ตอนที่ 4
เรือนวารี
ปึง!
“ลูกไม่รักดี! ฉันจะลากตัวแกกลับมาให้ได้”
เสียงทุบโต๊ะมาพร้อมกับเสียงสบถออกมาด้วยอารมณ์ที่เดือดดาลจนถึงขีดสุด จากการที่ได้รู้ข่าวว่าอมลรดาหายไปตั้งแต่เมื่อคืน ในคราแรกเขาคิดว่าลูกสาวตนยังคงไม่ตื่นนอน แต่เพราะเห็นว่าครึ่งวันเข้าไปแล้วก็ยังไม่เห็นเธอโผล่หน้ามาให้เห็น จากที่ให้คนไปตามและได้แน่ใจว่าลูกสาวหายไป ก้องภพก็รู้ได้ทันทีว่าอมลรดาทำแบบนี้ทำไม
“เราควรจะไปแจ้งความ เผื่อได้เบาะแสแกขึ้นมาบ้าง”
แพรวพิลาสเสนอแนะ เพราะหล่อนเองก็ห่วงอมลรดาไม่น้อย ด้วยยามนี้ไม่มีใครรู้เลยว่าอมลรดาแอบออกไปตอนไหน และไปกับใครคนในบ้านไม่อาจให้ข้อมูลได้เลย
“แล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนคุณคิดดูสิ ลูกสาวหนีงานแต่งแบบนี้ และงานก็ใกล้เข้ามาทุกที หากไม่เจอเราจะไปบอกทางโน้นว่ายังไง อย่าให้รู้นะว่าใครพายายฟ้าหนี มันตายแน่!”
ก้องภพกัดฟันกรอดอย่างอาฆาตแค้นเคือง มือก็กุมขมับด้วยความกลัดกลุ้ม เขาไม่ได้กลุ้มแค่เรื่องลูกสาวหาย แต่มันจะกระทบไปถึงการได้โรงแรมที่สร้างขึ้นมากับมือคืนมา
“อ้าว แล้วคุณจะไปไหน”
ก้องภพเองก็เพิ่งสังเกตว่าภรรยาของตนถือกระเป๋าสะพายมาด้วย อีกทั้งการแต่งกายที่เหมือนจะออกไปข้างนอก
“แพรว…แพรวจะไปเรือนวารี…คุณ…คงไม่ว่ากันนะคะ”
ก้องภพกระตุกยิ้มคล้ายหยัน เขาจะว่าด้วยเรื่องอะไรหากแพรวพิลาสอยากไปเยี่ยมใครบางคนที่เรือนวารี แต่ที่เขายิ้มหยันเพราะก็ไม่รู้ว่าไปแล้วภรรยาของเขาจะกลับมานั่งร้องไห้เหมือนทุกครั้งหรือไม่ เพราะเจ้าของรีสอร์ทไม่ต้อนรับและตั้งแง่รังเกียจเหตุผลเพราะอะไรนั้นเขารู้ดี
“หึ ก็แล้วแต่คุณ แต่แน่ใจนะว่าเจ้าของเรือนวารีจะให้คุณเข้าไปเหยียบ ไม่แคล้วต้องกลับมานั่งน้ำตาเรี่ยน้ำตาราด ผมไม่อยากเห็นคุณร้องไห้อีกนะถึงเตือนด้วยความหวังดี”
“ไม่เป็นไรค่ะ หากไม่ต้อนรับก็ขอแค่ได้เห็นหน้า เท่านี้ก็มีความสุขมากแล้ว”
คนพูดหลุบตาลงต่ำมาพร้อมสีหน้าเจือความหม่นเศร้า มันคือความเจ็บปวดที่ต้องทนแบกรับมานานวัน หากจะให้พูดความจริงคือหล่อนไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริงนับตั้งแต่ตัดสินใจทำในสิ่งที่ถือได้ว่าเลือดเย็นสิ้นดี เพียงแค่แลกกับคำว่าความกตัญญู…
“คุณยายมีอะไรกับหนูคะ”
เอ่ยถามพลางทำหน้าสงสัย เพราะกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ อยู่เพียงลำพังในห้องที่อารชวินยกให้เป็นของเธอชั่วคราว คุณยายแม่บ้านคนเดิมก็มาเคาะประตูเรียก ปลุกให้เธอต้องตื่นจากห้วงความคิดแสนสับสนของตน
“คุณปรายให้หนูแต่งตัวรอ เดี๋ยวจะมารับค่ะ”
“ไปไหนคะ”
เอ่ยถามแล้วชักสีหน้าวิตก เพราะยามนี้เธอไม่อยากออกไปไหนทั้งนั้น และก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะพาเธอไปไหน เธอกลัวว่าออกไปแล้วจะพบเจอกับคนรู้จักเข้าโดยบังเอิญ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยสักนิด
“เสื้อผ้าอยู่ในตู้นะคะ เดี๋ยวยายไปทำงานต่อก่อน”
วินาทีนั้นอมลรดาเห็นเพียงรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรส่งมา ก่อนอีกฝ่ายจะเดินหนีเธอไปโดยไม่อธิบายอะไรสักคำ ทิ้งให้ต้องยืนงงอยู่ฝ่ายเดียว
“อะไรของเขา ทำอะไรก็ไม่เห็นบอกกันบ้าง”
บ่นอุบอิบอยู่คนเดียวแล้วเดินกลับมาทิ้งกายบนเตียงกว้าง ไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่อารชวินสั่งเอาไว้แต่อย่างใด เมื่อกลับมาอยู่เพียงลำพังในบรรยากาศเงียบเหงา ก็พานให้นึกไปถึงสิ่งที่ได้ตัดสินใจทำลงไปอีกครั้ง
‘คุณพ่อ ฟ้าขอโทษนะคะที่เกเร แต่หากจะบังคับจิตใจกันแบบนี้หนูยอมให้ทุกคนเกลียดดีกว่าต้องยอมแต่งงานกับพี่เต’
เพียงใบหน้าของเตชินทร์แวบเข้ามา ร่างอิ่มก็ผวาลุกขึ้นนั่งอย่างหวั่นวิตก เพราะเชื่อว่ายามนี้ฝ่ายนั้นคงตามหาเธอจนแทบพลิกแผ่นดินแน่นอน
‘ใคร’
แต่เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้นอีกครั้ง ก็ทำให้อมลรดารีบผลุนผลันลงจากเตียง เมื่อแง้มบานประตูออกแล้วต้องแปลกใจ เมื่อคราวนี้ไม่ใช่แม่บ้านคนเดิม แต่เป็นคนที่สั่งให้เธอแต่งตัวรอ
ดวงตากลมโตหลุบต่ำ ก้มมองตามสายตาคู่คมที่ไล่มองมายังร่างของตน เขาคงจะพูดเรื่องที่เธอไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าแน่ๆ หญิงสาวคิดพลางยิ้มเฝื่อนกลับไป
“ยายจันทร์ไม่ได้บอกเหรอว่าให้คุณแต่งตัวรอผม”
“บะ บอกค่ะ”
“แล้วทำไมยังไม่เปลี่ยนล่ะครับ”
“ฉัน…เอ่อ”
การที่เธอมัวกระอึกกระอัก ทำให้อีกฝ่ายแทรกกายเข้ามาในห้องอย่างถือวิสาสะ ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าหน้าตาเฉย ทำเหมือนกับว่าเขาและเธอคุ้นเคยกันมานาน
“เสื้อผ้าคงเยอะเกินไปคุณเลยเลือกไม่ถูก งั้น…ผมเลือกให้เอง”
ขณะอมลรดามัวยืนงง อีกฝ่ายก็เปิดตู้แล้วมองสำรวจไปยังเสื้อผ้าชุดใหม่ในตู้ เขาจับๆ คลำๆ แล้วคว้าติดมือมาชุดหนึ่ง เป็นเดรสผ้าชีฟองทรงเชิ้ตติดกระดุมหน้าสวมใส่สบาย คิดว่าคงเหมาะกับหญิงสาวตรงหน้า เขาเดาเอาจากรูปร่างและบุคลิกของเธอ
“ชอบมั้ย”
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มขณะยื่นมาให้อมลรดาดู หญิงสาวมองดูแล้วอดที่จะแปลกใจเล็กๆ ไม่ได้ เพราะเขาเลือกได้ตรงกับใจของเธอราวกับรู้ใจกันมานาน
“ทำไมคุณถึงเลือกชุดนี้คะ”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่คิดว่าคุณน่าจะเหมาะกับชุดที่ดูไม่หวือหวาทว่าแอบซ่อนความเซ็กซี่นิดๆ แต่จะว่าไปแล้วบางทีก็ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า ไม้แขวนก็มีส่วนคุณว่าจริงไหม”
เอ่ยพลางจับจ้องจริงจัง คล้ายจะสื่อให้รู้ว่าเขากำลังหมายถึงเธอ นางฟ้าหลงทางที่เขาเก็บได้กลางผับ ซ้ำตื่นขึ้นมายังความจำเสื่อม เขาควรจะเชื่อเธอดีมั้ยนะ ชายหนุ่มคิดพลางยิ้มมุมปากอย่างรู้ทัน
“ไปอาบน้ำสิ ยืนมองหน้าผมทำไม”
อมลรดาอยากโพล่งออกมาว่าเพราะเขานั่นแหละที่ทำให้เธอละล้าละลัง เขาควรจะออกไปเสียที ไม่ใช่มายืนเฝ้าจนเกร็งสั่นทำอะไรไม่ถูกกันแบบนี้
“หรือจะให้ผมต้องเลือกให้ถึงชุดชั้นใน ว่าจะใส่แบบไหนดี”
ไม่พูดเปล่า ยังหันกลับไปยังตู้ใบเดิมแล้วจัดการดึงลิ้นชักออก การที่เขาหยิบบราในนั้นขึ้นมาพลิกดูทำให้คนที่ยืนมองถึงกับหน้าแดงซ่านด้วยความอาย
“มันอาจจะคับไปสักนิดแต่ช่วยใส่แก้ขัดไปก่อนได้ไหม พรุ่งนี้ผมจะพาไปซื้อใหม่ก็แล้วกัน”
“คุณปราย อย่าแกล้งกันสิคะ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าคับหรือไม่คับ”
หญิงสาวยื่นมือไปคว้าบราที่อยู่ในมือแกร่ง แล้วเอามาซ่อนไว้ข้างหลังตน คำถามของเธอทำให้คนฟังหัวเราะอยู่ในลำคอ เขากำลังคิดว่าเธอคงลืมไปว่าใครที่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ โชคดีเท่าไหร่แล้วที่เขาปล่อยให้เธอลอยนวลรอดมาได้
“แน่ใจนะคะว่าคุณไม่ได้ทำอะไรฉัน บอกตามตรงท่าทีของคุณตอนนี้ไม่น่าไว้ใจยังไงก็ไม่รู้”
“แล้ว…คุณคิดว่าไงล่ะ”
ความอับอายแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า เมื่อความจริงฟ้องอยู่ในสายตาคู่คมว่าเขานั้นเห็นร่างกายเธอหมดแล้ว เขากำลังสื่อให้รู้ว่าไม่เห็นจะต้องอายกันนักเลย เมื่ออายจนทำอะไรไม่ถูกเธอจึงรีบดันร่างของเขาให้ออกไปจากห้อง เพื่อให้พ้นจากสายตาโลมเลียเมื่อยามมองมา
“ออกไปได้แล้วค่ะ ฉันจะรีบอาบน้ำตามคำสั่งคุณ”
“ถ้าไม่อยากถูกแกล้งแบบวันนี้อีก คราวหลังก็อย่าขัดคำสั่งผม คุณควรจะท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ แล้วก็อย่าช้านะเพราะหากรอนานผมจะขึ้นมาตามอีกรอบ”
เขาทิ้งท้ายแล้วยอมออกไป อมลรดารีบดันบานประตูให้ปิดลง หญิงสาวยืนพิงบานประตูเพื่อปรับสภาพจิตใจให้เป็นปกติก่อนที่จะอาบน้ำ เพราะใจยังเต้นโครมครามไม่หายจากการที่เขาพรวดพราดเข้ามาทำในสิ่งไม่คาดฝัน ขณะที่คิดไปพร้อมๆ กันว่าทำไมจึงมีเสื้อผ้าของผู้หญิงเตรียมพร้อมเอาไว้ราวกับรู้ว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่
เรือนวารี
ป้ายอยู่ทางเข้าด้านหน้าดูเด่นชัด อมลรดาเหลือบมองเสี้ยวหน้าคนขับด้วยแววตาคล้ายเป็นคำถาม เพราะเห็นเขาขับเลี้ยวเข้าไปตามทางเล็กๆ เลียบ
ทะเลสาบที่โอบล้อมด้วยทิวเขาน้อยใหญ่ เขาพาเธอมาเที่ยวที่นี่หรือมาทำไมนั้น อยากจะถามออกมาแต่ก็ไม่กล้า เพราะมีสถานะเป็นแค่ผู้อาศัยในบ้านของเขาเท่านั้น
“ทำตัวตามสบาย เพราะที่นี่เป็นรีสอร์ทของผมเอง”
เหมือนเขาจะมีญาณทิพย์ จึงได้เอ่ยในสิ่งที่กำลังสงสัยออกมา อมลรดามองไปทางด้านซ้ายมือ ยามบ่ายเช่นนี้แลเห็นผิวน้ำในทะเลสาบทอประกายระยิบระยับจากดวงอาทิตย์ที่ทอแสงอาบไล้ลงมา
“เรือนวารี…ชื่อเพราะจังเลยค่ะ”
“คุณพ่อผมเป็นคนตั้งเพราะเห็นว่าที่นี่ติดทะเลสาบ ท่านบุกเบิกขึ้นมาด้วยสองมือหนึ่งแรง จากที่ไม่มีอะไรเลย”
หญิงสาวนิ่งฟังอย่างสนใจ เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมาจากริมฝีปากได้รูป แม้เขาจะหันหน้าจดจ่ออยู่กับหนทางข้างหน้าก็ตาม
“แล้ว…คุณพ่อของคุณล่ะคะ ฉันไม่เห็นว่าท่านจะอยู่ที่บ้าน…เอ่อ…คุณแม่ของคุณด้วย ท่านทั้งสองไม่ได้อยู่ที่นี่เหรอคะ”
“คุณพ่อผมเสียแล้ว…ส่วนผู้หญิงคนนั้นผมไม่อยากพูดถึง อย่าเอ่ยถามเรื่องนี้ออกมาอีก เพราะมันจะทำให้บรรยากาศที่ดีๆ ของเราสองคนต้องเสียไป”
ต้นประโยคคนฟังจับได้ว่าเจือเอาไว้ด้วยความอาลัย ส่วนท้ายประโยคช่างฟังดูต่างกัน มันมีทั้งอารมณ์เคียดแค้นชิงชังจนสัมผัสได้ เขาคงมีปมในใจบางอย่างที่ไม่อยากเอ่ยถึง หากรู้สักนิดเธอคงไม่ถามให้สะกิดใจ หญิงสาวคิดอย่างรู้สึกผิดในหัวใจ
“ฟ้าขอโทษนะคะ หากทำให้คุณไม่สบายใจ”
การที่เธอลืมตัวเผยชื่อออกมา สะกิดใจคนฟังต้องหันมามอง
“คุณจำชื่อตัวเองได้แล้วเหรอ…ฟ้า…ฟ้าที่หมายถึงนางฟ้าหรือเปล่า” อมลรดาหน้าแดงเห่อเพียงเพราะคำพูดทีเล่นทีจริง หากอยู่กับเขานานไปกว่านี้ ไม่แคล้วเธอคงจะต้องหลงอยู่กับคำหวานที่เขาสรรหามาล่อหลอก หญิงสาวคิดก่อนจะรีบชวนเขาคุยเพื่อกลบเกลื่อนความเขินอาย
“จริงๆ แล้วฉันชื่อปรายฟ้า ส่วนใหญ่ก็มักแทนตัวเองสั้นๆ ว่าฟ้าค่ะ”
“ปรายฟ้า…ชื่อเพราะดีนะ เหมาะกับคุณ”
“เหมาะยังไงคะ”
“ดูหวานๆ เรียบร้อย น่าทะนุถนอม”
คนพูดหันมายิ้ม ก่อนหันไปจับจ้องหนทางข้างหน้าต่อ เขากำลังคิดว่าเธอไม่น่าที่จะไปโผล่ยังสถานที่แบบนั้นได้ เพราะที่นั่นไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด
“คุณแม่ฉันเป็นคนตั้งให้ ท่านบอกว่ามีความหลังกับชื่อนี้ แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร ท่านบอกแต่ว่าชอบชื่อนี้เพราะว่าฟังดูเพราะดี”
“ผมก็ชอบนะ…ปรายฟ้า”
“ทำไมคะ”
“เพราะชื่อเราคล้ายกัน”
ถ้อยคำธรรมดาแต่ฟังดูไม่ธรรมดา ทำให้อมลรดานั่งอมยิ้มไปตลอดทาง เธอกำลังแปลกใจตัวว่าทำไมจึงเหมือนสนิทสนมกลมกลืนกับเขาอย่างง่ายดาย ราวกับรู้จักกันมานาน แววตาที่ทอประกายไม่ต่างไปจากน้ำในทะเลสาบจับจ้องไปยังหนทางเบื้องหน้า แลเห็นถนนคดเคี้ยวลัดเลาะเลียบช่องเขา พาให้คาดเดาไม่ถูกว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างหน้าบ้าง ถนนที่ไม่ต่างไปจากใจคน คดเคี้ยววกวนมากน้อยแตกต่างกันไป…..