บทที่ 4 ร้างลา (ตอนที่1)

2857 คำ
สัตตบงกชไม่ได้ปล่อยให้ตัวเองถูกความเศร้าครอบงำนานนัก หล่อนรู้ตัวเองดีว่าโดดเดี่ยวแค่ไหนหากอ่อนแอก็มีแต่จะย่ำแย่ ไม่มีใครหยิบยื่นมือเข้ามาประคองหล่อนหรอกนอกจากหล่อนจะพยุงตัวเองด้วยสองมือนี้เท่านั้น วันต่อมาหญิงสาวจึงหอบสังขารที่ยังไม่หายป่วยดีนักไปสมัครงานหลายที่ แต่ส่วนมากก็ปฏิเสธ กระนั้นหล่อนก็ไม่ได้นึกย่อท้อ หล่อนไม่มีสิทธิ์อยู่เฉย... หล่อนอยากทำงาน... ไม่อยากอยู่ไปวัน ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องมีเวลาให้กับความเครียดที่คอยจ้องรุมเร้าจิตใจ ควรทำใจยอมรับในชะตากรรมที่เกิดขึ้นได้เสียที แม้จะไม่ได้ตั้งตัว ในที่สุดก็ได้งานสมดั่งที่ตั้งใจเอาไว้ในช่วงบ่ายของวันนั้น แม้จะเป็นงานพาร์ทไทม์แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลย สมัยนี้การแข่งกันมันเยอะ เศรษฐกิจก็ย่ำแย่เต็มที แค่มีงานให้ทำพอได้แลกกับเงินถึงจะมากน้อยก็ควรฉกฉวยเอาไว้ก่อน ตกค่ำวันเดียวกันเด็กสาวได้เริ่มงานทันที พร้อมกับเพื่อนใหม่อีกสองสามคนในร้านอาหารแห่งหนึ่งทั้งหมดต้องสวมชุดไม่ใคร่รัดกุมนัก แต่ก็ไม่ถึงกับล่อแหลมจนน่าเกลียดเป็นสไตล์ชุดเดรสรัดรูปแบบเดียวสีเดียวกัน โดยประจำที่ตรงเคาน์เตอร์เบียร์ยี่ห้อดังยี่ห้อหนึ่ง เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่สั่งซื้อไปดื่ม พวกหล่อนรับหน้าที่กดเบียร์สำหรับลูกค้าที่สั่งเบียร์สดเป็นเหยือกหรือทาวเวอร์ขนาดใหญ่ ส่วนรูปแบบขวดหรือแคนนั้นทางร้านจะมีพนักงานเสิร์ฟคอยบริการอีกที กำหนดงานคือสามคืน... เริ่มต้นตั้งแต่เวลาสองทุ่มและเสร็จสรรพตอนเที่ยงคืน สามารถกลับบ้านได้เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนโดยไม่ต้องรอหากยังมีลูกค้าตกค้าง เพราะต้นสังกัดไม่ใช่ร้านแต่เป็นบริษัท ฉะนั้นกำหนดงานจึงขึ้นอยู่กับว่าร้านและบริษัทจะตกลงกันอย่างไร แล้วจึงจ้างให้พนักงานพาร์ทไทม์มารับงาน งานแบบนี้ไม่ใช่งานประจำอย่างเช่นที่เห็นว่ามีสาวเชียร์เบียร์อยู่ประจำร้านต่าง ๆ แต่เป็นการรับจ๊อบชั่วคราวในยามที่ทางร้านหรือลูกค้ามีการจัดเลี้ยงเนื่องในโอกาสต่าง ๆ หรือจัดโปรโมชั่นใหญ่ ดังนั้นงานจึงไม่ได้มีต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้เว้นระยะห่างจนเกินไป ข้อมูลเหล่านี้สัตตบงกชศึกษามาจากเพื่อนรุ่นพี่ซึ่งใช้เวลาว่างหลังเลือกเรียนมาทำงานพิเศษหาเงินใช้ หล่อนมองเห็นแนวทางในการอยู่รอดรำไร ดีไม่ดีอาจเก็บเงินจ่ายค่าเทอมได้ทันตอนมหาวิทยาลัยเปิด หากกินใช้อย่างประหยัดอดออม ทั้งยังสามารถหาช่องทางทำเงินในขณะเรียนได้ด้วย   “เป็นยังไงบ้างหนูนา... พอไหวไหม” สาวสวยในชุดเหมือนกันเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มในขณะที่กำลังเก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน ครบสามวันแล้วสำหรับจ๊อบนี้ สิ้นสุดการเริ่มต้นเรียนรู้งาน “ก็ดีค่ะ คิดว่าถ้ามีงานเข้ามาบ่อย ๆ คงหาเงินได้พอ ๆ กับทำงานบริษัทเลยล่ะ” หญิงสาวตอบพลางหยิบกระเป๋าใบเล็กขึ้นมากอด ในความโชคร้ายทั้งหลายแหล่ หล่อนยังโชคดีตรงที่ได้งานครั้งแรกก็เจอเพื่อนร่วมงานเป็นมิตรคอยแนะนำให้คำปรึกษาทุกอย่าง “ไม่ต้องห่วงเลย พวกเราจะช่วยหางานป้อนให้หนูนาเอง ทีนี้พอรู้จักคนเยอะนะอย่างเจ้าของร้านหรือลูกค้าประจำ เขาก็จะโทรฯ ตามเราเองเวลามีจ๊อบให้ทำ” “ดีจังค่ะ” “ไม่ต้องมาคะมาค่ะหรอกหนูนา คุยกันธรรมดาก็ได้ เออ... ว่าแต่คืนนี้ให้เราไปส่งไหม” “นั่นสิ กลับวินมอเตอร์ไซค์ทุกคืนน่ากลัวออก ยิ่งดึก ๆ ด้วย” อีกคนช่วยเสริม พวกหล่อนเดินออกจากห้องแต่งตัวของร้านที่มารับงานเพื่อจะแยกย้ายกันขึ้นรถกลับบ้านเหมือนอย่างเคย สองสาวมีแฟนหนุ่มมารับ ส่วนสัตตบงกชก็คงต้องจ้างวินมอเตอร์ไซค์เหมือนอย่างเคย “ไม่เป็นไรจ้ะ... ขอบใจพวกเธอมากนะ พี่วินคนนี้เป็นคนแถวบ้านรู้จักกันมานานแล้วล่ะ” หล่อนอธิบายแล้วก็ปลีกตัวไปหามอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จอดรออยู่หน้าร้านแล้ว รับจ๊อบสามวันได้ค่าจ้างวันละหนึ่งพันบาท หักค่ากิน ค่ารถ ค่าชุดทำงานก็เหลือเกือบสองพัน... ถือเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนัก             หล่อนออกจากที่ทำงานตอนเที่ยงคืนเศษ ๆ กว่าจะมาถึงบ้านก็เกือบตีหนึ่ง กว่าจะอาบน้ำทำโน่นทำนี่เสร็จและได้นอนก็ช่วงตีหนึ่งครึ่งไม่ขาดไม่เกิน สัตตบงกชไม่ลืมซ่อนเงินที่ได้จากการทำงานและเงินซึ่งเหลือติดตัวมาก่อนหน้าอย่างมิดชิด แม้มันจะมีไม่มากแต่ก็มีความหมาย เพราะรู้ดีว่าหากไม่ระวังตัว... เงินของหล่อนก็ไม่ปลอดภัย             เด็กสาวไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องทำงานกับมารดา เพราะไม่อยากให้นางรับรู้ถึงรายได้ และภารณีเองก็ดูไม่ได้นึกสนใจหนักหนา แทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกออกจากบ้านกี่โมงและกลับตอนไหน ขอเพียงในบ้านมีของกินที่ลูกซื้อมาตั้งไว้ให้ไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองก็พอใจแล้ว             ในตอนที่จากบ้านหลังใหญ่มาก็รู้ดีว่าบุตรสาวกลับมาตัวเปล่า ไม่ได้มีอะไรติดไม้ติดมือมามากนัก จึงไม่ระรานราวี... รอเพียงเวลาให้พิรเดชกลับมาก่อน สัตตบงกชก็อยู่กับนาง มีหรือจะหาทางทำเงินก้อนโตไม่ได้                         ความอ่อนเพลียเมื่อยล้าและบวกกับจิตใจที่ยังบอบช้ำและนอนดึกซ้ำเข้าไปอีกทำให้สัตตบงกชตื่นสายแทบทุกวัน ดีที่หล่อนซื้อกับข้าวของกินไว้ให้แม่เรียบร้อยแล้วในช่วงขากลับจากทำงาน นางจึงไม่โวยวายเอาความมากนักและไม่ค่อยได้พบหน้ากันหรอก เพราะแม่ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าของทุกวันและกลับไม่เคยเป็นเวลา บางวัน... ก็ไม่กลับ             “...” เสียงอะไรสักอย่างรบกวนนิทราอันลึกล้ำให้ค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาในวันใหม่ ดวงตาไม่คุ้นแสงค่อย ๆ ปรือตื่นและสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะเอียงศีรษะมองสำรวจไปรอบ ๆ ห้องที่หล่อนนอนอยู่ บ้านหลังนี้ในอดีตเคยใหญ่โต จึงมีห้องนอนถึงสามห้องด้วยกันไม่นับรวมถึงห้องอื่น แต่เนื่องจากขาดการดูแลจึงทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ไม่เหลือเค้าความสง่าเหมือนดังเช่นในวันวาน             “แม่... แม่ทำอะไรน่ะ...” ร่างเล็กตื่นเต็มตัวทันทีแล้วรีบสลัดผ้าห่มลุกออกจากที่นอนซึ่งวางบนพื้นไม่มีเตียงรองรับ แล้วมุดตัวออกจากมุ้งที่ครอบกันยุงออกมาด้านนอกตรงกระเป๋าเสื้อผ้าที่วางอยู่ข้าง ๆ ฝาผนังด้านหนึ่งของห้อง             “แม่!! แม่ทำอะไรกับของของหนู!”             “ก็หาเงินน่ะสิ เดี๋ยวนี้ริแอบเงินแม่นะหนูนา หน็อย... เลี้ยงไม่เชื่องจริง ๆ เลย ไหนล่ะเงิน... เอามา...” พอเห็นบุตรสาวคลานเข้ามา ภารณีก็ยื่นแบมือให้ทันที สัตตบงกชกลืนน้ำลายลงคอ เสยปอยผมทัดหูในขณะที่คิดหาวิธีการพูดให้มารดาเข้าใจ             “หนูไม่มีหรอกแม่... ไปทำงานเขาก็ยังไม่จ่ายค่าจ้างให้เลย” “แล้วเอาเงินจากไหนมาซื้อกับข้าวทุกวัน...” หากไม่ซื้อ ไม่ใช้จ่ายในบ้าน เด็กสาวก็ถูกหาเรื่องต่าง ๆ นานา ขับไล่ไสส่งเหมือนเป็นคนนอกไม่ใช่สายเลือดอีกนั่นแหละ หล่อนรู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้นจึงทำทุกอย่างเพื่อเอาใจหวังขอที่พักพิงเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ก็... เงินที่เก็บไว้ตอนอยู่บ้านพี่หงส์ มีไม่กี่ร้อยหรอกแม่ นี่ก็จะหมดแล้ว หนูเก็บไว้ซื้อกับข้าวให้แม่ไงจ๊ะ ไว้เขาจ่ายค่าจ้างวันไหน หนูจะแบ่งให้แม่... นะแม่นะ” หล่อนเอื้อมไปจับมือมารดาแล้วกระชับแผ่วเบา ฝืนยิ้มหวังเอาใจไม่ให้นางอารมณ์เสีย “ไม่ต้อง! กูจะเอาวันนี้และตอนนี้ด้วย... กูรู้ว่ามึงมี” ภารณีสลัดมือบุตรสาวออกแล้วสำรวจมองไปทั่ว “หืม... ซุกเงินเก่งตั้งแต่เล็กจนโต คิดเหรอว่าจะแอบกูพ้น” ร่างผอมลุกขยับไปตรงที่นอนซึ่งสัตตบงกชใช้นอน รื้อค้นควานหาสิ่งที่ต้องการโดยไม่สนใจบุตรสาวที่คอยกันห้ามออกปากขอร้องอยู่ตลอดเวลา “แม่... หนูไม่มีจริง ๆ แม่ พอเถอะเดี๋ยวเย็นนี้หนูเอาเงินมาให้” “หืม!” แต่แล้วก็ไม่รอด... ภารณีรื้อจิกหมอนเสียจนนุ่นด้านในกระจุย แล้วก็พบกระเป๋าเงินที่ซ่อนอยู่ด้านในจนได้ เพราะความเป็นแม่ ย่อมรู้นิสัยลูกดีกว่าใคร แม้จะไม่ได้เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ แต่เมื่อตอนยังเด็กสัตตบงกชก็อยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด “แม่! คืนหนูนะแม่ นั่นเงินหนูจะเอาไปสมัครเรียนมหาวิทยาลัย” “ปล่อยกู! โห... ตั้งเกือบสามพันแน่ะ นี่กล้าโกหกแม่เหรออีลูกเลว” “เปล่า... คือหนูจำเป็นต้องเก็บเงินจริง ๆ แต่หนูก็ซื้อกับข้าวมาให้แม่ทุกวันนะ” “จะเรียนไปทำไมเดี๋ยวก็ได้แต่งงานกับคุณเดลแล้ว เขารวยจะตาย เงินแค่นี้มันเล็กน้อยสำหรับแกนังลูกโง่... เอาไว้ได้เป็นเมียออกหน้าออกตาของเขาเมื่อไหร่ แกจะมีเงินมากกว่านี้เป็นร้อยเท่า” มือหยาบกร้านแห้งเหี่ยวดึงธนบัตรทั้งหมดออกจากกระเป๋าแล้วชักมือหลบด้านหลังทันทีไม่ยอมให้บุตรสาวได้แตะต้อง “หนูจะแต่งงานกับเขาได้ยังไง... พี่เดลเป็นสามีพี่หงส์นะแม่” “เดี๋ยวมันก็หย่าขาดกัน! และคุณเดลก็ต้องรับผิดชอบแกด้วย ไม่เชื่อคอยดูละกัน กูมีวิธีของกูแหละ... ถอย!” ว่าแล้วนางก็ลุกยืนถมึงทึง ตวาดใส่หน้าเด็กสาวและผลักร่างเล็กที่นั่งน้ำตาปริ่มจนหงายไปด้านหลัง ดีที่หล่อนใช้มือค้ำเอาไว้ทันจึงไม่ล้มไปกระแทกพื้น “แม่... แม่...” เสียงนั้นไม่ได้มีค่ามีความหมายใด ๆ เลย ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม... ความเสียใจ ความรู้สึกของหล่อนไม่เคยถูกมองเห็น มันไร้ค่าอย่างที่อ้อนเคยปรามาสเอาไว้จริง ๆ เด็กสาวยกมือขึ้นปาดเช็ดน้ำตา หมดแล้ว... เงินก้อนเดียวในชีวิตที่ตั้งใจจะเก็บออมไว้เป็นทุนการศึกษา ต่อจากนี้หล่อนต้องเริ่มต้นจากศูนย์ใหม่อีกแล้ว...   “นี่คุณ... ไอ้คนฉวยโอกาส ปล่อยฉันนะ” ร่างเล็กสะบัดตัวออกจากอ้อมแขนที่พยายามรวบรัดหล่อนเข้าสู่อ้อมกอด แต่คนตัวใหญ่กว่าก็ยอมปล่อยโดยดีไม่พิรี้พิไร เขาล่าถอยออกมายืนกอดอกพิงโต๊ะทำงานแล้วส่งยิ้มยียวน “ก็คนมันคิดถึง... ทำไมเข้าใจยากจัง” “บ้า! คุณมันบ้า” ลลินดาสวนกลับด้วยความโมโห หล่อนไม่น่าจับพลัดจับผลูยอมให้มารดาปลีกตัวไปเที่ยวกับเพื่อนของท่านแล้วทิ้งหล่อนไว้ตามลำพังเลย หล่อนน่าจะอ่านใจบุพการีออกว่าท่านต้องการอะไร พอสบโอกาสท่านมอบหน้าที่ให้อดัมเข้ามาดูแลหล่อนโดยไม่ถามความเห็นกันสักนิด ในทุก ๆ วันตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมา หล่อนถูกชายหนุ่มบังคับพามาที่ทำงานด้วยแทบทุกวัน ถ้าหล่อนไม่ยอมเขาก็หาวิธีจนได้ “ก็ไม่เถียง... เพราะอย่างนี้ใช่ไหม คุณถึงไม่เคยรักผมสักที” “...” คำถามตรงปักกลางหัวใจแบบไม่ต้องอ้อมค้อมทำให้หญิงสาวถึงกับหาคำตอบโต้ไม่ทัน “ไม่ตอบแสดงว่ารักงั้นเหรอ” เขาจี้ไม่ถอย “หึ... คนเห็นแก่ตัวอย่างคุณใครจะไปรักลง เจ้าเล่ห์ ขี้โกง ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง” “ก็แล้วแต่... ยังไงคุณก็หนีผมไม่พ้นหรอก เตรียมตัวไว้ให้ดีก็แล้วกันว่าอยากเข้าหอท่าไหนบ้าง” “ฝันไปเถอะ... อย่าคิดว่าหลอกคุณแม่ฉันได้แล้วจะมาใช้ลูกไม้ตื้น ๆ หลอกฉันได้ด้วย” หล่อนเดินออกจากโต๊ะทำงานของเขาที่นั่งเล่นอยู่พักใหญ่ เนื่องจากชายหนุ่มไปเข้าร่วมประชุม และเมื่อเสร็จธุระเขาก็เข้ามาโดยที่หล่อนไม่ทันได้ตั้งตัว “อือฮึ... แต่ตอนนี้คุณก็อยู่ในห้องทำงานผมแล้วนะ ถ้าจะลองทำให้เข้าไปอยู่ในห้องหอบ้างมันก็คงไม่ยากล่ะมั้ง” “พอเถอะ... ปวดหัว ขี้เกียจคุยด้วยแล้ว ฉันไม่ได้มาเชียงใหม่เพราะอยากมาเฝ้าคุณทำงานหรอกนะ” ลลินดาทอดร่างนั่งลงบนโซฟาชุดตรงมุมห้อง ยอมรับว่าการปรากฏตัวของดามพ์ทำให้หลาย ๆ ครั้งหล่อนลืมเรื่องเศร้าไปเสียสนิท เพราะมัวแต่เล่นสงครามประสาทกับเขา “ก็อยากไปไหนล่ะ จะได้พาไป... จะขึ้นสวรรค์ก็ยังพาไปได้เลย” “ฉันแต่งงานมีสามีแล้วนะคุณ กรุณาให้เกียรติฉันด้วย อีกอย่าง... อย่าพยายามอีกเลย คุณจะเหนื่อยเปล่า” “สามีที่คุณกำลังขอหย่าน่ะเหรอ หึ... ผมจะบอกอะไรให้นะหงส์ ว่าผมจะไม่มีวันปล่อยคุณให้กลับไปถูกมันทำร้ายจิตใจอีกหรอก” อดัมเดินอ้อมโต๊ะเข้าไปนั่งตรงเก้าอี้ทำงานที่ลลินดาเพิ่งปลีกตัวจากไป สีหน้าของเขาเคร่งขรึมจริงจังขึ้นทุกครั้งที่พูดคุยเรื่องสามีของหญิงสาว นั่นเป็นจุดอ่อน... ลลินดารู้ดี “มันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างฉันกับเขา ที่เป็นสามีภรรยากันถูกต้องตามกฎหมาย... คนนอกอย่างคุณไม่เกี่ยว เลิกตอแยฉันได้แล้ว คุณแม่กลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะกลับกรุงเทพ” “ไอ้หมอนั่นมันมีดีตรงไหนเชียว... คุณถึงหลงมันจนหัวปักหัวปำ” “ฉันไม่ได้หลง... ฉันรักเขา และพี่เดลเป็นคนดี” ชายหนุ่มหน้าตึงไปชั่วครู่ ก่อนจะแสยะยิ้มร้าย “คนดี... ที่เข้าห้องไปนอนกับหลานของเมียอย่างนั้นเหรอ พูดอย่างนี้คงคิดอยากกลับไปหามันจนตัวสั่นแล้วสิท่า” “เขาอาจไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นต์... และการที่เขาทำเลวก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องหมดรักเขา ฉันเสียใจ... ผิดหวัง แต่ความรู้สึกที่มีให้พี่เดลยังเหมือนเดิมเสมอ เพราะเขาไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์อย่างคุณที่ทำทุกอย่างเพื่อสนองความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจใครเลย” น้ำเสียงแน่วแน่กล่าวไม่มีติดขัด ดวงตาวาววับจ้องมองหน้าคมที่มองสวนกลับมาไม่ลดละ “อะไรคือเจ้าเล่ห์... อะไรคือทำทุกอย่างเพื่อตอบสนองความต้องการ...” ชายหนุ่มยักคิ้วแล้วส่ายหน้ากวน ๆ ทำเหมือนไม่รู้ไม่รับทราบข้อกล่าวหานั้น “หึ... แล้วที่จัดโครงการประมูลสร้างรีสอร์ต ล่อให้พี่เดลยื่นซองประมูลแล้วชนะมันคืออะไร ไหนจะหลอกล่อให้คุณแม่พาฉันมาพบคุณถึงที่อีก ตอนนี้ฉันก็มานั่งอยู่ในห้องทำงานของคุณสมกับที่คุณต้องการ ยังมีหน้ามาถามอีกเหรอว่าอะไร...” “ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดนะ... แล้วผมก็อธิบายไปหลายรอบแล้วในสองอาทิตย์นี้” คนตอบเปลี่ยนกิริยา วางปากกาที่กำลังจะเริ่มตรวจงานแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “งานก็ส่วนงาน ผมไม่ได้หลอกล่อให้เขามาประมูลสักหน่อย และที่เขาได้มันก็ฝีมือของเขารวมถึงปัจจัยที่เสนอเข้ามา คุณคิดว่าผมจะเอาเงินร้อยล้านไปทุ่มเพื่อแลกกับการได้แกล้งสามีคุณหรือไง” “ฉันไม่มีวันเชื่อหรอก หรือไม่แน่... คุณอาจเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดก็ได้ เพราะคนอย่างคุณมันทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว” “ไปกันใหญ่... เฮ้อ! ก็แล้วแต่จะคิดนะ อ้อ... ส่วนเรื่องคุณแม่คุณก็เหมือนกัน ท่านทราบว่าผมเพิ่งกลับจากเมืองนอกก็เลยติดต่อให้ช่วยดูแลตลอดทริปที่มาพักเชียงใหม่ เพราะเรามันก็คนคุ้นเคย... กันดีอยู่แล้วจริงไหม” ประโยคสุดท้ายนั้นชายหนุ่มจงใจยั่วยวนให้หญิงสาวคับข้องอึดอัดใจ หล่อนจะได้รู้ว่าการปะทะฝีปากกับเขาโดยการคิดเองเออเองมันไม่ใช่บทสรุปของความจริงทั้งหมด และอะไรที่เป็นความจริง... หล่อนก็ต้องยอมรับไม่อาจปฏิเสธได้ หญิงสาวไม่ตอบโต้กลับ เหนื่อยใจที่จะตอบโต้กับคนดันทุรังอย่างอดัม หล่อนถอนหายใจแล้วหยิบหนังสือแฟชั่นขึ้นมาอ่านแก้เซ็งในระหว่างที่รอเขาเคลียร์งานเสร็จ ชายหนุ่มเองเมื่อเห็นดังนั้นก็หยิบปากกาขึ้นมาอีกครั้งก้มหน้าให้กับเอกสารกองโตที่วางให้ตรวจตรา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม