ตอนที่ 5
พาแฟนขึ้นดอย 1
ถึงจะตกใจ แต่เขาก็คืนสติได้อย่างรวดเร็ว เก้าอี้มองรุ่นน้องตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มองทะลุนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่ซับซ้อนคู่นั้น แต่กลับมองไม่เห็นถึงอารมณ์พิศวาสเหมือนอย่างที่ผู้หญิงพูดกับผู้ชายที่ตัวเองชอบ
ตัดเรื่องความรักออกไปได้เลย
“เธออยากอำฉันเล่น มันไม่แรงไปหน่อยเหรอ” เป็นแฟนเชียวนะ คนอย่างเก้าอี้ถ้าเป็นแฟนกับผู้หญิงง่ายๆ แล้วจะเอาศักดิ์ศรีที่ไหนมาชูคอเป็นไอดอลให้สาวๆ กรี๊ดกันล่ะ
“ถ้าอย่างนั้นหมี่ก็ไม่ตกลง”
เธอหันหลัง แต่เก้าอี้ก็รีบพุ่งตัวไปดักด้านหน้าพร้อมกับแตะบ่าเธอไว้ไม่ให้ขยับ กลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่หมี่ขาวไม่ค่อยคุ้นลอยมาแตะจมูก อดคิดไม่ได้ว่ากลิ่นนี้ทำให้คนตรงหน้าเซ็กซี่เป็นบ้า
“แค่ถ่ายรูปแล้วติดแฮชแท็กเหรอ” เขาถาม
“ใช่”
“ไม่มีต่อนอกรอบ?”
“ไม่มีนอกรอบ”
“จะแบล็กเมล์ฉันหรือเปล่า” เขาย้ำเสียงเข้ม
คิ้วเรียวขมวดจนแทบจะผูกโบได้ เธอส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ทำอย่างกับตัวเองเป็นดาราดัง แค่ถ่ายรูปแล้วติดแฮชแท็ก แล้วก็อาจจะมีนัดเจอกันอีกสองสามครั้ง” ประโยคสุดท้ายอยู่ในลำคอ
“นั่นไง ไหนว่าแค่ถ่ายรูป”
“ก็เพื่อนหมี่ท้าไว้ว่าให้พาแฟนขึ้นดอยไง มีอย่างที่ไหนขึ้นดอยวันเดียวก็เลิกกัน เพื่อนหมี่คงเชื่อล่ะ” ที่จริงมันไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น
“แต่แบบนี้ฉันเสียหายมากกว่านะ” ใช่...เขาเสียหายมาก นายเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นไอดอลที่สาวๆ ค่อนประเทศอยากเจอตัวเป็นๆ นะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะหน้าเหมือนโจรมากกว่าไอดอลก็เถอะ แต่เมื่อเห็นว่าเธอยังคงตีหน้ายุ่งเหมือนว่าเขาหวงตัวเองเกินเหตุก็คล้ายกับว่าจะหมดความมั่นใจอีกครั้ง “นี่เธอไม่รู้จักฉันเหรอ”
หมี่ขาวสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะค่อยๆ พรั่งพรูมันออกมาอย่างคนที่พยายามสงบสติอารมณ์ เธอตวัดสายตาใส่เก้าอี้ด้วยท่าทางเหมือนแม่ค้าที่เจอลูกค้าเรื่องมาก
“ขอโทษนะคะพี่ หมี่จำเป็นต้องรู้จักพี่ด้วยเหรอ ขนาดวันที่จับพี่เทค หมี่ยังไม่เคยคิดจะไปตามสืบว่าพี่เทคตัวเองเป็นใครเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าพี่ไม่โอเค ก็-ไม่-ต้อง-พูด-มาก-ค่ะ!”
เสี้ยววินาทีนั้นเก้าอี้คิดจะเดินหนีไปซะดื้อๆ แต่พอเห็นสายตาของเพื่อนรักที่มองมาพอดีก็ต้องกลั้นใจหลับตาลงพร้อมกับตอบรับ
“ได้...แต่มีข้อแม้”
“ว่ามาค่ะ”
ไม่คิดว่าหมี่ขาวจะสงบกว่าที่คิด เก้าอี้หยุดคิดอีกเล็กน้อย ช่วงนี้ไม่ต้องไปเสนองานวิจัยต่างประเทศ งานในวงการนอกจากถ่ายแบบเป็นครั้งคราวเขาก็ไม่รับเพิ่มเติมแล้ว ตอนนี้อยู่ปีสี่ นอกจากโปรเจกต์ที่ต้องกลับมาแก้ไขอีกเล็กน้อยก็ไม่น่าจะมีปัญหาอื่น หลังจากสอบกลางภาคเสร็จแล้วคงถึงเวลาที่ต้องเข้าเรียนเต็มเวลาเสียที
“ไปกินข้าวอาทิตย์ละครั้ง รู้แค่เราสองคนว่าฉันจะเลี้ยงข้าวเธอในฐานะพี่เทค อีกเดือนกว่าคงสอบกลางภาคแล้ว ถึงตอนนั้นฉันจะติวให้ก็แล้วกัน ส่วนเธอจะโกหกเพื่อนว่าเป็นแฟนกันก็ไม่มีปัญหา ขอแค่อย่าทำให้เรื่องยุ่งยากกว่านี้ก็พอ”
“ติว?”
ไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือเสียใจที่ผู้หญิงตรงหน้าสนเรื่องติวแทนที่จะเป็นเรื่องที่เขายอมปฏิบัติตัวในฐานะแฟนปลอมๆ ของเธอเพื่อหลอกเพื่อน จุดประสงค์ของเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องการที่เขาต้องตอบแทนเธอด้วยการเป็นแฟนหลอกๆ เหรอ?
หมี่ขาวมีท่าทีลังเล “อันที่จริงพี่ยังไม่ต้องคิดถึงขั้นนั้นก็ได้ค่ะ เป็นแฟนกันแค่วันนี้วันเดียวน่าจะดีกว่า ส่วนเรื่องติวนั้นก็ให้ทำในฐานะพี่เทค ปีนี้เป็นปีแรกที่ต้องเรียนตามสายด้วย ว่าแต่พี่จะติวหมี่ได้เหรอคะ พี่ยังไม่รู้เลยว่าหมี่เลือกสายกำลังหรือสื่อสาร”
เก้าอี้นิ่งไปพักหนึ่ง จะให้บอกได้ยังไงว่าเพิ่งเห็นเธออัปเดตตารางเรียนลงเฟซบุ๊ก
“อ้อ...เดาเอาน่ะ ฉันเรียนสายไฟฟ้าสื่อสาร แต่ก็ลงวิชาของสายไฟฟ้ากำลังบางตัวด้วย เนื้อหาปีสามไม่ยากเท่าไร พอจะสอนได้อยู่”
เขาพูดออกไปด้วยความมั่นใจ
หมี่ขาวยังคงมีความคลางแคลงใจอยู่นิดหน่อย พี่เทคที่หายไปนานโผล่หน้ามาแบบปุบปับ แถมยังมีท่าทีไม่น่าไว้วางใจ ถ้าเขาไม่ใช่คนดังของคณะ เธอคงคิดว่ากำลังจะถูกมิจฉาชีพหลอกอยู่แน่ๆ
ขณะเดียวกันเก้าอี้ก็สังเกตเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของเธอ เขาเองก็เริ่มทำตัวไม่ถูก สุดท้ายจึงได้แต่เงียบเพื่อเรียบเรียงความคิดในการ ‘ตะล่อม’
“ดูเหมือนว่าพี่จะเรียนเก่งมาก” ขนาดไม่เข้าเรียนเลยยังมั่นอกมั่นใจขนาดนี้ ถ้าไม่เก่งไปเลยก็คงไม่แคล้วมีแต่แมงโม้แน่ๆ
เก้าอี้ดูออกว่าอีกฝ่ายคงไม่มั่นใจเท่าไรว่าเขาสามารถติวเธอได้ แต่ความมั่นใจที่มีมาตั้งแต่เกิดแบบนี้มันไม่ใช่บุคลิกที่จะแต่งขึ้นมากันได้ง่ายๆ เสียหน่อย จึงอดหงุดหงิดไม่ได้ที่เหมือนโดนหมี่ขาวดูถูกกลายๆ
“หึ...ก็พอตัวนะ”
“งั้นก็ได้ ไว้เราค่อยคุยเรื่องเรียนทีหลังแล้วกัน ว่าแต่หมี่ต้องเตรียมอะไรให้พี่บ้าง”
“ตอนขึ้นดอยมีน้ำหวานกับน้ำเปล่าแจกอยู่แล้ว เธอแค่เก็บน้ำเปล่าสักขวดคอยวิ่งเอามาให้ตอนพักระหว่างทางก็แล้วกัน อีกอย่างเรียกพี่อี้ก็ได้ ยังไงฉันก็เป็นพี่เทคเธอนะ”
“แต่พี่ยังแทนตัวว่าฉันอยู่เลยนี่”
“ฉันไม่อยาก...ช่างเถอะ ติดปากน่ะ” ไม่อยากบอกหรอกว่าที่เรียกพี่เรียกน้องตอนแรกน่ะเพราะคิดว่าพอเจอหน้าแล้วจะอยากเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกัน แต่พอเจอตัวจริง ยิ่งได้คุยกัน ก็รู้สึกว่าอยากเป็นมากกว่าพี่น้องไปแล้ว
ยัยนี่หน้าตาจืดๆ แต่ก็น่ารักดี ยิ่งตอนหน้าแดงๆ เพราะออกกำลัง เขายิ่งรู้สึกว่าผู้หญิงแบบนี้น่าสนใจขึ้นมานิดหน่อย
แต่พอรู้ถึงความคิดตัวเองเขาก็ต้องสะดุ้งในใจ พยายามปฏิเสธความคิดบางอย่างในใจที่ตอนแรกคิดว่าลืมไปแล้ว สงสัยครึ่งปีหลังมานี้วันๆ มองแต่หน้าเหี่ยวๆ ของอาจารย์ที่ปรึกษาจนเอียน แทบไม่ได้โงหัวออกมามองสาวในรั้วมหา’ลัย ที่ยอมวิ่งถือธงในวันนี้ นอกจากจะติดชาเลนจ์จากเดย์เพื่อนรัก ยังวางแผนดิบดีว่าจะเหล่ผู้หญิงตั้งแต่ตีนดอยยันยอดดอยเลยให้ตายสิ
แค่คิดก็มีแรงวิ่งแล้ว
บางทีความรู้สึกเก่าๆ มันอาจไม่ได้เข้มข้นเหมือนตอนที่ในหัวว่างเปล่า หรือบางทีสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วมันอาจเป็นแค่เรื่องราวที่สมควรจะกลายเป็น...ความทรงจำ
“เวลาจะเรียกพี่อี้ก็เรียกชื่อหมี่แล้วกันค่ะ ส่วนจะฉันจะเธอก็ตามใจ” หมี่ขาวไม่ได้สนใจสีหน้าแววตาของเขาอีกต่อไป เธอกำลังคิดว่าจะทำยังไงให้ไม่เป็นลมกลางทางมากกว่า ยิ่งปีแก่ก็ยิ่งรู้สึกขี้เกียจมากขึ้นเรื่อย ให้ตายเถอะ
“ว่าแต่เธอไหวเหรอ” เขาอดถามไม่ได้จริงๆ เห็นตัวเล็กแบบนี้ไม่แน่ใจเลยว่าเธอจะสามารถตามติดไปถึงยอดดอยได้
หมี่ขาวกลอกตา ไม่ได้รู้สึกเกร็งอย่างที่เป็นตอนแรกแล้ว เธอหมุนคอแล้วอมยิ้ม ท่าทางเหมือนนักเลงเวลาที่จะเดินไปหาเรื่องชาวบ้าน เก้าอี้จึงรีบปล่อยมือจากไหล่เธอทันที
“หมี่วิ่งขึ้นวิ่งลงดอยมาสองปี ยังไม่เคยเป็นลมกลางทางนะ ว่าแต่พี่เถอะ ตัวแห้งๆ แบบนี้ไหวเหรอ” บางทีศักดิ์ศรีก็สำคัญกว่าผู้ชายหน้าตาดีตรงหน้า หมี่ขาวแอบประทับใจกับความคิดตัวเอง ตรรกะนี้ดูจะสมเหตุสมผลมาก
เก้าอี้ถลึงตาใส่ รู้สึกเหมือนโดนดูถูก ไม่อยากอวดเลยว่าถ้าถอดเสื้อช็อปออกมาแล้วจะต้องเห็นอะไร
“หึ วิ่งตามมาให้ทันเถอะ”
หมี่ขาวไหวไหล่ อันที่จริงเธอกำลังแอบมองหาเพื่อนห้องพยาบาล กะว่าจะนั่งท้ายกระบะรถพยาบาลขึ้นไป ปกติแค่วิ่งเช็กแถวเด็กก็เหนื่อยพออยู่แล้ว ถ้าต้องมาคอยแบกน้ำให้กับผู้ชายคนนี้ เห็นทีว่าอาจจะไม่ไหว อย่างน้อยก็ต้องถามให้แน่ชัดว่ารถพยาบาลจะขึ้นไปก่อนหรือไปพร้อมกัน
“จริงสิ มาถ่ายรูปกันก่อน” เธอล้วงโทรศัพท์ออกมา
“เดี๋ยวก่อน ไหนบอกจะถ่ายรูปบนดอยไง”
“ก็ต้องถ่ายเก็บไว้ปะพี่ เดี๋ยวเขาจะหาว่าเฟค”
เก้าอี้เหลือบมองเดย์อีกครั้ง เห็นสายตาของมันแล้วรู้สึกคันปลายเท้ายิบๆ แต่ตัวเขาเองก็ล้วงมือถือออกมาด้วยเหมือนกัน
“เซลฟี่ละกันนะ”
“แน่สิ แต่ที่จริงให้คนอื่นถ่ายให้ก็ดีนะ”
“ไม่ต้องแล้ว เอามือถือฉันถ่าย เดี๋ยวค่อยส่งเข้าเครื่องเธอ ของฉันกล้องชัดกว่า” เขาพูด
หมี่ขาวมองมือถือตัวเอง ขมวดคิ้วน้อยๆ เพราะมือถือของเธอกับเขาก็เหมือนจะรุ่นเดียวกันไม่ใช่เหรอ แต่ตอนที่จะอ้าปากพูดก็ถูกเขาโอบไหล่มาแล้วพร้อมกับเสียงชัตเตอร์ดังรัวๆ
“เห้ยพี่อี้ ขอจัดทรงผมก่อน” เธอเพิ่งเห็นว่าผมตรงที่เก้าอี้ดึงใบไม้ออกมานั้นหลุดลุ่ย
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวใช้แอปแต่งเอา” พูดจบก็สั่ง “ยิ้มหน่อยสิ”
มุมปากทั้งสองข้างของเธอยกขึ้น พยายามให้เป็นรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดในชีวิต แต่ว่าเพราะส่วนสูงที่ค่อนข้างต่างกันของเธอกับเขา พอเซลฟี่แล้วเหมือนว่าจะเห็นแต่หัวของเธอโผล่ขึ้นมา น่าเกลียดเหมือนภาพตัดแปะเลยให้ตายสิ
“พี่อี้ย่อลงหน่อยไม่ได้เหรอ”
“ไม่อะปวดหลัง” เขาพูดแบบนั้นแล้วก็หยุดถ่ายรูป “เอาเบอร์มาสิ จะส่งรูปให้”
“แอดไลน์ก็ได้ เดี๋ยวหมี่สร้าง QR Code ให้”
“เบอร์มือถือก็ใช้ค้นหาไลน์ได้ไม่ใช่เหรอ”
“099-8xxxxxx” ไม่คิดว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นพวกเผด็จการ
ครืด...
“ฉันโทรเข้าเอง ต้องบันทึกเบอร์ก่อน ไลน์ของฉันแอดเพื่อนอัตโนมัติ เธอเองก็เมมเบอร์ไว้สิ”
หมี่ขาวอยากเข้าใจว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่คุยกับคนประเภทนี้เหมือนจะเปลืองพลังสมองไปเยอะมาก สุดท้ายเขาอยากทำอะไรก็ทำ เธอเองก็อยากทำชาเลนจ์นี้ให้จบๆ ไปแล้วเหมือนกัน แค่คิดก็อดหัวเราะชั่วร้ายไม่ได้
ยัยฉายไม่ได้บอกสักหน่อยว่าแฟนจะต้องคบกันมากี่วัน คบวันนี้ก็เลิกวันนี้ได้
“หัวเราะอะไร ปัญญาอ่อนเหรอ”
หมี่ขาวหุบปากฉับ เริ่มตงิดใจอีกครั้งแล้วว่าเธอน่าจะคิดผิดมหันต์ ไอ้พี่คนนี้...ตอนแรกที่ยิ้มหวานส่งมาแล้วเรียกน้อง ที่แท้คือหน้ากากสินะ ตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้คือผู้ชายปากปีจอ
ต้องใช่แน่ๆ
แต่ไม่เป็นไร แค่วันเดียวต้องอดทน ถึงยังไงก็ไม่ได้ต้องวิ่งไปกับหมอนี่ตลอดทางเสียหน่อย แค่ช่วยส่งน้ำส่งข้าวให้ตอนพัก ระหว่างนั้นยังสามารถไปคุมเด็กปีหนึ่งหน้าตาน่ารักน่าขบได้
“หมี่ไปดูเด็กก่อนนะพี่อี้ อย่าลืมส่งรูปมาล่ะ” หมี่ขาวเก็บมือถือ ตั้งใจจะไม่บันทึกเบอร์โทรของเขา
“เดี๋ยวก่อน”
“มีอะไรอีกคะ”
“ทำไมต้องรับชาเลนจ์พาแฟนขึ้นดอยกับเพื่อน ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วหรือไง รู้ๆ อยู่ว่าผู้หญิงคณะเราส่วนใหญ่กว่าจะมีแฟนก็รอทำงานสักสี่ห้าปีโน่น”
“แล้วทำไมพี่อี้ถึงรับคำท้าพี่เดย์ทั้งๆ ที่ตัวเองไปขอลอกเลกเชอร์คนอื่นก็ได้”
“นั่น...ไอ้เดย์มันห้ามคนอื่นไม่ให้ฉันลอก”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะมันเป็นต้นฉบับ แล้วเธอล่ะ มีเหตุผลอะไรถึงไปรับคำท้าบ้าๆ นี่”
“เพื่อนหมี่มันเป็นบ้าน่ะ” หมี่ขาวตอบ
เก้าอี้เบิกตากว้างราวกับว่าตกใจมากกับสิ่งที่เธอพูด “ไม่แปลกใจหรอก เพราะจะคบคนบ้าได้ก็ต้องบ้าพอกัน ฮ่าๆ” พูดจบเขาก็เดินหนีไป
ทิ้งให้หมี่ขาวอ้าปากพะงาบๆ พร้อมกับด่าไล่หลัง
“โถ่เว้ย ผู้ชายคณะนี้ปากปีจอกันหมดหรือไงนะ”
สาเหตุที่รับคำท้า เพราะฉายเคยบอกว่าถ้าวันไหนหมี่ขาวทำชาเลนจ์สำเร็จ เธอจะให้หมี่ขาวย้ายเข้าไปอยู่ในคอนโดฯ ที่เป็นโครงการของพ่อเป็นกรณีพิเศษ ยิ่งหมี่ขาวทำสำเร็จได้ไวเท่าไร ก็จะยิ่งสามารถประหยัดเงินส่วนที่ต้องจ่ายค่าเช่าห้องไปได้อีกเยอะ ส่วนตะวันฉายนั้น ชาเลนจ์นี้มีไว้เพื่อที่จะไม่ให้พ่อของเธอจับคลุมถุงชนเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
เรื่องที่ตะวันฉายมีพ่อเป็นเจ้าของโครงการใหญ่นั้นมีคนส่วนน้อยที่รู้ ส่วนที่หมี่ขาวรู้เพราะตะวันฉายเคยพาเธอไปนอนที่บ้านตอนปีหนึ่ง ถึงแม้ว่าที่บ้านของอีกฝ่ายจะมีฐานะที่ดีมาก แต่แม่ของฉายกลับไม่ยอมจ้างนางพยาบาลพิเศษมาดูแล ท่านยืนยันที่จะดูแลคุณยายด้วยตัวเอง วันที่แม่ของฉายล้มป่วยไปอีกคน เป็นฉายที่ต้องหยุดเรียนเพื่อดูแลท่านทั้งสอง หมี่ขาวจึงเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านของฉายกับมหา’ลัยเป็นระยะ นั่นทำให้แม่กับพ่อของฉายเอ็นดูหมี่ขาวเหมือนลูกสาวอีกคน
ในช่วงที่บ้านของหมี่ขาวประสบปัญหาเรื่องเงินเพราะแม่ของเธอต้องเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาล ก็ได้พ่อของฉายขับรถไปส่งเธอข้ามจังหวัด ความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัวที่แตกต่างกันจึงเกี่ยวข้องกันด้วยสถานะพิเศษ ทุกครั้งที่หมี่ขาวกลับมาจากบ้านตัวเองจึงมักนำเสื้อที่แม่ของเธอตัดเย็บด้วยตัวเองกลับมาให้ฉายเป็นประจำ
แต่ถ้าคิดถึงความหมายจริงๆ ของชาเลนจ์นี้ ว่ามีไว้ทำไม...บางทีมันก็อาจเป็นแค่เรื่องขำขันของชีวิตในรั้วมหา’ลัย แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นเรื่องของคำสัญญาระหว่างเพื่อน
ตะวันฉายไม่ได้ท้าเพื่อนผู้ชายในกลุ่มเดียวกัน เพราะพวกนั้นไม่เคยขึ้นดอยคนเดียวเลยสักปี
จะว่าไปตอนปีหนึ่งนั้นไม่ถือว่าเธอขึ้นดอยคนเดียว เพราะต้องวิ่งขึ้นพร้อมเพื่อนร่วมรุ่นอีกแปดร้อยกว่าคน จำได้ว่าตอนวิ่งขึ้นยังถือว่าชิลล์อยู่ แต่พอขากลับลงมาฝนดันตกหนัก ฉายโดนผ้าใบกัดเท้าจนวิ่งแทบไม่ไหว หมี่ขาวและเพื่อนอีกคนที่ชื่อเตเลยช่วยกึ่งวิ่งกึ่งพยุง กระทั่งผ่านไปได้ครึ่งทางทั้งสามก็เริ่มไม่ไหว เพื่อนผู้ชายอีกสามคนจึงเข้ามาช่วยประคอง นั่นก็คือ บาส แฟรงค์และเฟิร์ส
อาจเป็นเพราะอะดรีนาลีนที่หลังตอนใช้เรี่ยวแรงไปกับการหนีพวกปีศาจลงดอย เลยทำให้พวกเธอทั้งหกคนสนิทกันตั้งแต่นั้นมา
ไม่ไหวก็กอดคอเพื่อนไว้...เพื่อน ประเพณีขึ้นดอยชักนำให้ ‘เพื่อน’ ได้มาเจอกัน