บทที่ 6 คนแปลกหน้า

1093 คำ
จิ้งจอกเก้าหางเฝ้าบำเพ็ญเพียรในถ้ำอันมืดมิดความสว่างที่หาได้มีเพียงแสงจากแมงกะพรุนไฟที่ลอยวนเวียนอยู่ใต้น้ำเท่านั้น แม้กระนั้นนางก็หาได้แยแสที่จะแสวงหาความสว่างอันใด ภายในถ้ำแห่งนี้หนาวเย็นยะเยือกแต่เพราะว่านางเป็นจิ้งจอกความหนาวเย็นจึงไม่อาจเล่นงานนางได้ ขนที่ปุกปุยอบอุ่นของนางนับว่ามีประโยชน์ไม่น้อย หนึ่งพันปีผ่านพ้น สัญญาณที่บ่งบอกว่าเวลาหนึ่งพันปีได้ผ่านไปแล้วคืออาการหิวของนาง จิ้งจอกเก้าหางน้อยรู้ว่าตนเองยังไม่กลายเป็นเซียนจึงข่มใจบำเพ็ญเพียรต่ออีกหลายวันจวบจนสุดท้ายนางไม่อาจอดกลั้นความอยากอาหารได้อีกต่อไป ไข่มุกวิเศษคงสิ้นฤทธิ์แล้วนางจึงได้หิวจนทนไม่ไหวเช่นนี้ จิ้งจอกเก้าหางลืมตาขึ้น นางกระแอมส่งเสียงดังฉับพลันเจ้าแมงกะพรุนไฟก็ลอยมาอยู่ตรงหน้า จิ้งจอกเก้าหางรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดจู่ๆ วันนี้เจ้าแมงกะพรุนไฟสหายเพียงหนึ่งเดียวในสถานที่อันมืดมิดแห่งนี้ถึงได้เชื่อฟังนางนัก ปกติหากนางต้องการแสงสว่างเพื่อผ่อนคลายต้องกระแอมส่งเสียงอยู่หลายทีกว่าจะมีสัตว์ตนใดโผล่มา หรือว่าเป็นเพราะสัตว์น้ำพวกนี้สัมผัสได้ว่าคงถึงเวลาจากลากันจริงๆ แมงกะพรุนไฟพันปีจึงมารอส่งนางถึงที่นี่กัน จิ้งจอกเก้าหางบิดกาย หางที่วางราบอยู่บนพื้นถ้ำมาเนิ่นนานเริ่มกระดิก นางขยับร่างกายอยู่ชั่วครู่เพื่อให้เคยชินเวลากว่าหนึ่งพันปียาวนานไม่ใช่น้อยขาของนางจึงดูไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้ จวบจนในที่สุดนางก็โคจรพลังไปรอบร่างกายจนสามารถยกหางฟูฟ่องดุจมวลกลุ่มเมฆของตนขึ้นมาได้ นางมองเห็นหางของตนเองแล้วถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยวาจาสั้นๆ อย่างผิดหวังกับตนเอง "เหตุใดข้าถึงยังเป็นจิ้งจอกอยู่เล่า" พลันปรากฏเกลียวคลื่นใหญ่ภายใต้สายน้ำนางเพ่งพินิจเกลียวคลื่นแล้วจำได้ว่าเวลาเจ้าแม่กวนอิมจะไปยังที่ใดในมหาสมุทรแห่งนี้มักจะมีเกลียวคลื่นนี้นำทาง นี่ก็คงเป็นเกลียวคลื่นที่เจ้าแม่มีน้ำใจส่งมารับนางกลับ ถือเป็นน้ำใจครั้งสุดท้ายก่อนจากลากระมัง จิ้งจอกเก้าหางลุกขึ้นแล้วกระโดดเข้าไปในคลื่นนั้นทันใด หลับตาเพียงชั่วประเดี๋ยวคลื่นยักษ์นั้นก็พานางขึ้นมาส่งยังหน้าตำหนักทักษิณ นางลืมตาขึ้นพบหน้าคนคุ้นเคยที่คอยเฝ้าประตูด้านหน้า สุนัขจิ้งจอกเก้าหางจึงส่งยิ้มทักทายเซียนเหล่านั้น เวลาหนึ่งพันปีไม่มากเลยใช่หรือไม่ผู้คนยังคงดังเดิม แม้แต่เทพเซียนผู้เฝ้าประตูก็ยังคงเป็นท่านเดิม น่าแปลกใจที่เซียนทุกท่านกลับมองนางด้วยความประหลาดใจ ดวงตาพวกเขาช่างห่างเหินไม่คุ้นเคยเรียกว่าไม่รู้จักเลยจะดีกว่า แม้นางจะกล่าวทักทายหาได้มีผู้ใดกล่าวตอบแม้แต่คำเดียว ประเดี๋ยวก่อนนางกล่าวทักทายได้ด้วยหรือ จิ้งจอกเก้าหางกลอกตามองไปมา เหล่าเซียนทั้งหลายยังคงยืนนิ่ง หลายคนทำท่าระแวดระวัง "นี่ข้าเองเจ้าก้อนเมฆอย่างไรเล่า จำข้าไม่ได้หรือเหตุใดพวกท่านทำท่าทางเหมือนข้าเป็นคนแปลกหน้าเล่า" นางเห่าออกมาเสียงดัง กระนั้นก็ไร้การตอบรับจากเซียนผู้ใด "เจ้าแม่ศิษย์กลับมาแล้ว" นางเห่าออกมาทักทายอีกครั้ง เอ๊ะ ผู้ใดกำลังแปลข้อความของนางอยู่กันนะ นางแน่ใจว่าได้ยินคนแปลสิ่งที่นางเห่าอยู่เสียงนั้นหวานใสดั่งเพลงพิณที่นางชอบฟัง เซียนผู้มาคอยช่วยนางเช่นนี้เหตุใดไม่เผยตัว เพียงนางเห่าออกไปเทพเซียนผู้นั้นก็หยั่งรู้พูดพร้อมกับนางเลยทีเดียว ช่างเก่งกาจและน่านับถือยิ่ง จิ้งจอกน้อยได้แต่คิดว่าในเมื่อมีผู้คอยช่วยนางจะได้ร่ำลาเจ้าแม่และทุกคนได้เต็มปากเต็มคำ แค่คิดก็เศร้าจนน้ำตาไหล วาสนาของนางคงสิ้นสุดเพียงเท่านี้ "เจ้าคือผู้ใด" เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้น พร้อมทหารอีกหลายคนที่ยกกระบี่ชี้มาทางนางเตรียมทำท่าป้องกันด้วยแววตาสงสัย "ข้าคือเจ้าก้อนเมฆอย่างไรเล่าข้าบอกพวกท่านไปแล้ว เหตุใดถึงได้ลืมข้าง่ายดายเช่นนี้" นางเอ่ยพร้อมก้าวขาเข้าไปภายในอย่างช้าๆ ในใจพลางคิดว่าเซียนผู้นั้นพูดตามนางแทบจะทุกประโยคเช่นนี้ก็ดีแล้วการสื่อสารระหว่างนางและเซียนผู้อื่นจึงง่ายขึ้นกว่าเดิม "หยุดอยู่ตรงนั้น ข้าไม่เคยเห็นหน้าเจ้ามาก่อนมีธุระอันใดก็ให้เอ่ยมา" เทพเฝ้าประตูผู้นั้นยังคงทำเหมือนนางเป็นคนแปลกหน้าทั้งที่ก่อนที่นางจะลงไปบำเพ็ญเพียรเขาชอบเกาคางนางที่สุด หากเห็นหน้าก็ต้องเรียกมารับขนมไม่ได้ขาด "ท่านเซียนข้าเอง เจ้าก้อนเมฆ" จิ้งจอกเก้าหางส่ายก้นทำท่าน่ารักอย่างที่ชอบทำเวลาเล่นกับเขาเผื่อว่าเขาจะจดจำนางได้ เซียนเฝ้าประตูผู้นั้นอ้าปากค้าง รู้สึกแปลกประหลาดที่จู่ๆ สตรีผู้นี้ก็ทำท่าส่ายก้นอวดสายตาผู้อื่นอย่างไร้ยางอาย ใบหน้าของเขาแดงก่ำแม้จะเป็นเซียนยังไม่สามารถทานทนเสน่ห์ความน่ารักและงดงามภายใต้ท่าทางประหลาดของนางได้ สตรีผู้นี้มีพลังเซียนชั้นสูงแม้จะยังไม่สามารถบรรลุจนถึงชั้นเทพได้แต่พลังเซียนของนางเขารู้ดีว่าแข็งแกร่งจนตนเองก็ไม่อาจต่อกรได้ รอบกายของนางมีไอร้อนสีขาวพวยพุ่งออกมารุนแรง รูปร่างบอบบางผมสยายดำขลับดวงตาสุกใสเปล่งประกายยั่วยวนดึงดูดวิญญาณเทพเซียนและผู้คนใบหน้างดงามเหนือหญิงใดในแดนสวรรค์ ชุดขาวที่ห่อหุ้มร่างบางคล้ายกลีบบุปผาสีขาวห่อหุ้มคลุมกายตลอดทั้งร่าง ผิวพรรณราวหิมะของนางดูจะกลืนไปกับอาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์นั้นจนไม่อาจแยกแยะว่าสิ่งใดคือผิวกายสิ่งใดคืออาภรณ์ แม้จะขาวผ่องประดุจหยกขาวไร้ราคีเช่นนั้นแต่สองแก้มกลับแดงระเรื่อเปรียบดั่งดอกกุหลาบต้องหยดน้ำค้าง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม