[DAY] EP1

4101 คำ
6ชั่วโมงก่อนหน้านี้.. @ร้านอาหาร คนรอบข้างผมชอบถามว่าทำไมถึงยอมขับรถนานหลายนาทีเพื่อมากินข้างผัดกุ้งกับน้ำเปล่าที่ร้านอาหารชานเมืองแบบนี้ทุกวัน ตอนแรกผมก็คิดว่าคงมาแค่บางครั้งเท่านั้นเวลานัดเจอกับกลุ่มพี่แทน ทว่าหลังจากที่ระฆังหน้าประตูร้านดังขึ้นในวันนั้นความคิดที่ว่าจะมาแค่บางครั้งก็เปลี่ยนเป็นผมต้องมาที่นี้ทุกวัน เด็กตัวเล็กในชุดมัธยมกางเกงสีเข้มสั้นเหนือเข่าเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสที่ใครต่อใครเห็นก็ต้องยิ้มตาม เครื่องหน้าสมส่วนราวกับเทพเจ้าคัดสรรแต่สิ่งสวยงามมาประกอบให้ ไม่ว่าจะแสดงสีหน้าแบบไหนก็ล้วนแต่น่ามองจนผมไม่กล้าละสายตา ร่างกายบอบบางน่าดูแล ซึ่งผมให้คำมั่นตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เห็นน้องเลยว่าจะดูแลไม่ให้ยุง เหลือบ ลิ้น ไร หรือแม้แต่เศษฝุ่นก็อย่าหวังว่าจะได้เฉียดใกล้กาย แต่สิ่งที่รบเร้าใจผมมากเป็นพิเศษคงเป็นท่อนขาเรียวขาวที่โผล่พ้นนอกชายกางเกงนักเรียนตัวนั้นมากกว่า เวลาที่คนตัวเล็กก้มๆ เงยๆ ทำเอาเลือดลมในร่างกายผมสูบฉีดราวพลุ่งพล่านไปหมด ผมชอบตรงที่มันเรียว เหยียดตรงอย่างกับขาตุ๊กตา มันคงจะดีถ้าขาสองข้างนั้นได้มากอดก่ายอยู่บนร่างกายผม แต่ผมก็ได้แค่คิดเท่านั้น เพราะนอกจากแอบมองผมก็ไม่กล้าทำอะไรอีกเลย อาจเป็นเพราะเด็กตรงหน้าโดนใจผมจนเจ็บจี๊ดมากๆ ผมเลยค่อนข้างทำตัวไม่ค่อยถูกที่จะเข้าหา นอกจากแอบฝากเงินพิเศษไปให้ทุกครั้งที่แวะมา ปกติคนที่ผมถูกใจและผ่านมือมาล้วนแต่เป็นประเภทมองตาก็รู้ใจ รูดบัตรไปขึ้นเตียงไปทุกคน แต่กับน้องคนนี้ผมมองจนตาแทบจะหลุดออกจากกระบอกตาน้องยังเมินผมอยู่เลย! “ฉิบหายแล้วกู” ผมสบทกับตัวเองหลังเพิ่งรู้ตัวว่าลืมกระเป๋าตังค์ไว้ที่ร้านอาหารซะแล้ว ตอนที่แอบฝากเงินแบงค์เทาให้น้องนักเรียน ไม่รู้ว่าเพราะผลบุญจากแบงค์สีเทาหรือเพราะพรหมลิขิตขีดเส้นกันแน่ผมถึงได้ผ่านมาเจอน้องเขาอีกครั้ง คนตัวเล็กในชุดนักเรียนกำลังยืนอยู่ริมถนนติดป้ายรถเมย์ แขนเรียวพอดีกำมือรวบกอดกระเป๋านักเรียนแนบอกแน่น ดวงตาสีอ่อนคล้ายลูกแมวน้อยกวาดมองซ้ายขวาอยู่ตลอดเวลา ผมชะลอความเร็วลงจนมันแทบจะหยุดนิ่งเมื่อเข้าใกล้เด็กตัวเล็กตรงหน้า กระจกรถที่ถูกติดฟิล์มกันแดดจนแทบจะมองไม่เห็นภายในค่อยๆ เลื่อนลงจนคนด้านนอกสามารถมองเห็นใบหน้าที่พูดได้คำเดียวว่าหล่อจัดของผมตามแบบฉบับลูกเสี้ยวอิตาลี คนตัวเล็กเหล่มองผมเล็กน้อยก่อนจะขยับก้าวขาถอยหลังเว้นระยะห่างจากตัวรถมากกว่าเดิม นี่น้องเขาไม่คุ้นหน้าผมบ้างเลยหรือไง ให้ตังค์กินขนมออกจะบ่อย ถ้าให้มากกว่านี้คือผมต้องวางเอทีเอ็มให้กดเงินใช้แล้วนะ “กลับกับพี่ไหมคะ” ผมปั้นน้ำเสียงทุ้มนุ่มสบายหูหลอกล่อคนที่เด็กกว่า แต่แทนที่คนฟังจะรู้สึกประทับใจตั้งแต่น้ำเสียงแรกคุยกลับทำสีหน้าหวาดกลัว กรอกสายตามองรอบกาย แขนเรียวขนาดพอดีมือกำกอดกระเป๋าแน่นขึ้นกว่าเดิมหลังจากที่ได้ยินเสียงของผม “คะ..คุยกับผมเหรอ…” เสียงนุ่มนิ่มติดแหบเล็กน้อยพูดขึ้นเสียงเบาผสมไปด้วยความลังเล ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ยินเสียงนุ่มนิ่มของอีกฝ่าย ซึ่งมันก็ละมุนหูชวนฝันอย่างกับที่คิดไว้ไม่มีผิด จนผมอยากจะอุ้มเอากลับไปนอนฟังที่ห้องทั้งคืน แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของเสียงจะยินยอมเอาทั้งตัวและเสียงไปกล่อมผมก่อนนอนหรือเปล่า “ค่ะ พี่คุยกับน้องนั่นแหละ” “มะ..ไม่ดีกว่า” ดวงหน้าเรียวเครื่องหน้าละมุนส่ายหน้าปฏิเสธผมทันที “เดี๋ยวรถเมย์ผมก็มา” ผมไม่คัดค้านคำปฏิเสธอะไรของคนที่เด็กกว่า ถ้าเขาบอกว่าจะรอรถเมย์ผมก็จะจอดรถรอเป็นเพื่อน เด็กน้อยยืนมองผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับตัวกลับไปนั่งที่เก้าอี้ใต้ป้ายรถเมย์ ระหว่างเราสองคนไม่มีการพูดคุยอะไร ผมคอยลอบมองปฏิกิริยาของคนตัวเล็กเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการถอนหายใจ หรือแม้แต่ท่าตบยุงตัวร้ายที่มากัดกินเลือดเนื้อก็ล้วนแต่น่ามองไปซะหมด การเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กน้อยตรงหน้าเหมือนกับตุ๊กตาที่ค่อยๆ แสดงท่าร่ายรำอย่างช้าๆ ก็ไม่ผิด ผมหลุดขำให้กับความคิดเพ้อเจ้อของตัวเองที่นับวันผมก็ยิ่งจะคลั่งไคล้น้องเขาเอามากๆ จนถึงขนาดที่ว่าแค่ท่าตบยุงยังน่ามอง “มันดึกแล้วรถเมย์ไม่เหลือหรอก” ถึงแม้กิริยาการตบยุงมันจะละมุนตาผมมากแค่ไหนทว่ารอยแดงจากปากยุงตัวร้ายมันขัดใจผมมากกว่า ผิวขาวๆ เนื้อเนียนๆ ต้องมาด่างพร้อยเพราะสัตว์ตัวเล็กแบบนั้นผมทนมองต่อไปไม่ไหว แต่พอผมพูดจบเท่านั้นแหละ ริมฝีปากบางจิ้มลิ้มก็เตรียมเบะปากคว่ำลงทันที ดวงตาสีอ่อนเริ่มมีน้ำใสเอ่อคลอพร้อมจะหล่นลงบนแก้มขาวยุ้ยนั่นทันที โอ๊ยย! ผมอยากจะกราบขอร้องคนตรงหน้าเสียเหลือเกินว่าให้หยุดทำหน้าแบบนั้นสักที รู้ไหมว่ามันน่าถนอมมากแค่ไหน ผมละอยากจะดึงน้องเขาเข้ามาซบอกอุ่นของตัวเองชะมัด! “ขึ้นมาเถอะเดี๋ยวพี่ไปส่ง” “….” “เอาน่า พี่ไม่ทำอะไรหนูหรอกค่ะ ถ้าหนูยังนั่งรออยู่แบบนี้เด็กเกเรแถวนี้อาจจะฉุดเอาไปทำอะไรๆ ก็ได้นะ” คนตัวเล็กเบะปากคว่ำหนักกว่าเดิมเมื่อผมยกเอาเรื่องเด็กเกเรขึ้นมาขู่ ซึ่ลมันก็เป็นแค่เรื่องที่ผมกุขึ้นมาเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ใช้วิธีนี้มีเหรอที่เด็กตรงหน้าจะตัดสินใจก้าวขาขึ้นรถผมได้ แต่คราวหน้าผมสัญญาว่าจะพาน้องเขาขึ้นสวรรค์! “พี่เป็นคนดีเหรอ” “มานี่สิค่ะ” ผมกวักมือเรียกคนที่เด็กกว่าให้เดินเข้ามาใกล้ เพราะถ้าให้ผมเป็นฝ่ายลงไปหาน้องเขาต้องกอดกระเป๋าวิ่งหนีผมไปแน่ ซึ่งคนตัวน้อยก็ขยับเข้ามาใกล้แต่โดยดี แต่เป็นการขยับตัวที่เชื่องช้ามาก การก้าวเดินแต่ละก้าวของคนตัวบางมีแต่ความลังเล ทว่าสุดท้ายน้องก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าผมจนได้ ฟุ่บ! ผมยัดกระเป๋าตังค์แบรนด์ดังใส่ฝ่ามือสีระเรื่อของน้องเขาโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้ตั้งตัว ดวงตากลมเบิกโพลงเพราะความตกใจกับการกระทำของผม ก่อนที่จะเริ่มรนรานในเวลาต่อมาเมื่อเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในมือเป็นกระเป๋าราคาแพง “หะ..ให้ผมทำไม” คนตัวเล็กถามพรางจับกระเป๋ายัดใส่มือผมคืน แต่ผมก็ยกมือหลบได้ทัน กลายเป็นเด็กน้อยคว้าได้แค่อากาศอย่างกับอุ้งเท้าแมวน้อยไล่คว้ามือเจ้าของอย่างไงอย่างงั้น “เอาไว้เป็นหลักประกันความปลอดภัยของน้องไงค่ะ ในนี้มีบัตรนักศึกษา บัตรประชาชน เอทีเอ็ม เคดิตการ์ด และเงินสดด้วยค่ะ ถ้าเกิดว่าพี่ทำอะไรไม่ดีกับน้อง น้องก็มันไปแจ้งความหรือไม่ก็เอามันไปใช้ได้ตามสบายเลย พี่ยินดีให้ค่ะ” “..!!!...” ราวกับคำพูดของผมเมื่อกี้ไปกดปิดสวิตช์การทำงานของคนตัวเล็กซะอย่างนั้น เพราะทันทีที่พูดจบคนตรงหน้าก็ยืนนิ่งอ้าปากค้างใส่ผมซะแบบนั้น ผมมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้มกว้างขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่เกิดมาจนอายุยี่สิบย่างยี่สิบเอ็ดยังไม่เคยมองใครน่ารักเท่านี้มาก่อนเลย น้องเขาใช้คำว่าน่ารักได้เปลืองมาก มากจนถึงขนาดที่ว่าผมยังเหลือคำชมพวกนี้ไปชมคนอื่นได้อีกหรือเปล่า? “ขึ้นมาสิค่ะ” ผมทำลายความนิ่งเงียบด้วยการปลดล็อคประตูพร้อมกับเชื้อเชิญคนตัวน้อยให้ขึ้นมานั่งข้างกาย ตลอดทางที่ขับรถมาคนตัวบางแทบจะไม่ปริปากพูดอะไรกับผมเกินความจำเป็นเลยนอกจากบอกทางแค่นั้น แขนสองข้างยังคงกอดกระเป๋านักเรียนไว้ไม่ห่างกาย แผ่นหลังบางนั่งเหยียดตรงหันหลังชิดบานประตูจนแทบจะสิงมันเข้าไป ดวงตากลมก็คอยมองผมสลับกับทางด้านหน้าตลอดเวลา ผมลอบมองท่าทางน่าเอ็นดูของน้องผมครู่หนึ่งก่อนจะกระแอมขึ้นขัดความเงียบภายในรถ ผมอยากใช้เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันตอนนี้ทำความรู้จักกับคนข้างกายให้มากที่สุด “หนูชื่ออะไรคะ พี่จะได้เรียกถูก” “นะ..ไนล์” “ขอโทษนะพอดีพี่ได้ยินไม่ชัด หนูช่วยขยับมาพูดใกล้ๆหูพี่อีกสักนิดได้ไหม” คนที่ได้ยินคำร้องขอจากผมเริ่มมีสายตาลังเลใจอีกครั้ง มือเรียวก็กำจิกสายเข็มขัดนิรภัยที่คาดไว้กลางลำตัวแน่น ราวกับว่าไอ้สายดำๆเล็กๆแค่นั้นมันจะช่วยปกป้องอะไรได้สักอย่าง แต่สุดท้ายแล้วดวงตาราวตุ๊กตาปูนปั้นก็ค่อยๆยื่นเข้ามาใกล้ผมเองอย่างช้าๆ ถึงแม้สายตาผมจะมองถนนตรงหน้าทว่าการกระทำของน้องเขาก็ยังอยู่ในองศาที่ผมสามารถมองเห็นได้ ปลายจมูกโด่งพอดีเครื่องหน้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ลมหายใจอุ่นๆค่อยๆเป่ารดที่ปลายติ่งหูผมมากขึ้นทีละนิด นาทีนี้ต่อให้ผ่านศึกเล็กใหญ่มามากจนเซียนสังเวียนผมก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับเด็กกางเกงมัธยมเพียงแค่ลมหายใจน้องเขาเท่านั้น ผมรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้หูสองข้างของผมมันกำลังร้อนขึ้นทีละนิดและกำลังมีสีแดงจากเลือดที่ทำงานสูบฉีดมากเกินความเป็น มันค่อยๆเริ่มจากที่คอไล่มาที่หูและกำลังจะขึ้นมาที่แก้มทั้งสองข้างของผมในอีกไม่ช้า “ชื่อไนล์ครับ” เสียงนุ่มติดแหบเล็กน้อยบอกกับผม เสียงที่ถูกเปล่งออกมาเหมือนกับชนวนระเบิดที่กำลังจะถูกจุดในอีกไม่ช้าเพื่อแผดเผ่าคนฟังอย่างผมโดยเฉพาะ ยิ่งช่วงจังหวะที่คนเด็กกว่าเผลอปล่อยดวงตาสีอ่อนให้มาสบกันโดยบังเอิญร่างกายของผมมันก็แสดงอาการออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนตรงหน้าโคตรมีผลกระทบกับผมเลย โดยเฉพาะตรงอกข้างซ้าย อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่นาทีเลือดลมทั้งร่างกายของผมยังทำงานดีขนาดนี้ ถ้าหากต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันผมต้องหัวใจวายเพราะความน่ารักของน้องไนล์วันละกี่รอบ ผมพยายามควบคุมอาการที่เสียไปอย่างมหาศาลเมื่อครู่ให้กลับมาเป็นคนที่เหนือกว่าน้องอีกครั้ง แต่ทว่าก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้งแกล้มจงใจส่งน้องไนล์คนนุ่มนิ่มลงมาเพื่อทำลายปุ่มควบคุมร่างกายของผมให้พังทลายไปซะทุกอย่าง! ผมแค่หันกลับไปมองเพื่อที่จะส่งรอยยิ้มโปรยเสน่ห์ให้เพียงเท่านั้น แต่กลายเป็นตัวผมโดนเสน่ห์ที่ไม่ได้ตั้งใจโปรยของไนล์ของอย่างจัง แก้มขาวใสๆเลื่อนเฉียดปลายจมูกของผมไปแค่นิดเดียว ระยะห่างอันน้อยนิดทำให้ผมได้กลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของไนล์และเผลอเคลิ้มไปกับกลิ่นนั้นจนเกือบจะลืมมองเส้นทาง คนที่ถูกลมหายใจผมแผดเผาแก้มนิ่มก็เริ่มมีสีระเรื่อเกิดขึ้นที่สองข้างแก้ม ไนล์ชะงักไปนิดหน่อย ดวงตากลมเบิกกว้างมองผม ริมฝีปากสีอ่อนเม้มแน่นเป็นเส้นตรงคล้ายกับอมคำพูดอะไรเอาไว้ไม่ยอมคายก่อนจะขยับตัวกลับไปนั่งที่เดิม เว้นระยะห่างกับผมมากกว่าเดิม “พี่ได้ยินชัดเลยค่ะ หนูไนล์ พี่ชื่อเดย์นะ พี่เปย์เก่งมาก แถมยัง…” ผมเว้นวรรคคำพูดให้อีกฝ่ายสนใจ แต่มันก็เป็นการกระตุ้นที่เสียเวลาเปล่าเพราะไนล์เลือกที่จะมองข้างทางมากกว่าหันมามองหน้าหล่อๆที่พระเจ้าบรรจงสร้างมาอย่างผม อย่างกับคนคิดไม่ตก “พี่ยังไม่มีใคร แต่ตอนนี้อยากมีแล้วแหละ หนูล่ะอยากมีไหม” “มีอะไรครับ” ไนล์ตอบผมโดยที่ยังมองข้างทางเช่นเดิม “มีแฟนไง หรือว่าหนูมีแล้ว” ผมถามกลับด้วยความหวังที่น้องจะต้องตอบว่าโสด ต้องโสดเท่านั้น ถึงต่อให้อีกฝ่ายจะตอบว่ามีแล้วผมก็ไม่คิดจะถอยอยู่ดี ถ้ามีแล้วผมก็จะแย่งมา เพราะคนอย่างผมเข้าเกียร์แล้วมีแต่เดินหน้าเท่านั้น คนเด็กกว่านิ่งไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะให้คำตอบที่น่ายินดีมากสำหรับผม “ผมยังไม่มีแฟน” “ดีจัง พี่ก็โสด หนูก็โสด เหมือนพรหมลิขิตเลยนะคะ” “….” ไนล์ไม่ตอบอะไรผมกลับมา มีเพียงซีกหน้าขาวที่แก้มค่อยๆซับสีแดงขึ้นทีละนิดให้ผมใจชื้นขึ้นทีละหน่อย เวลาแค่ไม่กี่นาทีที่อยู่กับน้องไนล์ทำผมตกเป็นเบื้องล่างคนเด็กกว่าไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง ความนุ่มนิ่มเหมือนกับปุยเมฆขาวๆบนท้องฟ้าของไนล์เป็นสิ่งที่ผมพ่ายแพ้จนต้องยกธงขาว คำพูดจาหวานหูที่ผมสรรหามาเกลี่ยกล่อมให้ไนล์ตกหลุมกลายเป็นสิ่งนั้นย้อนกลับมาเล่นงานผมทุกครั้ง คำพูดผมมันทำให้ไนล์เขินจนแก้มแดง แต่รู้ไหมว่าไอ้แก้มแดงๆของไนล์มันเป็นสิ่งที่ทำลายภูมิคุ้มกันหัวใจผมยับเยิน ผมขับรถมาส่งไนล์ถึงหน้าบ้าน ลักษณะบ้านของไนล์มันดูไม่เหมาะกับการออกไปทำงานพาสไทม์กลับมืดๆดึกๆแบบนี้เลย ถึงแม้ว่าหมู่บ้านที่ผมขับรถเข้ามาจะไม่ได้หรูหราเป็นชุมชนของคนระดับไฮโซอย่างกับบ้านที่ผมอยู่ แต่มันก็ไม่ได้ดูขาดแคลนจนต้องให้ลูกต้องออกมาทำงานลำบากแบบนี้เลย เรียกได้ว่าบ้านของไนล์เป็นบ้านที่ดูมีฐานะระดับหนึ่งก็ว่าได้ “พี่ขับรถมาส่งถึงหน้าบ้านไม่คิดจะตอบแทนกันหน่อยเหรอ” ผมรั้งแขนเรียวนุ่มมือไว้ก่อนที่น้องจะปลดสายเข็มขัดออกไปจากรถ การถึงเนื้อถึงตัวของผมทำให้ไนล์มีอาการสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆขยับดึงแขนให้หลุดออกไปจากมือผมอย่างละมุนละม่อม “แล้ว..จะให้ตอบแทนยังไง” “ขอแค่ไลน์หนูเป็นของตอบแทนก็พอค่ะ” ผมส่งมือถือเครื่องล่าสุดที่เพิ่งถอยออกมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ทว่ามันก็ถูกมือบางดันกลับให้มาอยู่ที่ตักผมเช่นเดิม “ผมไม่มีของอะไรแบบนั้นหรอกครับ” ผมพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่น้องสื่อออกมา ถ้าไม่มีไลน์ผมขออย่างอื่นไว้แทนก็ได้ อะไรก็ได้ที่ผมใช้จีบเขาได้ผมเอาหมด “ถ้างั้นเฟซบุ๊กก็ได้” คนตัวบางส่ายหน้าให้คำตอบกลับมา ผมเลยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นแอพพลิเคชั่นอื่น “ไอจี” แต่ไนล์ก็ตอบกลับด้วยการส่ายหน้าเช่นเดิม จนผมต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “แค่เบอร์อย่างเดียวก็ได้ พี่ขอแค่เบอร์ก็ได้ครับ” “…..” “แค่เบอร์ก็ไม่มีเลยเหรอ หนูไม่มีอะไรให้พี่ได้ชื่นใจเลยเหรอคะ หนูไนล์” ผมถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงที่แฝงไปด้วยลูกอ้อน ร้อยทั้งร้อยก็แพ้ลูกอ้อนผมทั้งนั้น ยกเว้นก็แต่เด็กตรงหน้าที่แสดงออกมาแค่สายตาเก้อเขินเล็กน้อยและน้ำเสียงเรียบนิ่งที่บ่งบอกว่าการกระทำของผมมันมีผลต่อจิตใจน้องเขาแค่นิดเดียว “ครับ ไม่มี” “มีมือถือไหมคะ” ผมลองยั้งเชิงถามคำถามสุดท้าย แล้วคำตอบที่ได้ก็ทำเอาเส้นเลือดข้างขมับผมเต้นตุบๆ นี่ตอบเพราะความจริงหรือต้องการบั่นทอนกำลังใจของคนอยากจีบแบบผมกันแน่ “ไม่มี” “ล้อพี่เล่นปะเนี่ยหนู เด็กม.ปลายสมัยนี้ใครเขาไม่มีกัน” “ก็ผมยังเด็กอยู่ พ่อบอกว่ามันยังไม่จำเป็น” “งั้นลองบอกพี่มาหน่อยสิค่ะว่าเด็กตรงหน้าพี่เดย์เนี่ยเด็กแค่ไหน อยู่ม.อะไรแล้วปีนี้มีค่าเทอมรึยัง?” ผมหยักคิ้วถามคนตัวเล็กตรงหน้าออกไปโดยที่เนื้อหาแฝงไปด้วยความประชดเล็กน้อย ถ้ายังจะปฏิเสธผมทุกช่องทางแบบนี้ผมก็คงมีทางเลือกเดียว คือจับน้องทุบหัว หาเชือกมัดมือมัดเท้าแล้วลากกลับบ้าน “ผมอายุสิบหก เพิ่งขึ้นม.สี่” คำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากน่าขโมยจูบตรงหน้าทำเอาผมขยับตัวลำบากชอบกล จะขยับส่วนไหนของร่างกายก็รู้สึกว่าตัวเองเริ่มไม่ปลอดภัยขึ้นทุกที จะก้าวเท้าซ้ายหรือเท้าขวาก็ไม่พ้นประตูลูกกรงชั้นดีบนสถานีตำรวจ แล้วเด็กตรงหน้าก็ช่างเชิญชวนให้ผมทำสิ่งที่ผิด โดยเฉพาะผิดกฎหมาย! อึก! ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก! จนเกือบจะสำลักหลังจากที่ได้ยินคำตอบ เมื่อก่อนเวลาไอไอดังแค่ก แค่ก แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้ต่อไปผมคงต้องเปลี่ยนเสียงไอใหม่ คงต้องไอดัง คุก! คุก! คุกแน่ๆ ไอ้เดย์! คนเด็กกว่าอาศัยช่วงจังหวะที่ผมกำลังครุ่นคิดกับอายุเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางของตัวเองอยู่จะหนีเอาตัวรอดลงจากรถ ดีที่ผมรู้ทันรีบกดล็อคประตูเอาไว้อีกรอบ ทำเอาเด็กตัวน้อยหันมาขึ้นเสียงใส่ผมอย่างลืมตัว ก่อนจะค่อยๆ สลดสีหน้าลงเพราะรู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบถ้ายังอยู่บนรถทั้งที่ประตูยังล็อคอยู่แบบนี้ “มาทำให้อยากแล้วจากไปดื้อๆ พี่ไม่ยอมง่ายๆ หรอกนะคะ” ผมหันไปพูดกับน้องไนล์ในขณะที่นิ้วมือก็กดปลดล็อครหัสมือถือออกก่อนจะวางมันลงไปบนหน้าตักนิ่ม ผมวางได้ยังไม่ถึงนาทีคนตัวบางก็รีบยัดมันกลับคืนมาที่มือผม พร้อมทั้งเบียดตัวแนบชิดกับประตูรถอย่างกับจะแทรกเข้าไปข้างใน ดวงตาสีอ่อนก็เริ่มฉ่ำวาวเพราะน้ำตาใสๆ ออกมาเคลือบ ถ้าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไปน้ำตาก้อนกลมๆ คงหยดลงบนแก้มเนียนนั่นแน่ “อะ..อะไร ผมไม่เอา!” “ใจเย็นๆ สิคะ พี่ไม่ได้จะทำอะไรหนูสักหน่อย” ผมยกมือสองข้างขึ้นเหมือนผู้ร้ายยอมจำนนเพราะตอนนี้ผมก็รู้สึกเหมือนไม่ต่างจากผู้ร้ายจ้องจะพรากผู้เยาว์เหมือนกัน “พี่แค่อยากให้มือถือหนูไว้ใช้แค่นี้เอง พี่อยากคุยกับหนูไนล์ไง แต่ถ้าหนูไม่รับพี่ก็ไม่ว่านะแต่พี่ก็ไม่ยอมเปิดประตูให้หนูเหมือนกัน” ไนล์กะพริบตามองผมปริบๆ ก่อนจะค่อยๆ พยักหน้ารับมือถือผมไป ดวงตากลมใสแวววาวของไนล์เวลามองอะไรสักอย่างเหมือนลูกแมวตัวน้อยที่กำลังพิจารณาของเล่นตรงหน้าไม่มีผิด ยิ่งเห็นยิ่งอยากรับไปเลี้ยง “อะ..เอาก็ได้” “ถ้างั้นก็เข้าบ้านดีๆ นะคะ ตอบไลน์พี่ด้วย” ผมยอมปล่อยคนตัวนุ่มนิ่มลงจากรถอย่างเสียดาย ผมอยากให้ไนล์นั่งอยู่ข้างๆ ผมต่อ แค่นั่งกะพริบตาให้ผมมองก็ได้ ดวงตากลมๆ ของไนล์เหมือนเครื่องรางสะกดจิตดีๆ นี่เอง แค่เผลอมองไปไม่ครั้งภาพความนุ่มนิ่ม อ่อนยวบน่าดึงเข้ามาซุก เข้ามากอดก็ติดตาตรึงใจจนอยากจะวนรถกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้สิ่งที่ผมควรฝึกฝนทำเอาไว้คือการหักห้ามใจ เพราะถ้าแค่คิดถึงผมยังทนไม่ไหวแล้วอะไรที่มันล่อแหลมมากกว่านี้ผมจะทนไหวได้ยังไง!? @บ้านเดย์ “เดย์! เดย์บ้าไปแล้วเหรอนั่นมือถือที่เพิ่งจะซื้อมาเลยนะไปยกให้เด็กที่เพิ่งรู้จักกันได้ยังไง” เสียง ‘เวย์’ พี่ชายที่หน้าตาเหมือนผมราวกับฝาแฝดกำลังแผดเสียงดังกรอกรูหูผมไม่เว้นระยะตั้งแต่เหยียบเท้าก้าวเข้าห้องของเวย์ เพราะผมให้มือถือกับไนล์ไปแล้วเลยจำเป็นต้องขับรถกลับมาบ้านเพื่อที่จะยืมมือถือของเวย์เพื่อคุยกับน้องไนล์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วคำตักเตือนของเวย์มันก็ไม่ได้เข้าหัวของผมเลยสักนิดเพราะในนั้นมันเต็มไปด้วยเรื่องราวของไนล์ เด็กน้อยที่ผมอยากจะเข้าหาและเข้าใส่จนแทบคลั่ง พอเวย์เห็นว่าสมองของผมมันไม่ได้รับคำสั่งสอนของเขาเข้าหัวแม้แต่คำเดียวก็เลยหยุด ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบก่อนที่เสียงจากข้อความตอบกลับของไนล์จะดังขึ้น มันเป็นข้อความสั้นๆ ที่บอกมาแค่ว่า ‘ผมนอนแล้วนะ’ แต่ผมกลับนั่งอ่านวนไปวนมาอย่างกับมันยาวเป็นเรียงความวันแม่สิบหน้ากระดาษ ผมกลับมานอนเงียบๆ ในห้องของตัวเอง ตามจริงมันไม่ได้เงียบแค่ในห้องแต่มันเงียบทั้งบ้าน ตั้งแต่เด็กจนโตผมกับเวย์เจอพี่เลี้ยงมากกว่าหน้าพ่อแม่ตัวเองเสียอีก คงเป็นเพราะพวกเขามีหน้าตาและฐานะสูงทั้งทางอาชีพและทางสังคมเลยไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับพวกผมสักเท่าไร พ่อผมดำรงค์ตำแหน่งชั้นสูงทางการเมือง ส่วนแม่ก็มีธุรกิจนำเข้าอัญมณีมาขายรวมถึงเป็นหัวหน้าสมาคมแม่บ้านสตรีที่ต้องคอยออกงานสังคมบ่อยๆ ผมกับเวย์เลยถูกเลี้ยงดูมาด้วยเงินทดแทนเวลาและความอบอุ่นที่หายไป พอมาเจอกับไนล์ที่ดูนุ่มนวล นุ่มนิ่ม ผมเลยอยากจะคว้าเข้ามากอดชดเชยความอบอุ่นขาดไปตั้งแต่เด็ก อยากจะดึงเข้ากอดแนบกายจนฟ้าสว่าง 01.30 น. ก็อกก!..ก็อก!..ก็อก!.. “ว่า?” ผมถามเวย์ที่เดินมาเคาะประตูกกลางดึก อีกฝ่ายไม่ตอบแต่กลับส่งมือถือที่หน้าจอสว่างโชว์ชื่อไลน์ที่กำลังโทร.เข้าเป็นชื่อผมมาให้ แล้วมันก็ดับลงไปต่อหน้าต่อตาจนผมต้องรีบกดโทรกลับไปอย่างด่วน “โทร.มากลางดึกแบบนี้พี่คิดว่าหนูไนล์มีใจให้พี่แล้วนะ” ผมหยอดคำหวานหว่านล้อมไนล์ตั้งแต่วิแรกที่อีกฝ่ายรับสาย ทว่าเสียงสั่นที่ตอบกลับมาทำผมเริ่มฟุ้งซ่านร่างกายเริ่มอยู่ไม่นิ่ง มันร้อนรนไปหมด (พะ..พี่เดย์ ฮึก!) “ไนล์ เป็นอะไร” ผมถามไนล์ด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นครั้งแรกหลังจากที่ได้คุยกัน ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมพูดและมีแต่เสียงสะอื้นจนผมเริ่มใจคอไม่ดี “ไนล์…” (พี่เดย์มารับน้องหน่อยได้ไหม) เสียงนุ่มปนเสียงสะอื้นตอบกลับมา ถ้าหากเป็นคนอื่นผมคงต้องใช้เวลาหลายนาทีเพื่อคิดไตร่ตรองว่าควรตอบยังไง แต่พออีกฝ่ายเป็นไนล์เด็กมัธยมตัวน้อยที่แสนจะนุ่มนิ่มไม่ต่างจากปุยเมฆทุกอย่างเลยไม่ต้องเสียเวลาคิดสักวินาทีเดียว “อยู่ตรงนั้นนะอย่าไปไหน เดี๋ยวพี่จะไปหาหนูเอง”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม