่มือจนต้องหยุดเดินแล้วหันกลับไปมอง
“กลับห้อง เอาของไปให้หมดแล้ว”
“ไม่เหมาะหรอกค่ะเจ้านาย”
“เฮ้อ หยุดดื้อก่อนรีบกลับห้องจะได้กินยาแล้วนอนพักตัวร้อนมาเลยรู้ตัวบ้างไหม?” เจ้านายเอ่ยดุเสียงเข้ม พร้อมกับดึงมือให้เดินตามเขาไปที่ห้องพักของเขา แต่พอฉันไม่ยอมเดินและฝืนร่างกายตัวเองไว้ก็ต้องร้องหวีดตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“กรี๊ด!”
“ผิงกั่วกลับไปพักได้แล้ว”
เจ้านายอุ้มฉันแล้วรีบพาเดินกลับห้อง ท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา เปียกอีกแล้วสินะ เมื่อกลับเข้ามาถึงห้องพักเขาก็รีบบอกให้ไปเปลี่ยนชุด ด้านนอกเจอฝนกลับเข้าห้องก็เจอกับแอร์เย็น ๆ ทำให้ฉันถึงกับตาพร่ามัว ทรุดนั่งที่พื้นเพื่อดึงสติตัวเองให้กลับมา
“ผิง! เป็นอะไร”
“เวียนหัวนิดหน่อยค่ะ ไม่เป็นอะไรแล้ว” ฉันตอบเสียงสั่น พยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนและเดินเข้าห้องน้ำ เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นอีกตัวจากนั้นก็เดินออกมา แต่แล้วสิ่งที่กังวลก็ก่อขึ้นมาภายในใจ คืนนี้ฉันจะต้องนอนส่วนไหนของห้อง
“กินยาจะได้นอนพัก” เม็ดยาสีขาวสองเม็ดถูกยื่นมาให้ เพราะอาการที่เป็นอยู่ตอนนี้ทำให้ฉันรับยามาอย่างง่ายกระทั่งกินยาเสร็จก็ถูกดึงมือให้ไปนั่งที่ขอบเตียง
“ยังปวดแผลอยู่ไหม?” เจ้านายถาม ฉันส่ายหน้า
“วันนี้ซนมากเลยรู้ตัวไหม ได้แผลมาเยอะจนตกใจ” ฉันไม่ตอบขยับขึ้นเตียงนอนรั้งชายผ้าห่มขึ้นคลุมร่างตัวเองเป็นการบ่งบอกว่าจะนอนแล้วไม่อยากฟังคำดุจากเขาแล้ว
“เฮ้อ นอนพักได้แล้วพรุ่งนี้จะได้กลับบ้านกัน”
อากาศเย็นสบายบวกกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาทำให้ฉันหลับสนิทมากกว่าทุกครั้ง ไหนจะไม่ต้องตื่นเช้าเพื่อทำงานบ้านหรือทำกับข้าวนี่นับว่าเป็นอีกวันที่ฉันพูดได้เต็มปากว่าได้นอนพักอย่างเต็มอิ่มจริง ๆ
กระทั่งตอนเช้าฝนก็ยังไม่หยุดตก ฉันเริ่มลืมตาตื่นและขยับตัวอย่างสบายใจแต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อมีท่อนแขนโอบรอบเอวฉันไว้แน่น เวลาขยับวงแขนนั้นก็กระชับแน่นขึ้น
“อืม นอนก่อน” เจ้าของท่อนแขนเอ่ยบอกเสียงทุ้มติดจะอย่างหงุดหงิดเมื่อฉันพยายามยกท่อนแขนนั้นออกห่างจากตัวเอง
“ผิงกั่วนอนพักก่อน”
“เจ้านายปล่อยก่อนเถอะ...”
“เลิกเรียกแบบนี้สักทีผิง มันน่ารำคาญ”
“...” ใช่สิ ฉันพูดอะไรเขาก็รำคาญไปหมดเสียทุกอย่างนั่นแหละ!!
“เอ่อ บอสครับมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ผมก็ไม่รู้เมื่อเช้าตอนตื่นก็เป็นแบบนี้แล้ว”
“ทำอะไรให้โกรธอีกแล้วสินะคะบอสน่ะ”
“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย มีงัวเงียเมื่อเช้าตอนที่เขาดื้อจะลงจากเตียง”
“...”
“หรือผมจะเผลอพูดอะไรออกมาหรือเปล่า”
เอาเลยค่ะพูดกันเลยคิดเสียว่าฉันไม่ได้อยู่บนรถกับพวกเขาก็แล้วกัน ตอนนี้เรากำลังเดินทางกลับบ้านกันแล้วหลังจากที่แวะกินมื้อเที่ยงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เป็นทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ ฉันก็ซื้อชาเย็นปั่นมาหนึ่งแก้วดูดกินเรื่อย ๆ ไม่สนใจเจ้านายกับลูกน้องอีกสามคนในรถ แม้จะรู้สึกปวดหัวและปวดตาแต่ก็ไม่ยอมเอ่ยบอกใครทำเพียงแค่ขอยาลดไข้จากจิ้มมากินหลังจากที่กินข้าวเสร็จแค่นั้น
“ฮัดชิ่ว!”
“...”
“ฮัดชิ่ว!!” ฮื่อ แสบจมูกไปหมดเลย ฉันรีบค้นหาหน้ากากอนามัยในกระเป๋าสะพายตัวเองขึ้นมาสวมทันที ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะจาม จริง ๆ นะถ้ารู้ฉันคงสวมหน้ากากอนามัยตั้งแต่ต้นแล้วไม่รอจนจามออกมาแบบนี้หรอก ฉันกลัวพี่ ๆ จะติดไข้หวัดจากฉัน
“...” ไอร้อนที่เริ่มแผ่ออกจากร่างทำให้ฉันเริ่มรู้สึกไม่ดี ปวดหัวและปวดตามากจนแทบทนไม่ไหว ฉันปรับเบาะเล็กน้อยและเอนหลังพิงหลับตาลงเบา ๆ
“ตัวร้อนมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” เสียงพึมพำดังขึ้นข้าง ๆ หลังจากที่สัมผัสได้ว่ามีสัมผัสเย็น ๆ แตะลงที่หน้าผาก แต่ฉันไม่มีแม้กระทั่งแรงที่จะลืมตาขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้น
“อืม เจ็บ” ฉันพึมพำเสียงเบาเมื่อมีสัมผัสเย็น ๆ แตะลงที่หน้าผากอีกครั้ง
“ขอโทษนอนพักเถอะ”
“ชอบทำเราเจ็บ ฮึก เจ็บมาก ๆ เลย” ฉันเอ่ยอย่างงอแงน้ำตาไหลผ่านหางตาแม้จะยังหลับตาอยู่
“ขอโทษครับ ไม่ทำแล้ว จะไม่ทำให้เจ็บแล้วนะ” สัมผัสอุ่นแตะลงที่แก้มเบา ๆ ฉันรู้ว่าตอนนี้งอแงมากกว่าปกติก็แน่สิปกติเลี่ยงที่จะคุยที่จะทะเลาะตลอดแต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย อยากจะงอแงและเอาแต่ใจ
“ทำ ทำตลอดเลย ฮึก”
“ผิงกั่วอย่าเพิ่งงอแงเลยนะ นอนพักก่อนนะครับ ถึงบ้านแล้วเราค่อยคุยกันนะครับ”
“...”
“งอแงเหลือเกิน”
“แล้วเรื่องคุณเลิฟ บอสจะทำยังไงครับ”
“ผมยังนึกไม่ออกจริง ๆ เอาไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน”
“...”
“เพราะตอนนี้ผมมีเรื่องที่ต้องให้ความสนใจมากกว่าเรื่องอื่น ๆ แล้ว”