I felt happy for a while
I finally felt okay
But why did I believe that I was getting better,
When I knew that I would sink back into my usual self
I am bad again
I am worse than before
And any hope that I had left, is gone.
ผมมีความสุขแค่ชั่วขณะ
ผมคิดว่าหลังจากนี้มันจะโอเค
แต่ทำไมผมถึงคิดว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้น
ในเมื่อสุดท้ายแล้วผมก็จะต้องกลับมาจมปรักอยู่กับความเป็นตัวเอง
และผมก็จะเป็นทุกข์อีกครั้ง
ทุกอย่างเลวร้ายกว่าที่มันเคยเป็น
และความหวังที่ผมเคยมีมันได้หายไป
ผมไม่กล้ามองหน้าเฟิร์ส ผมไม่กล้าแม้แต่จะขอโทษ เหมือนผมพูดคำนี้บ่อยเกินไป บ่อยจนรู้สึกละอาย ผมไม่อยากให้เพื่อนรู้สึกไม่ดีกับผม แม้ว่าผมจะยังจำภาพนั้นได้ติดตา แววตาที่เฟิร์สใช้มองฟาน มันมีความรู้สึกมากกว่าคำว่าเพื่อน ผมมั่นใจว่าตัวเองมองไม่ผิด แต่ผมจะพูดอะไรได้ ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ผมพูด
“ไงมึง อารมณ์ดีแล้วยัง” เฟิร์สทักเมื่อผมเดินออกมาจากห้องพร้อมกับฟาน
“เฟิร์ส กูขอโทษ ช่วงนี้กูหงุดหงิดนิดหน่อย เรื่องเรียนน่ะ” ถึงผมจะไม่กล้า แต่ก็ต้องพูดขอโทษ ไม่อยากให้อะไรๆ มันแย่ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ แค่นี้ผมก็ไม่มีความสุขมากพออยู่แล้ว ถ้าผมต้องไม่เหลือใครเพราะนิสัยแย่ๆ ของตัวเอง ผมคงอยู่ไม่ได้
“เออ แต่อย่าเป็นบ่อยนะมึง” เฟิร์สชี้หน้าผมคาดโทษแบบทีเล่นทีจริง
“อืม” ผมพยักหน้าช้าๆ
“ไปเหอะ เดี๋ยวจะไปเรียนสาย” ยุทธพูดแล้วก็คว้ากระเป๋าเดินออกจากบ้านไปพร้อมคนอื่นๆ
ผมเดินตามหลังฟานไปที่รถของผมที่มีฟานเป็นคนขับ ส่วนรถของฟานยุทธเป็นคนเอาไปขับ ปกติแล้วเฟิร์สจะไปพร้อมผม เพราะเราเรียนคณะเดียวกัน แต่วันนี้เฟิร์สแยกไปกับยุทธและว่าน น่าจะเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้านี้
ผมกลืนก้อนเหนียวๆ ลงคอ ยิ่งเข้าใกล้รั้วมหาลัยผมยิ่งรู้สึกไม่ดี ผมไม่อยากไปเรียน ช่วงนี้ผมเรียนไม่รู้เรื่อง การสอบเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาก็ทำได้ไม่ดี แทบไม่อยากจะคิดถึงเกรดในเทอมนี้เลย พ่อกับแม่จะต้องผิดหวังในตัวผมอย่างแน่นอน
‘ไปอยู่ที่นู่นอย่าเหลวไหล ยังไงก็ต้องได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า3.5นะลูก’
‘สตาร์เก่งมากเลยลูก สอบได้เกรดสี่ทุกวิชาเลย ตอนสกายเรียนมัธยมปลายยังไม่ได้คะแนนดีขนาดนี้เลย แม่ภูมิใจในตัวลูกมาก’
หัวใจถูกบีบรัดจนแน่น รวมไปถึงสมองที่เริ่มปวดตุบเหมือนโดนทุบ
ถ้าเทอมนี้เกรดไม่ดี ผมจะมีหน้ากลับไปบ้านได้ยังไง
“สกาย สกาย...เหม่ออะไร”
“ห๊ะ” ผมรู้สึกตัวเมื่อถูกเขย่าแขน
“ถึงคณะแล้ว คิดอะไรอยู่ถึงได้เหม่อขนาดนั้น” ฟานมองผมด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรหรอก กายไปเรียนก่อนนะ” ผมฝืนยิ้ม แล้วรีบลงจากรถอย่างรวดเร็ว ไม่อยากให้ฟานสังเกตเห็นว่ายิ้มของผมมันเป็นแค่การขยับปาก
แค่จะยิ้มทำไมมันยากเย็นขนาดนี้
ง่ายที่สุดตอนนี้คือการใช้หน้านิ่งหยิ่งของตัวเองเดินผ่านผู้คนที่อยู่ใต้ตึก เดินตรงไปหาเฟิร์สที่ยืนรออยู่ที่ร้านถ่ายเอกสารใต้คณะ
ไม่ต้องมองก็รับรู้ได้ว่ามีสายตาหลายคู่จ้องมองมาที่ผม ทั้งสายตาชื่นชมและสายตาเกลียดชัง ผมเคยมีความสุขยามที่ผู้คนจ้องมองมาอย่างชื่นชม ผมเคยอยู่ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องลงมาให้ผมโดดเด่นกว่าคนอื่น ผมชอบที่มีคนรัก ผมหวังให้มีแต่คนรักผม แต่คนที่เกลียดผมก็ผุดขึ้นมามากมายยิ่งกว่าดอกเห็ด
ความไม่มั่นใจก่อตัวขึ้นในอกทีละนิด ผมนั่งจ้องหน้าจอโทรศัพท์ นิ้วมือเลื่อนไปกดไอคอนกล้องถ่ายรูป ชูโทรศัพท์ขึ้นสูงแล้วเอียงใบหน้าในมุมที่ผมมั่นใจฉีกยิ้มที่คิดว่าดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ จากนั้นจึงกดถ่ายภาพ
ผมโพสต์รูปลงในแอพ Instagram พร้อมพิมพ์แคปชั่นลงไป
‘วันนี้จะตั้งใจเรียนครับผม’
ผมนั่งมองรูปตัวเอง ในหน้าจอสี่เหลี่ยมนั้นผมกำลังยิ้ม
ดีจัง...ที่วันนี้ยังยิ้มได้
“อะไรเนี่ย มึงแอบถ่ายรูปตอนไหนวะ ถ่ายให้กูบ้างดิ” เฟิร์สเอาไหล่มากระแทกผม แล้วส่งมือถือของมันมาให้
เฟิร์สบอกผมถ่ายรูปเก่ง รู้มุมเวลาถ่ายรูป ทำให้คนถูกถ่ายได้รูปที่ดูดี เพราะอย่างนั้นเวลาที่ผมถ่ายรูปตัวเองถึงมีแต่รูปที่เรียกยอดไลค์
ผมถ่ายรูปแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้เฟิร์ส มันหยิบไปดูรูปที่ผมถ่ายแล้วก็ยิ้มกว้าง
“เฮ้ย สวยว่ะ ไม่มีมึงกูก็ไม่มีรูปสวยๆ ลงไอจี” เฟิร์สยิ้มแล้วก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ของตัวเอง
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือ อีกห้านาทีอาจารย์ก็น่าจะมาถึงห้องเรียน ผมเปิดโทรศัพท์เพื่อเข้าไปดูรูปตัวเองในไอจีอีกครั้ง
‘แฟนใครเนี่ยน่ารักที่สุด’
ข้อความของฟานทำให้ผมยิ้มออก ผมกดถูกใจข้อความของเขา
‘มึงถ่ายรูปอย่างนี้เดี๋ยวไอ้ฟานก็ไม่เป็นอันเรียน เอาแต่นั่งดูรูปเมีย’
ข้อความจากว่านที่พิมพ์มาแซว
‘น้องสกายน่ารักจังเลยครับ ถ้าแฟนเผลอเราเจอกันได้นะ ฮ่าๆๆ หยอกๆครับ’
‘เหอะ พ่อแม่ส่งมาเรียนเปล่าวะ ไม่ได้ส่งมานั่งถ่ายรูปอ่อยผู้ชาย’
‘น่ารักตรงไหนวะ คนน่ารักกว่านี้มีเยอะแยะ’
‘ตัวจริงหน้าโคตรหยิ่ง เดินผ่านแบบไม่เห็นหัวใครอ่ะ’
มือที่ถือโทรศัพท์เริ่มสั่นเบาๆ จนต้องใช้มืออีกข้างจับประคอง มันจะมีสักวันไหมที่พวกเขาจะไม่ด่าผม บางทีผมก็ไม่เข้าใจว่าผมไปทำอะไรให้พวกเขาถึงได้จงเกลียดจงชังคอยตามมาด่าผมไม่เว้นวัน
ผมต้องทำยังไง คนที่เกลียดผมถึงจะลดน้อยลง ผมต้องทำยังไงคนพวกนั้นถึงจะเลิกด่าผมในช่องคอมเมนต์เสียที
“อาจารย์เข้าแล้วมึง” เฟิร์สวางมือลงบ่าผม แล้วใช้อีกมือแย่งโทรศัพท์ของผมไปกดปิด “มึงอย่าไปสนใจ พวกนักเลงคีย์บอร์ด”
“อืม” ผมพยักหน้า แล้วเปิดหนังสือตามบทที่อาจารย์บอก
ใช่...ก็แค่ไม่คิด ช่างมัน ปล่อยมันไป
ผมข่มจิตใจของตัวเองให้สงบ บอกกับตัวเองว่าตอนนี้ผมต้องตั้งใจเรียน ไม่อย่างนั้นตอนสอบปลายภาคผมแย่แน่ๆ แต่สิ่งที่อาจารย์กำลังพูดไม่เข้าหัวผมเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าผมจะพยายามจ้องเนื้อหาบนสไลด์หน้าห้อง แต่คำด่าทอเหล่านั้นกลับดังและภาพชัดเสียยิ่งกว่าสิ่งที่ผมกำลังจ้องมอง
‘ชีวิตจริงไม่ได้ฉีกปากยิ้มแบบนี้ไง เลยต้องมาลงรูปทำว่าตัวเองน่ารักเฟรนลี่ยิ้มเก่ง’
ผมอยากหลุดออกจากความคิดเห็นแย่ๆ พวกนั้น ผมบอกตัวเองว่าไม่ควรไปสนใจ แต่ความทรงจำทำร้ายผมเสมอ มันคอยแต่จะจำสิ่งแย่ๆ และผลักดันเอาเรื่องดีๆ ออกไปจากความคิดของผม
คำด่าทอเหล่านั้นเหมือนมีดที่เฉือนลงบนร่างกายของผม มันไม่วันหายดีกลับมีแต่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน พวกเขาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีในการกรีดมันลงบนเนื้อผม แต่ผมต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ในการรักษา
เพราะผมก้าวข้ามผ่านมันไปไม่ได้ มันถึงได้สร้างบาดแผลไว้ให้ผม ทุกครั้งที่ผมพยายามจะก้าวไปข้างหน้า ข้อเท้าทั้งสองข้างของผมจะปรากฏโซ่ตรวนสีดำที่เหนี่ยวรั้งจองจำผมเอาไว้ ผมกระตุกขาอย่างแรงหวังให้โซ่ขาด แต่ยิ่งผมกระตุกเท้าตัวเองแรงเท่าไหร่ โซ่เส้นนั้นก็จะกระชากผมกลับไปแรงเท่านั้น
ผมออกแรงวิ่งหนี แต่มันเป็นเพียงแรงกระชากที่ทำได้แค่ย่ำอยู่กับที่ ข้อเท้าทั้งสองข้างแดงช้ำ แรงเสียดสีค่อยๆ บาดลึกเข้าเนื้อ เลือดสีแดงฉานซึมไหลจากแผลที่เปิดถลอก เริ่มปวดไปถึงกระดูก สุดท้ายผมก็ทำได้แค่หยุดวิ่งหนีแล้วทิ้งตัวนั่งลงอยู่ที่เดิมด้วยความรู้สึกที่อ่อนล้าเหลือคณา
คาบนั้นทั้งคาบผมเรียนไม่รู้เรื่อง ผมพยายามปรับอารมณ์ของตัวเองตลอดช่วงเช้า ช่วงบ่ายเลยดีขึ้นมาหน่อย แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีสมาธิพอที่จะเรียนให้รู้เรื่องตลอดทั้งคาบอยู่ดี
ผมไม่ได้คิดเรื่องคอมเมนต์ในไอจี ผมบังคับให้ตัวเองเมินแอพที่ผมชื่นชอบแล้วกลับมาสนใจเรื่องการเรียน ทั้งๆ ที่ผมเคยเป็นคนหัวไวมากกว่านี้ เลยได้แต่ถามตัวเองว่าผมกลายเป็นคนสมาธิสั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
จบคาบบ่ายตอนบ่ายสาม ผมก็ได้รับข้อความจากฟาน
‘มารอฟานที่ใต้ตึกได้ไหม ฟานเลิกสี่โมง’
ผมพิมพ์ตอบกลับไปทันที
‘เดี๋ยวกายเดินไปหานะ’
“เฟิร์ส ฟานให้ไปนั่งรอที่ใต้ตึกวิศวะ” ผมหันไปบอกเพื่อนที่กำลังเก็บของใส่กระเป๋า
“ไปดิ”
ผมและเฟิร์สเดินจากคณะตัวเองมาที่ตึกวิศวะที่ไม่ได้ไกลกันมาก ตอนนี้ผู้คนในตึกบางตา ส่วนหนึ่งคงกำลังเรียนอยู่ อีกส่วนคงแยกย้ายไปที่อื่น
ระหว่างรอฟาน ผมนั่งอ่านหนังสือที่เพิ่งจะเรียนไปเมื่อเช้า ในขณะที่เฟิร์สเดินไปคุยเล่นกับคนรู้จัก เฟิร์สเป็นคนเข้ากับคนอื่นง่ายทำให้มีเพื่อนไปทั่ว ส่วนผมมักวางตัว ถ้ามีคนเข้ามาทักผมก็คุยด้วย ผมไม่ได้หยิ่ง เพียงแต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับคนอื่นยังไง นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมเคยชอบไปเที่ยวกลางคืน เพราะน้ำเมาทำให้ผมมีความกล้าที่จะเริ่มต้นคุยกับคนอื่นก่อน
กับแฟนของผม...ฟาน ผมก็รู้จักเขาตอนเมา ผมเป็นคนเข้าไปคุยกับเขาก่อน เขาเองก็ชอบผม เราคุยกันไม่นานก็ตกลงเป็นแฟนกัน อย่างที่บอกว่าผมชอบไปนั่งร้านเหล้า...แต่มันก็เป็นแค่แต่ก่อน ตอนนี้ผมไม่รู้สึกอยากจะไปไหนเลย ไม่รู้ทำไม ผมแค่ไม่อยาก
“ทำไมเด็กคนนี้ขยันเรียนจัง” หางตาเห็นร่างคนตัวโตนั่งลงข้างๆ เสียงคุ้นหูทำให้รู้ว่าคนที่รออยู่เลิกเรียนแล้ว ผมปิดหนังสือเรียนแล้วเก็บใส่กระเป๋า
“ไม่ได้ขยันหรอก” ผมพูดแล้วฟานก็หัวเราะ ยกมือขยี้หัวผมเหมือนมันเขี้ยว ก่อนจะกวาดตามองบนโต๊ะแล้วหันมาจ้องหน้าผม
“วันนี้ไม่ได้ซื้อน้ำไว้ให้ฟานเหรอ” ฟานถามเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่ต่างจากค้อนหนักๆ ที่ทุบลงบนหัวผม แย่ไปกว่านั้นคือยุทธและว่านเดินมานั่งที่โต๊ะพร้อมน้ำผลไม้ปั่นจากร้านเจ้าประจำใต้คณะวิศวะ
ผมลืมได้ยังไง...สิ่งที่ผมจะทำให้ฟานเป็นประจำเวลาที่มารอเขาเลิกเรียน
เรื่องของฟานทุกเรื่องเคยเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม แล้วทำไมผมถึงลืม
“กายขอโทษ ฟานรอแป๊บนะ กายจะไปซื้อมาให้” ผมรีบขอโทษขอโพย แล้วล้วงหากระเป๋าสตางค์
“ไม่เป็นไรกาย ใจเย็นๆ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น ฟานแค่ถามเฉยๆ” ฟานจับมือผมเอาไว้ แล้วดึงกระเป๋าสะพายของผมไปวางไว้ข้างตัวเอง
“โทษทีๆ กูเดินไปคุยกับเพื่อนมา ไปกันยังวะ” เฟิร์สที่เดินกลับมาที่โต๊ะถามขึ้น
“เออ ไปดิ” ยุทธกับว่านลุกขึ้นยืน
“มึงก็ทำหน้าหงอยไปได้ ไอ้ฟานมันไม่ตายเพียงแค่มึงลืมซื้อชาเขียวปั่นให้มันกินหรอกนะ อย่าดูแลมันดีเกิน เห็นแล้วหมั่นไส้” ว่านยีหัวผมจนฟูแล้วเดินกอดคอกับยุทธเดินไปที่ลานจอดรถ
“มึงอิจฉากูอะดิไอ้ว่าน ไม่มีเมียก็งี้” ฟานตะโกนไล่หลังไปแล้วคว้าข้อมือผมให้ออกเดิน กระเป๋าของผมเขาก็เอาไปถือให้ ผมยังรู้สึกผิดไม่หาย เหมือนตัวเองบกพร่องในหน้าที่ของตัวเอง
“อย่าคิดมากนะกาย ฟานไม่ได้โกรธอะไรเลย” ฟานหันมาพูดกับผม เราทั้งสองคนขึ้นมาอยู่บนรถเรียบร้อย
“แต่ปกติกายไม่เคยลืม”
“เพราะกายเป็นเด็กดีตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ไง กายอยากได้คะแนนดีๆ ให้พ่อกับแม่ภูมิใจไม่ใช่เหรอ”
แต่ผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องเลยสักนิด
“อืม ครั้งหน้ากายจะไม่ลืมนะ”
“ครับ ยิ้มได้แล้ว ยิ้มหวานๆ ให้ดูหน่อย” ฟานทำหน้าอ้อน ผมหลุดยิ้มขำ เขาก็หัวเราะชอบใจแล้วหันกลับไปสตาร์ทรถ
ฟานขับรถมาจอดที่ข้างสนาม เขาเอี้ยวตัวไปหยิบถุงใส่เสื้อผ้า แล้วลงมือเปลี่ยนเสื้อผ้าบนรถ คนข้างนอกมองเข้ามาไม่เห็นเพราะรถติดฟิล์มดำ แต่ผมที่นั่งอยู่ในรถเห็นร่างกายหนัดแน่นอย่างชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นมัดกล้ามเนื้อช่วงหัวไหล่กับต้นแขน หรือลอนคลื่นสวยงามบริเวณหน้าท้อง เขาดูดีไปหมด ผมเลื่อนสายตาขึ้นสูง แล้วเผลอสบตาฟานเข้าอย่างจัง
"มองขนาดนี้ อยากกินฟานเหรอ" ฟานหลิ่วตาใส่ เขาขยับตัวหันมาทางผม แขนซ้ายโน้มยันกับเบาะข้างคนขับที่ผมนั่ง มือข้างขวาค้ำยันไว้กับคอนโซล
“แล้วกินได้ไหมล่ะ” เขาเย้ามา ผมก็แหย่กลับ แกล้งเอื้อมมือไปลูบซิกแพคของเขาเล่น ผมชอบสัมผัสร่างกายของฟาน มันทำให้ผมรู้สึกดี รู้สึกเหมือนได้เป็นเจ้าของเขาจริงๆ
รู้ไหมว่าบางครั้งผมก็หวงฟานมาก กลัวที่สุดคือการเสียเขาไป
ถ้าวันนั้นมาถึง...ผมคงอยู่ไม่ได้
“อึก พอแล้ว อย่าลูบแบบนั้น เดี๋ยวฟานมีอารมณ์” ฟานกัดฟันจับมือผมออกจากหน้าท้องลอน แล้วกุมมือผมขึ้นไปจูบแทน
“แค่นี้ก็ทนไม่ได้เหรอ” ผมยักคิ้วใส่ ดันตัวเขาให้กลับไปนั่งที่เดิม ฟานเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อ เขาชอบเตะบอลถึงขนาดที่ว่ามีชุดบอลเป็นของสะสม
“ทนไม่ได้น่ะสิ ช่วงสอบเราไม่ได้กอดกันเลย”
“เมื่อเช้าก็กอดไปแล้วไง”
“พอที่ไหนเล่า”
“ไว้คืนนี้สิ รอกลับบ้านก่อน”
“แน่นะ คืนนี้ฟานขอสองรอบ ไม่สิ สามละกัน จุ๊บ” ฟานว่าอย่างดีใจเป็นเด็กๆ
ผมเข้าใจความรู้สึกของฟาน ผมก็ผู้ชายคนหนึ่งที่มีความต้องการทางเพศ เพียงแค่ระยะหลังมานี้ผมรู้สึกเบื่อหน่ายไปกับทุกอย่าง รวมถึงเครียดเรื่องการสอบด้วย ทำให้เราเว้นห่างจากเซ็กส์ไปเกือบสองสัปดาห์
ผมนั่งอยู่จุดเดิม บนแสตนข้างสนามฟุตบอล ฟานและเพื่อนๆ ในชมรมฟุตบอลกำลังวิ่งไล่ลูกบอลกันอย่างสนุกสนาน เขายิ้ม เขาหัวเราะ ดวงตาของเขามีแต่ประกายแห่งความสนุก
อยู่ๆ ผมก็เกิดความรู้สึกที่ว่า...ฟานกำลังอยู่ห่างออกไป
“เห็นแล้วอยากลงไปเล่นด้วยเลยว่ะ มึงไปเล่นด้วยกันไหมกาย” เฟิร์สที่นั่งอยู่เป็นเพื่อนผมถามขึ้น มันลุกขึ้นยืนบิดซ้ายบิดขวาวอร์มร่างกาย
“ไม่อ่ะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบเตะบอล” ในบรรดากีฬา ผมชอบว่ายน้ำที่สุด แต่จะว่าไปผมก็ไม่ได้ไปว่ายน้ำนานแล้วเหมือนกัน
เหมือนเดิม...ผมเบื่อ เบื่อจนไม่อยากทำอะไร
“มึงนั่งคนเดียวได้นะ” มันถาม ผมพยักหน้า
“นั่งได้ มึงอยากเล่นก็ลงไปเล่นเหอะ”
“อืม ฝากของด้วย” พูดจบเฟิร์สก็วิ่งลงไปเล่นกับกลุ่มคนข้างล่าง
สายลมเอื่อยๆ ในยามเย็นพัดเอากลิ่นดินกลิ่นต้นไม้โชยเข้าจมูก ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสี เกิดเป็นแสงสีส้มแต้มไปทั่วผืนฟ้า
สกายแปลว่าท้องฟ้า ผมเคยคิดว่าถ้าผมเป็นท้องฟ้า ชีวิตผมก็ควรจะต้องสดใสมีแต่แสงสว่าง แต่ผมลืมไปว่าท้องฟ้าไม่ได้มีแค่ตอนกลางวัน ในยามค่ำคืนท้องฟ้าที่เคยสว่างก็พลันเปลี่ยนเป็นมืดมิด เหมือนกับจิตใจผมในตอนนี้ที่กำลังดำมืดไปด้วยความหึงหวง
มือทั้งสองข้างของผมกำแน่นจนเจ็บ ภาพที่เฟิร์สล้มแล้วฟานเข้าไปพยุง แขนของฟานโอบรอบเอวคนเจ็บ ตัวของเฟิร์สเอนซบไปกับร่างกายของฟาน สิ่งตรงหน้าก่อเกิดคำถามว่า...ทำไมต้องเป็นฟานที่เข้าไปโอบพยุงเฟิร์ส ทำไมไม่เป็นคนอื่น
ผมก้มหน้าหลีกหนีภาพนั้น ให้สายตาของตัวเองจดจ้องแค่มือทั้งสองข้างที่กำแน่นบนหน้าตัก
“มันไม่มีอะไร ไม่มีอะไรหรอก”
ผมบอกตัวเองอย่าคิดมาก ฟานคือคนรักของผม เฟิร์สคือเพื่อนของผม และฟานกับเฟิร์สเป็นเพื่อนกัน เพื่อนบาดเจ็บฟานก็ต้องช่วยเหลืออยู่แล้ว
“เห็นไหม ไม่มีอะไรเลย” ผมพึมพำพร้อมบอกตัวเองในใจว่า
‘อย่างี่เง่านะสกาย ห้ามงี่เง่ากับฟานเป็นอันขาด’
‘อย่าทำ ถ้าไม่อยากถูกทิ้ง อย่าทำ’