I’m so exhausted.
I’m fighting a war inside my head every single day.
ผมเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน
ที่จะต้องสู้รบกับสิ่งที่อยู่ในห้วงความคิดวันแล้ววันเล่า
‘พี่คุยกับน้องน้ำและน้องปาล์มแล้วนะ พี่ว่างวันพรุ่งนี้
พวกน้องๆ ก็ว่างพรุ่งนี้เหมือนกัน หลังจากนี้พี่จะไม่ว่างยาวเลย
สกายสะดวกวันพรุ่งนี้ไหม’
ผมเปิดอ่านข้อความที่พี่เจ็ทส่งมา ฟานที่นั่งดูหนังข้างๆ กันชะโงกหน้ามามอง ผมก็เลยหันหน้าจอมือถือให้เขาดูได้ถนัด
ในเรื่องของความสัมพันธ์ผมไม่เคยมีความลับกับฟาน ผมไม่เคยคิดที่จะนอกใจเขา ไม่เคยเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมรักฟานมาก ฟานเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเขารักผมที่ตัวผมจริงๆ ผมที่เป็นผมแบบเมื่อก่อน ก่อนที่จะกลายเป็นคนน่าเบื่อน่ารำคาญอย่างตอนนี้
‘ผมว่างครับ ไปกี่โมงครับพี่เจ็ท’
ผมส่งข้อความกลับไป
“กายจะไปเหรอ พรุ่งนี้ฟานมีแข่งบอลกับทีมในชมรมนะ” ฟานขยับเข้ามาใกล้ เขาพูดงุ้งงิ้งอยู่ข้างหู
“กูเกลียดเสียงมึงไอ้ฟาน ตัวเท่าควายทำเสียงสองเหมือนน่ารักอ่ะ” ว่านที่นั่งทำการบ้านอยู่บนโต๊ะทานข้าวพูดแขวะแฟนของผมขึ้นมา เขาทำหน้ามุ่ยไม่สนใจที่เพื่อนว่า เพราะเอาแต่เป่าหูผมว่าไม่ให้ไป
“อย่าไปเลยนะ ปล่อยให้พี่ปีสี่กับน้องปีหนึ่งปีสองไปกันก็พอ ไปดูฟานแข่งบอลเถอะนะ” เขาอ้อน จับแขนผมแล้วดึงเข้าใกล้จนขาขึ้นไปเกยกัน
“แล้วกูถามจริง แบ่งทีมเล่นกับคนในชมรม มึงเรียกว่าแข่งเลยเหรอ” ยุทธเดินมายืนเท้าเอวมองหน้าฟาน คนหล่อก็เลยถลึงตาใส่เข้าให้
“เสือก ผัวเมียเขาจะคุยกัน มึงเป็นใครห๊ะ”
“เป็นคนที่รำคาญมึง ไอ้เหี้ย มึงปล่อยให้สกายมันไปมีสังคมบ้างเถอะ ทุกวันนี้มันตัวติดกับมึงเกือบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงอยู่แล้ว บุญของมึงแล้วสกายที่ไม่ได้เรียนคณะเดียวกันกับไอ้ฟาน”
“มึงอย่ามาเสี้ยมแฟนกูนะ ไปไกลๆ เลยไอ้พวกไม่มีเมีย มึงไม่เข้าใจกูหรอก ว่ากูหวงของกูขนาดไหน”
“เออ กูมันไม่มีเมีย แต่ทำอย่างมึงสักวันเมียมึงจะเบื่อ งอแงเก่งจริงไอ้เพื่อนเหี้ย” ยุทธเดินมาผลักหัวฟานเบาๆ หนึ่งที ฟานเลยเอาคืนด้วยการใช้เท้าถีบไปหนึ่งดอก
“ไม่เอาน่า อย่าโมโหสิ” ผมลูบท่อนแขนให้ฟานใจเย็นลง
“ก็ดูมันพูดสิ มันบอกว่ากายจะเบื่อฟาน”
“ยุทธก็แหย่เล่นไง กายไม่เบื่อฟานหรอกน่า มีแต่ฟานนั่นแหละที่จะเบื่อกาย” ประโยคหลังผมพูดได้ไม่เต็มเสียงนัก แต่ผมพูดตามที่ตัวเองรู้สึก
ขนาดผมยังเบื่อตัวเองเลย วันหนึ่งถ้าฟานเห็นตัวตนแย่ๆ ของผม เขาจะต้องเบื่อและรังเกียจมันเช่นกัน
“ฟานจะเบื่อกายได้ยังไง ไม่เห็นเหรอครับว่าหึงหวงจนเพื่อนเดินมาด่าฟานเนี่ย” ฟานหัวเราะอารมณ์ดีขึ้น เขาดึงผมเข้าไปจุ๊บเหม่งทีหนึ่งแรงๆ
ครืดๆ
เสียงโทรศัพท์สั่น ผมกดเปิดหน้าจอขึ้นดู พี่เจ็ทตอบกลับมาแล้ว ผมเลยเปิดเข้าไปอ่าน ได้ยินฟานทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอ
‘ประมาณหกโมงเย็นครับ
เจอกันที่ร้านเลย หรือจะให้พี่ไปรับที่บ้านก็ได้’
“เดี๋ยวฟานไปส่ง น่าจะเตะบอลเลิกไม่เกินทุ่มอยู่แล้ว ไปช้าหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง” ฟานพูดขึ้น เขาคิดให้เสร็จสรรพ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะผมตามใจฟานอยู่แล้ว อะไรที่ทำให้เขาสบายใจผมก็ยอมทั้งนั้น
“อืม” ผมเลยพิมพ์ตอบข้อความไปว่าผมจะไปเอง เจอกันที่ร้าน จากนั้นก็กดปิดโทรศัพท์ หนังที่เรากำลังดูถูกกดหยุดไว้ได้สักพัก ตั้งแต่ที่ฟานเห็นว่าใครส่งข้อความมา
“ทีนี้ก็ไม่งอแงแล้วนะ” ผมพูดกับฟานยิ้มๆ ผมชอบที่เขาหึงหวง อย่างน้อยมันก็เป็นความนัยว่าผมยังสำคัญสำหรับเขา
“แต่ฟานก็ไม่อยากให้ไปเลย”
“แต่พี่เขาเลี้ยงสายรหัสแค่ปีละครั้งเองนะ แถมไปกันครบทุกคนด้วย”
“กายอยากไปเหรอ”
“อืม”
ผมคิดว่าตัวเองควรออกไปเจอคนอื่นบ้าง เผื่อเปลี่ยนบรรยากาศแล้วอะไรๆจะดีขึ้น ถึงจะดูเป็นความหวังลมๆ แร้งๆ แต่ในขณะที่ยังมีแรงหวังผมก็อยากทำ
“อืม เอาเถอะ ฟานก็ไม่ควรกักขังกายเอาไว้แค่คนเดียว ควรต้องให้กายออกไปเจอโลกภายนอกบ้าง อย่าเพิ่งเบื่อนะที่ฟานขี้หวง”
“กายไม่เบื่อหรอก”
“อืม งั้นเรามาดูหนังกันต่อดีกว่า” ฟานยิ้มกว้างแล้วกดรีโมทให้หนังเล่นต่อ
หนังที่เรากำลังดูกันอยู่เป็นหนังไทยชื่อว่า Homestay ตอนที่เข้าโรงผมไม่ได้ไปดู พอหนังเรื่องนี้เอามาลงในแอพดูหนังรายเดือนฟานก็เลยชวนผมออกมานั่งดูที่ห้องนั่งเล่นด้วยกัน เขาชอบนางเอกของเรื่องที่เป็นนักร้อง บอกว่าเป็นผู้หญิงที่เก่งแล้วก็น่ารักเหมือนน้องสาวของฟาน ที่ตอนนี้เรียนไฮสคูลอยู่ที่ต่างประเทศ
หนังเรื่องนี้เป็นหนังของคนไทยที่ดำเนินเรื่องด้วยเด็กวัยรุ่น เริ่มเรื่องคือการหาสาเหตุว่าทำไมพระเอกถึงฆ่าตัวตาย ผมนั่งดูด้วยความรู้สึกที่ราบเรียบ ต่างจากฟานที่นั่งจดจ้องกับหนัง พร้อมตั้งคำถามตลอดว่าทำไม เกิดอะไรขึ้น
ไม่ใช่ว่าหนังไม่สนุก ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เนื้อเรื่องหรือนักแสดง ปัญหามันอยู่ที่ตัวผม
หนังดำเนินมาจนถึงกลางเรื่องค่อนไปทางท้ายเรื่อง ที่ค่อยๆ ปลดปมเรื่องราวต่างๆ ว่าทำไมพระเอกถึงฆ่าตัวตาย จุดนั้นดูจะเป็นจุดเดียวที่ดึงความสนใจของผมไว้ได้
พอๆ กับภาพวาดที่พระเอกวาดก่อนที่จะตาย ทั้งๆ ที่ภาพนั้นฉายเพียงไม่กี่วินาที แต่ผมกลับมองภาพนั้นออกและเข้าใจความหดหู่ที่ตัวละครต้องแบกเอาไว้
ดังนั้นความตายจึงเป็นสิ่งที่เขาเลือกเหรอ
ถ้าตายแล้วจะดีกว่าการมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?
“ไอ้ฟาน มึงว่าทำไมมันฆ่าตัวตายวะ”
“เขาว่ามันป่วยเป็นโรคซึมเศร้า เพราะคิดว่าครอบครัวไม่มีใครรัก คิดว่าครอบครัวตัวเองไม่สมบูรณ์ คงแบบนั้นมั้ง”
“เหรอวะ แต่มันก็ไม่มีครอบครัวไหนในโลกสมบูรณ์เปล่าวะ กูก็ไม่มีพ่อนะ โตมากับแม่ แม่กูก็ขี้บ่นไม่ได้ใจดีด้วย กูไม่เห็นต้องเป็นบ้าฆ่าตัวตายเลย”
“มึงก็พูดไปไอ้ยุทธ คนเป็นโรคนี้กูว่าน่าสงสารนะเว้ย เดี๋ยวนี้มีข่าวคนฆ่าตัวตายเพราะโรคนี้เยอะมาก”
“มันก็อาจจะเป็นแบบที่มึงว่านะว่าน แต่ทุกปัญหามีทางออกเปล่าวะ เดี๋ยวนี้คนเป็นจริงเป็นไม่จริงแม่งมั่วไปหมด บางคนอาจจะแค่อยากเรียกร้องความสนใจเฉยๆ แต่อ้างว่าเป็นซึมเศร้า”
“แต่พวกนักร้องนักแสดงเกาหลีที่ฆ่าตัวตายอ่ะ น่าจะไม่ได้เรียกร้องความสนใจนะ คือความเครียดและความกดดันล้วนๆ ไหนจะเจอพวกแอนตี้แฟน หรือคอมเมนต์แย่ๆ ในอินเทอร์เน็ตอีก สุดท้ายก็ต้องฆ่าตัวตาย โคตรเสียดายอนาคตเลยว่ะ”
“อันนั้นเขาเป็นจริงๆ ไง มันก็น่าสงสาร แต่คนเป็นไม่จริงแล้วเอามาเป็นข้ออ้างในการทำเรื่องแย่ๆ ก็เยอะ เฮ้อ ไม่รู้ว่า โรคนี้มันเป็นยังไง ไม่เข้าใจว่ะ”
“เงียบๆ ได้ไหม จะดูหนัง” ผมหันไปเหวี่ยงคนสามคนข้างๆ ที่เอาแต่พูดไม่หยุด พวกเขาสะดุ้งแล้วยกมือทำท่าขอโทษผม ผมไม่รู้ว่าผมเผลอทำสีหน้าและแววตาแบบไหน ฟานถึงได้ขมวดคิ้วจ้องผมไม่วางตา
“เป็นอะไร หงุดหงิดอะไร” ฟานถามพร้อมกับไล่ยุทธกับว่านให้ออกห่าง
“ก็ดูหนังอยู่” ผมหันกลับไปจ้องโทรทัศน์ แต่ความจริงสมาธิของผมไม่ได้จดจ่ออยู่กับหนังแล้วตั้งแต่ที่พวกเราเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ถึงตัวละครเอกในหนัง
“แต่ปกติกายไม่ใช่คนหงุดหงิดง่ายนะ” เขายังคงซักไซ้ไม่หยุดจนผมเริ่มรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก ต้องพ่นลมหายใจแรงๆ ออกจากปาก
“ฟาน” ผมเรียกชื่อเขาสั้นๆ ให้เขาหยุดถามผมสักที เพราะผมไม่มีคำตอบให้เขาหรอกว่าทำไมผมถึงเป็นแบบนี้
“โอเคๆ ดูหนังครับดูหนัง ฟานไม่กวนละ” ฟานพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ จากที่กำลังหงุดหงิด อารมณ์กลับดีดเหวี่ยงเป็นรู้สึกผิด ความเสียใจตีตื้นขึ้นมาที่ลำคอ ขอบตาร้อนผ่าว แล้วน้ำตาหนึ่งหยดก็ไหลลงมา
ผมมันไม่ดีเอง...ผมมันแย่
“เฮ้ย กายร้องไห้ทำไม ฟานไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“ฮึก” ผมส่ายหน้า ก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาไหล
“เงยหน้าขึ้นหน่อยสกาย”
“ขอโทษ” ผมพูดเสียงเบา พร่ำขอโทษที่ทำตัวไม่ดีใส่คนอื่น ผมไม่ได้อยากทำ ไม่ได้อยากเป็น แต่ผมควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลย
ก็เพราะว่าเป็นคนนิสัยไม่ดีแบบนี้ไง สักวันก็จะไม่มีใครอยากอยู่ด้วย เหมือนที่พ่อกับแม่ผลักไสผมออกมาจากชีวิตของพวกเขา
ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะไปกินเลี้ยงสายรหัส ยืนมองจ้องตัวเองในกระจกห้องน้ำ ไอความร้อนจากน้ำอุ่นที่ผมใช้อาบลอยฟุ้งอยู่ในอากาศ ทำให้กระจกเกิดรอยฝ้ามัวจนมองใบหน้าของผมได้ไม่ชัดเจน เหมือนกับผมในขณะนี้ที่มองตัวตนข้างในของตัวเองไม่ชัดว่ามันเป็นอย่างไร
ผมคือใคร...คือคำถามเดียวที่ผมถามตัวเองในขณะนี้
ผมเป็นแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว...ผมหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
เมื่อคืนผมนอนนึกถึงหนังที่ได้ดู จุดจบที่ตัวเอกของเรื่องเลือกให้ตัวเอง เส้นทางนั้นมันดีจริงๆ หรือ เพราะเขาโทษทุกคนที่ทำให้ชีวิตเขาแย่ ดังนั้นถ้าต้องมีชีวิตแย่ๆ สู้ตายไปไม่ดีกว่าเหรอ
สุดท้าย...คำตอบที่ต้องตอบในหนังว่าตัวเอกของเรื่องฆ่าตัวตายทำไม ถ้าสาเหตุหลักของการตายเป็นเพราะคนอื่นทำให้เขาต้องปลิดชีวิตตัวเอง มันคงรู้สึกดีกว่าที่สุดท้ายแล้วเขาก็มีชีวิตแย่ๆ เพราะตัวเขาเอง ไม่ใช่เพราะคนอื่น
ถ้าอย่างนั้น...ที่ชีวิตผมมันแย่ ที่ผมไม่มีความสุข มันก็เพราะตัวผมเองด้วยใช่หรือเปล่า
แน่นอนว่ามันก็ต้องเป็นเพราะตัวผมเองสิ ความผิดผมทั้งนั้น ผมไม่โทษใครเลย
ผมคงจะยืนจ้องตัวเองอยู่ในห้องน้ำอีกนานเพราะอาการเหม่อลอย หากไม่ได้ยินโทรศัพท์แผดเสียงร้องดังติดต่อกันนานหลายนาที
“ฮัลโหล” ผมกดรับสายฟาน
“กาย! เป็นอะไรหรือเปล่า อยู่ที่ไหน รู้ไหมว่าฟานโทรไปตั้งกี่สายทำไมกายไม่รับ” น้ำเสียงที่กรอกมาตามสายกึ่งตวาดกึ่งตะคอก ทั้งฟังดูร้อนรนและสั่นสะท้าน
ผมเผลอทำให้คนรักเป็นห่วงอีกแล้ว
เพราะไม่มีใครอยู่บ้าน ทุกคนไปเตะบอลกันหมดแม้แต่เฟิร์สก็ขอไปดูด้วย พอโทรหาผมไม่ติดฟานก็คงร้อนใจ
“ขอโทษ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากคำๆ นี้
“เฮ้อ กายอยู่ไหน แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า ยังไม่ตอบฟานเลยนะ” ฟานลดระดับเสียงให้เบาลง
“กายอาบน้ำอยู่ เผลอแช่น้ำนานไปหน่อย แล้วลืมเอาโทรศัพท์เข้าไป”
“ไม่เป็นไรนะ”
จะบอกว่าไม่เป็นอะไรเลยก็ไม่ใช่ เพียงแค่มันไม่ใช่อาการภายนอก และยากเหลือเกินที่จะบอกให้คนอื่นเข้าใจ เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“อืม กายไม่ได้เป็นอะไร”
“ฟานจะบอกว่าอาจจะไปรับช้านะ พอดีเพื่อนในทีมมาเลทก็เลยเริ่มเล่นกันช้า น่าจะสักประมาณทุ่มหน่อยๆ” ฟานรีบพูด เหมือนจะได้ยินเสียงเพื่อนของเขาตะโกนมาเรียกให้เขาไปลงสนาม
ฟานเป็นคนที่ชอบเล่นฟุตบอลมาก ช่วงแรกๆ ที่เราเริ่มจีบกัน ผมก็เป็นคนไปเฝ้าเขาที่สนามฟุตบอลตลอด เวลาเขาวิ่งไล่เตะลูกบอลเขาจะมีความสุขมาก จะยิ้มและหัวเราะเสียงดังจนตาหยี แก้มขาวใสของเขาจะยกสูงขึ้นจนเกิดเป็นริ้วรอยแห่งความสุข
ผมคิดถึงช่วงเวลานั้น...ช่วงเวลาที่ผมและเขาหัวเราะเล่นกันอยู่ที่ริมสนามฟุตบอล เสียงหัวเราะที่สดใส นานแค่ไหนแล้วที่ผมไม่ได้ยินมันจากปากของตัวเอง
“ไม่เป็นไรฟาน เดี๋ยวกายไปเอง ร้านอยู่ใกล้แค่นี้เอง” ผมบอก
“แต่ฟานอยากไปส่ง”
“ไว้ฟานรอไปรับกายแทนก็ได้”
“เอางั้นเหรอ”
“อืม เอางั้นแหละ ฟานจะได้เตะบอลให้สนุก ไม่ต้องคอยพะวักพะวงกับกาย”
“ก็ได้ ถึงร้านแล้วไลน์มาบอกด้วยนะ” ฟานเหมือนจะลังเล แต่สุดท้ายเขาก็ยอม
“ครับ”
“ห้ามอ่อยใคร ห้ามให้ใครมาจีบด้วย ใครเข้ามาบอกมันไปว่ามีผัวแล้ว และรักผัวมากด้วย เข้าใจไหม”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“ครับ งั้นฟานไปเตะบอลก่อนนะ แล้วฟานจะไปรับ”
“ครับ”
ผมกดวางสายฟาน ยืนจ้องโทรศัพท์ ถ้าไม่ใช่เพราะรับปากพี่เจ็ทไปแล้วผมคงยกเลิกนัด ไม่ใช่เพราะฟานไม่ได้มารับ แต่อยู่ๆ ผมก็ไม่อยากไปขึ้นมา อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ไม่อยากออกไปเจอใคร
ผมมองตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนที่มันจะดับวูบกลายเป็นหน้าจอสีดำสนิท หกโมงห้านาที ป่านนี้น้องรหัสกับพี่รหัสคงถึงที่ร้านกันแล้ว
-คุณมีข้อความใหม่-
‘พี่ใกล้จะถึงร้านแล้วนะ น้องน้ำกับน้องปาล์มอยู่กับพี่บนรถแล้ว กายออกจากบ้านมาหรือยัง’
ผมอ่านข้อความพี่เจ็ทก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปในทันที
‘ผมกำลังจะออกจากบ้านครับ’
ผมกดส่งข้อความ แล้วสูดลมหายใจลึก เอาเถอะ ออกไปเดี๋ยวเดียวก็คงไม่เป็นไร ข้อดีคือผมได้ไปเจอพี่รหัสกับน้องรหัสที่นานๆ ครั้งจะได้กินข้าวด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
ผมกำลังจะล็อกประตูบ้าน โทรศัพท์ก็สั่นแจ้งเตือนว่ามีข้อความใหม่ ผมปิดบ้านเสร็จเรียบร้อยก็หยิบโทรศัพท์ออกมาดู
‘มายังไง แฟนมาส่งใช่ไหม’
‘ไปเองครับ ฟานเขาติดเตะบอลกับเพื่อน’
‘แล้วไปยังไง ขับรถไปเองหรือว่านั่งสองแถว จะให้พี่ไปรับหรือเปล่า’
‘ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมนั่งรถสองแถวไป’
เชียงใหม่ไม่ใช่จังหวัดที่ทุรกันดาร ที่นี่สะดวกสบายแทบจะไม่ต่างอะไรกับกรุงเทพ ผมอยู่มาสองปีแล้วแค่เดินทางด้วยรถประจำทางไม่ใช่เรื่องยาก
‘งั้นรออยู่ที่บ้าน พี่ส่งน้องๆ ที่ร้านให้สั่งอาหารรอแล้ว เดี๋ยวพี่ออกไปรับเราเอง ไม่ถึงยี่สิบนาทีแน่นอน’
‘ลำบากพี่เจ็ทเปล่าๆ ครับ ผมไปเองได้’
‘ลำบากอะไร ใกล้แค่นี้เอง รออยู่ที่นั่นแหละ พี่ใกล้จะถึงแล้ว’
‘ก็ได้ครับ’
ผมพิมพ์กลับไป ไม่รู้ว่าพี่เจ็ทใกล้จะถึงบ้านผมจริงหรือเปล่า หรือแค่พูดให้ผมยอมให้เขามารับ แต่อณาเขตของมหาวิทยาลัย หอพัก แล้วก็ร้านอาหารโดยรอบไม่ได้อยู่ไกลกันขนาดคนละอำเภอ จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งจึงใช้เวลาไม่มาก แล้วอย่างที่บอกว่าร้านอาหารที่พี่เจ็ทนัด ขับรถจากบ้านผมไปก็แค่ยี่สิบนาทีเท่านั้นเอง
ส่วนเหตุผลที่ผมไม่อยากให้พี่เจ็ทมารับก็คือผมเกรงใจ ไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้คนอื่น และผมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ไม่ได้ต้องการการดูแลเทคแคร์ขนาดนั้น แต่ถ้าพี่เขาเต็มใจทำให้ ผมก็ว่าอะไรไม่ได้
ยืนรออยู่ไม่ถึงสิบนาทีรถยนต์สีดำก็ขับมาจอดที่หน้าบ้าน กระจกรถด้านคนขับลดลงจนเห็นใบหน้าของพี่รหัสตัวเอง
“ไปกัน ขึ้นรถเลยคุณน้องรหัสสุดน่ารัก”
ผมเดินไปขึ้นรถของพี่เจ็ทแล้วตรงไปยังร้านอาหารกึ่งบาร์ เป็นร้านที่นักศึกษาชอบมากินข้าวกัน บรรยากาศดี อาหารอร่อยแล้วก็ไม่แพง ตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ สายรหัสผมก็มาเลี้ยงข้าวที่ร้านนี้ไม่ต่ำกว่าสามครั้ง แม้แต่ผมกับฟานและเพื่อนๆ ก็ยังมาร้านนี้บ่อย เวลาที่อยากกินข้าวนอกบ้าน
ผมกับพี่เจ็ทเดินเข้ามาในร้าน พี่เจ็ทไม่ต่างอะไรกับคนของประชาชน ไม่รู้เพราะว่าเขาอยู่มาตั้งสามปีกว่าแล้ว หรือเพราะความหน้าตาดีของเขากันแน่ถึงทำให้เดินผ่านโต๊ะไหนก็มีคนรู้จัก
แต่ที่จริงผมเองก็มีคนรู้จักเยอะ ไม่ใช่ว่าผมรู้จักเขา แต่เขารู้จักผมจากในโลกโซเชียล เพราะถ้าไม่รู้จักเขาคงไม่สะกิดเรียกเพื่อนในโต๊ะให้หันมาดูผม บางคนก็ยิ้มให้ บางคนก็จ้องเหมือนไม่ชอบขี้หน้ากันมาแต่ชาติปางก่อน
ผมไม่รู้ว่าผมไปทำอะไรให้คนที่เกลียด ผมก็อยู่ของผมเฉยๆ ไม่เคยไปทำร้ายใคร ไม่เคยไประรานใคร ถ้าจะเคยพูดไม่ดีกับใครคือคนคนนั้นต้องพูดไม่ดีกับผมก่อน
“อ้าวไอ้เจ็ท มาเลี้ยงสายรหัสเหรอวะ”
“เออ”
“หวัดดีจ้ะน้องสกายคนน่ารัก” คนที่ทักพี่เจ็ทหันมาทักผม ผมไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่เคยเห็นหน้าพี่เขาบ้างตอนเดินสวนกันในคณะ
“สวัสดีครับ” ผมยกมือไหว้ทักทายตอบ
“ไม่ต้องไปไหว้มันหรอก คนแบบนี้น่าเคารพที่ไหน” พี่เจ็ทกดมือที่ยกพนมไหว้ของผมลง เหมือนเขาอยากจะแกล้งเพื่อนมากกว่าจะหมายความแบบที่พูดจริงๆ
“เอ้อมึงนี่นะ เด็กมันน่ารักมารยาทดีก็ไปสอนสิ่งไม่ดีให้มัน ไม่ไหวๆ เลย มึง เป็นพี่รหัสที่แย่มาก”
“ไปที่โต๊ะเรากันดีกว่าสกาย อย่าไปคุยกับพวกหน้าหม้อแถวนี้ เดี๋ยวเราจะโดนมันแทะโลมเอา” พี่เจ็ทว่าก่อนจะดันหลังผมให้เดินเข้าไปด้านในของร้าน
มุมที่พี่เจ็ทให้น้องน้ำกับน้องปาล์มมาจองโต๊ะไว้อยู่ตรงชานระเบียงริมสระน้ำ เป็นมุมที่ดีเลยทีเดียว
“พี่สกายมาแล้ว มาๆๆ มานั่งข้างน้ำเร็ว” น้องน้ำ น้องรหัสปีหนึ่ง เป็นผู้หญิงคนเดียวในสายรหัส
“หวัดดีพี่” ปาล์มยกมือไหว้ผม เราคุ้นเคยกันดีเพราะปาล์มถือเป็นน้องรหัสโดยตรง
“สั่งอาหารไปแล้วใช่ไหม” พี่เจ็ทนั่งลงข้างปาล์ม
“สั่งไปสี่ห้าอย่างแล้วค่ะ พี่สกายจะสั่งเพิ่มไหม” น้องน้ำหันมาถามผม พลางยื่นเมนูอาหารมาให้ผมดู
“ไม่เป็นไร พี่กินได้ทุกอย่าง...”
“ยกเว้นกุ้ง” พี่เจ็ทพูดเสริมให้ก่อนที่ผมจะพูด เหมือนเขาจะจำได้ว่าผมจะพูดแบบนี้ประจำเวลาไปทานข้าวกับคนที่ยังไม่รู้
“น้ำจำได้ๆ ครั้งก่อนพี่สกายบอกน้ำแล้ว แต่ว่าน้ำก็ยังสั่งกุ้งเผาไป น้ำอยากกินอ่า” น้องน้ำทำหน้าอ้อน
“ไม่เป็นไร อยากกินเราก็สั่งเถอะ อันไหนกินไม่ได้พี่ก็ไม่กิน” ผมยิ้มบางๆ ลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดู
“งั้นเดี๋ยวพี่สั่งเพิ่มแล้วกัน เราสั่งอะไรกันไปบ้างแล้ว” พี่เจ็ทถามน้อง ปาล์มเป็นคนตอบ พี่เจ็ทก็เลยเลือกอาหารไปเพิ่มอีกสองอย่างที่เขาคงอยากทานเอง ส่วนผมไม่ค่อยหิว ไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่ เลยไม่คิดจะสั่งอะไรมาเพิ่ม
ระหว่างนั่งรออาหาร บทสนทนาจะผูกขาดอยู่ที่น้องน้ำกับน้องปาล์ม สองคนนี้พูดเก่งและร่าเริง โดยเฉพาะน้องน้ำที่เพิ่งมาอยู่ที่เชียงใหม่ น้องก็จะเล่าเรื่องการเรียน บ่นเรื่องอาจารย์เรื่องสอบ หรือถามอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับเชียงใหม่ คนตอบคำถามส่วนใหญ่ก็คือพี่เจ็ทที่อยู่ที่นี่มานานที่สุด รองลงมาก็ปาล์ม ส่วนผมแค่นั่งฟังคนอื่นคุยกัน มีพูดบ้างเมื่อถูกโยนมาให้ต้องพูด แต่ถ้าไม่มีใครหันมาถาม ผมก็จะนั่งเป็นผู้ฟังที่ดี
“อิ่มแล้วเหรอสกาย” พี่เจ็ทถามเมื่อเห็นว่าผมรวบช้อน
“ครับ” ผมตอบ
“ทำไมกินน้อย ปกติเรากินเก่งจะตาย” พี่เจ็ททำหน้าแปลกใจ เหมือนคนที่เขาเห็นตรงหน้าไม่ใช่สกายตัวจริง ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน ว่าผมเคยเป็นคนกินเก่งแบบนั้นด้วยเหรอ
“ผมไม่ค่อยอยากอาหารน่ะครับ”
“ลดน้ำหนักเหรอพี่ แค่นี้พี่ก็ผอมแล้วนะ ผอมอีกนิดคือปลิวได้แล้วอ่ะ” ปาล์มพูด
“จริง หนูยังตัวใหญ่กว่าพี่สกายอีก น้ำรับไม่ได้” น้ำทำท่าปิดหน้าปิดตาแล้วกรี๊ดเบาๆ พี่เจ็ทกับปาล์มก็หัวเราะชอบใจใหญ่ แหงละครับ รุ่นพี่ที่เพิ่งจบไปก็เป็นผู้ชาย ไม่รู้ว่าอาถรรพ์หรืออะไร คณะวิศวะก็ไม่ใช่ แต่สายรหัสผมทั้งสายเป็นผู้ชายล้วน ก็เพิ่งจะมีน้ำเข้ามาทำให้รุ่นพี่ผู้ชายได้ชุ่มชื่นหัวใจ
“ไม่ทานอีกหน่อยเหรอ อาหารเหลือตั้งเยอะ”
“ก็น้ำอ่ะสิ สั่งมาเยอะกินไม่หมด”
“เอ้า ก็หนูนึกว่ามีผู้ชายตั้งสามคนจะช่วยกันกินหมด”
“ยัยเด็กตะกละ”
“พี่ปาล์มอ่า”
“พอๆ อย่าไปว่าน้อง กินไม่หมดก็ห่อกลับไปกินที่หอไป” พี่เจ็ทช่วยห้ามศึกย่อมๆ บนโต๊ะอาหาร แต่ปาล์มดูจะไม่ได้บ่นอะไรจริงจัง คงอยากแหย่น้องปีหนึ่งสุดน่ารักของเราเล่น
“เดี๋ยวผมมานะ ไปเข้าห้องน้ำ” ผมบอกกับคนอื่นบนโต๊ะ
“พี่ไปด้วย” พี่เจ็ทลุกตามมา
ผมเดินเข้าไปประจำตรงโถฉี่ ทว่าแขนของผมกลับถูกดึงรั้งเอาไว้จากพี่รหัส ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่ามีอะไรหรือเปล่า พี่เจ็ทหันมองลูกค้าคนอื่นที่กำลังใช้ห้องน้ำก่อนจะก้มหน้าลงมากระซิบให้ได้ยินกันเพียงสองคน
“พี่ว่าเราไปเข้าในห้องดีกว่านะ” พี่เจ็ทขยับหน้าชี้ไปทางห้องน้ำที่เป็นห้องๆ
“แต่ผมแค่จะฉี่เองนะครับ”
“นั่นแหละ ไปใช้ในห้องเถอะ เราอาจจะไม่รู้ตัว แต่ว่าอย่างเราน่ะ อยากให้คนอื่นมองเหรอ” สายตาของพี่เจ็ทมองลงต่ำมาที่เป้ากางเกง ผมหน้าร้อนก่อนจะพยักหน้าว่าเข้าใจ แล้วเดินเลี่ยงไปเข้าห้องน้ำแบบเป็นห้อง
ผมไม่ได้ติดเรื่องยืนฉี่กับโถ ผมเองก็ผู้ชาย บางครั้งข้างนอกมันก็เร็วและสะดวกกว่า แต่ถ้าฟานมาด้วยเขาก็จะไม่ให้ผมใช้โถข้างนอกเหมือนกัน
ทำธุระส่วนตัวเสร็จก็เจอพี่เจ็ทยืนรออยู่ ตอนนี้ในห้องน้ำเหลือเพียงแค่พี่เจ็ทกับผม เขามองหน้าผมเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ผมจึงยืนรอ
“สกาย...ช่วงนี้สบายดีหรือเปล่า”
ผมยืนนิ่งประมวลคำถามของพี่เจ็ทว่ามันหมายถึงอะไร สีหน้าที่เขามองมาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ผม...” ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
ใจผมตอบ แต่ปากผมไม่ขยับตาม
“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะ โดยเฉพาะเรื่องเรียน แค่โทรมาพี่ยินดีช่วยเสมอเลย” พี่เจ็ทพูดอย่างอ่อนโยน เสียงของเขาทุ้มนุ่มน่าฟัง
“ขอบคุณครับ ไว้ถ้าผมมีปัญหาผมจะไปรบกวนนะครับ” ผมพูดให้ติดขำ แต่พี่เจ็ทไม่หัวเราะ เขาเพียงยิ้มบางๆ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ มือของเขาลูบที่หัวผม
“เราต่างคนก็ต่างมาอยู่ไกลบ้าน พี่เป็นพี่รหัสเรา อย่าคิดว่าต้องอยู่ตัวคนเดียว มีปัญหาอะไร ไม่สบายใจอะไร ก็มาหาพี่ได้เสมอ พี่พร้อมรับฟัง”
ไม่ว่าจะคำพูดหรือสายตาที่พี่เจ็ทมองลึกเข้ามาในดวงตา พลังที่เขาส่งมามันบอกว่าเขาพูดจากใจจริง ผมที่อดกลั้นบางอย่างเอาไว้มาโดยตลอดก็เหมือนจะอดทนต่อไปไม่ไหว ริมฝีปากที่กำลังสั่นระริกเม้มเข้าหากันแน่น ขอบตาเริ่มร้อนจากหยดน้ำที่เอ่อคลอ
“พี่เจ็ท คือผม...”
ปัง!
“ทำอะไรกัน!”
ประตูห้องน้ำถูกผลักออกอย่างแรง มาพร้อมกับเสียงตะโกนดังลั่น ผมและพี่เจ็ทหันไปมองก็เจอกับฟานที่มาพร้อมกับพายุโมโห มองจ้องผมและพี่เจ็ทด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาเกร็งแข็งจนเส้นเลือดปูดขึ้นจากผิวหนังอย่างเห็นได้ชัด
“ฟาน...เป็นอะไร” ผมเดินเข้าไปหาฟาน ยังไม่ทันที่จะได้จับแขนของเขา แขนของผมก็ถูกกระชากอย่างแรงแทน
“มาทำอะไรกันสองคน แล้วทำไมต้องปิดเครื่อง บอกแล้วใช่ไหมว่าถึงแล้วให้ไลน์มาหาฟานน่ะห๊ะ!” ฟานตะคอกใส่ผมเสียงดัง มือหนาบีบแขนของผมจนเจ็บร้าวกระดูกไปหมด
น้ำตาที่คลอหน่วยอยู่แล้วไหลลงแก้มทั้งสองข้างอย่างง่ายดาย ผมไม่ได้อยากร้อง มันไหลของมันเอง เพราะหลังจากที่น้ำตาสองหยดไหลรดบนผิวหน้า ผมก็ไม่ได้ร้องไห้ให้คนอื่นเห็นอีก
แค่ร้องเงียบๆ คนเดียวในใจ ร้องไห้ให้กับความเสียใจที่ไหลอาบไปทั่วร่าง
ผมทำอะไรผิด ทำไมเขาต้องโมโหขนาดนี้
ผมทำอะไรไม่ดีอีกแล้วใช่ไหม