กระทั่งเมื่ออีกคนทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ถึงได้ร้องถามเขาออกไปเบาๆ ยังไงเขาก็เป็นผู้ชาย ไว้ใจได้ง่ายๆ ที่ไหนกัน
“ถ้าคุณเดือนไม่ยั่ว…ผมรับรองว่าจะอยู่ในที่ของผมอย่างสงบครับ” พิชญะตอบกลับหน้ากวน ก่อนจะส่งยิ้มให้คนอีกฝั่งอย่างล้อเลียน
“ฉันไปยั่วคุณเมื่อไหร่กัน!” ซึ่งเมื่อได้ยินหญิงสาวก็กรีดร้องขึ้นเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจนอนหันหลังให้คนช่างยั่วที่ก็ไม่รู้เป็นบ้าอะไรถึงได้ชอบพูดให้เธอต้องอายเรื่อย
คนบ้า! ถ้าไม่เมาเธอไม่มีทางไปยั่วเขาหรอก!
หญิงสาวคาดโทษในใจก่อนจะลืมตาแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดนานนับนาที เธอไม่ชินกับการที่ต้องมานอนร่วมห้องกับคนอื่นแบบนี้ แม้คนอื่นที่ว่าจะเป็นสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายก็เถอะ ยังไงก็ไม่ชินอยู่ดี
พิชญะเองก็กำลังรู้สึกไม่ต่างกัน เขาเอาแต่นั่งมองแผ่นหลังของคนที่ได้ชื่อเป็นภรรยาด้วยความรู้สึกมากมายที่วนเวียนอยู่ภายในหัวไม่รู้จบ แม้ปากจะบอกว่ายินดีรับผิดชอบ
แต่ลึกๆ ภายในใจก็ยังรู้สึกกังวลถึงความแตกต่างกันที่มีมากจนเกินไประหว่างเขากับพิณรัมภาไม่ได้อยู่ดี
คนสองคนจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างไรให้มีความสุขเขาก็ยังนึกไม่ออก เพราะโดยปกติแล้วชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยมีใครต้องมานั่งคอยดูแลใส่ใจ นับตั้งแต่เสียคนรักไปในครั้งนั้น ชีวิตของเขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด มันจึงเป็นเรื่องที่ยากที่ต้องเริ่มต้นใหม่กับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้ชอบ
แต่เขาเชื่อว่าสักวันทุกอย่างมันต้องดีขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อเด็กตาดำๆ ที่กำลังจะเกิดมา คิดถึงลูกเลยพลอยทำให้รอยยิ้มเผยขึ้น แน่นอนว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าแกเป็นภาระที่ต้องแบกรับเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ลูกคือสิ่งที่ดีงาม และเขาจะทำทุกอย่างให้ลูกมีแต่ความสุขเท่าที่เขาจะทำมันได้
แม่ของลูกเองก็เช่นกัน…
พิชญะสะดุ้งตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอาเจียนอย่างรุนแรงที่ดังออกมาจากห้องน้ำแต่เช้า ชายหนุ่มช่วยลูบให้ว่าที่คุณแม่ให้อย่างอ่อนโยน ยิ่งพอได้เห็นใบหน้าซีดเซียวของเธอก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นห่วง
“ไหวไหมครับคุณเดือน อาการไม่ดีขึ้นเลยแบบนี้ผมว่าไปหาหมอดีกว่าครับ” เขาเอ่ยถามขณะช่วยประคองว่าที่คุณแม่เดินกลับมาที่เตียง
“ยังไหวค่ะ ปกติช่วงเช้าจะเป็นแบบนี้แทบทุกวัน พอสายๆ หน่อยก็ดีขึ้นเองค่ะ ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณต้องพลอยตื่นขึ้นมาด้วยแบบนี้” พิณรัมภาตอบพร้อมจ้องมองอีกคนอย่างรู้สึกผิดที่เสียงอาเจียนของเธอทำให้เขาต้องตื่นขึ้น ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเขาไม่จำเป็นต้องสนใจเธอก็ได้
“จะมาขอโทษผมทำไมกันครับ คุณเป็นภรรยาของผม หน้าที่ดูแลคุณกับลูกก็ต้องเป็นของผมอยู่แล้ว” พิชญะตอบกลับก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนให้อีกคน เขาค่อยๆ ผ่อนร่างเธอให้นั่งลงที่เตียง ทุกการกระทำเป็นไปอย่างช้าๆ เพราะกลัวจะเกิดผลกระทบต่อคนที่กำลังอ่อนแรงลง
“เช้านี้อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ”
เมื่ออีกคนถาม พิณรัมภาก็ตอบกลับไปอย่างไม่คิดที่จะเรื่องมาก แค่เขาดูแลเธอทุกฝีก้าวแบบนี้เธอก็เกรงใจจะแย่แล้ว
“วันนี้ผมมีประชุมทั้งวัน คุณเดือนอยู่คนเดียวได้ไหมครับ” เสียงของคนที่ปกติไม่ค่อยจะพูดมากนักยังคงดังมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ นั่นทำให้คนที่กำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆ รอข้าวเช้าตามคำสั่งกลับมามีสติอีกครั้ง
“ได้ค่ะ คุณอย่าห่วงไปเลยค่ะ” ฉันอยู่คนเดียวจนชินแล้ว พิณรัมภาเติมคำเหล่านี้แค่ภายในใจ ชีวิตเธอถ้าไม่อยู่คนเดียวนี่สิถึงแปลก
“ถ้ามีอะไรโทรหาผมนะครับ ผมเป็นห่วง” หญิงสาวพยักหน้ารับก่อนจะนั่งทานข้าวต้มที่อีกคนเข้าครัวทำให้ไปอย่างเงียบๆ กระทั่งทานเสร็จจึงอาสาเป็นคนล้างจาน ไล่ให้เขาเข้าไปอาบน้ำเตรียมตัวไปทำงาน
พิชญะทำทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง หากไม่เป็นเพราะวันนี้เขามีนัดประชุมกับตัวแทนผู้ถือหุ้นรายใหม่เขาคงเลือกหยุดงานเพราะเป็นห่วงภรรยา ที่สีหน้าของเธอไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไหร่
“คุณอยู่คนเดียวได้จริงๆ นะครับคุณเดือน ผมว่าเดี๋ยวผมส่งคนมาอยู่เป็นเพื่อนดีกว่า” แม้ขาจะก้าวพ้นประตูห้องไปแล้ว แต่ความห่วงใยกลับไม่ได้หายไปไหน สิ่งเหล่านั้นทำให้พิณรัมภาอบอุ่นหัวใจอยู่ไม่น้อย
“ฉันอยู่คนเดียวได้จริงๆ ค่ะ อย่าลำบากทำเรื่องยุ่งยากแบบนั้นเลยนะคะ เอาเป็นว่าถ้าฉันอาการหนักจนรู้สึกแย่ ฉันจะรีบโทรบอกคุณ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ไม่อยากเป็นตัวถ่วงชีวิตเขามากไปกว่านี้
“ก็ได้ครับ แล้วผมจะรีบกลับ อย่าลืมทานข้าวกลางวันนะครับ” เมื่ออีกคนยืนยันเช่นนั้นพิชญะจึงค่อยเบาใจ เขาเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินออกไปทำงาน ทิ้งให้อีกคนยืนมองภาพนั้นจนเขาหายลับสุดสายตาไป
“อย่าห่วงไปเลยนะคะคุณหมอก ฉันอยู่คนเดียวได้จริงๆ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นไล่หลัง แม้จะรู้ว่าอีกคนคงไม่มีโอกาสได้ยินมันแล้วก็ตามที
พิชญะเดินทางมาทำงานเหมือนปกติ สิ่งเดียวที่เหมือนจะรบกวนจิตใจเขาเห็นทีจะหนีไม่พ้นแม่ของลูกที่เพิ่งจะวางสายไปหลังจากเพิ่งโทรไปสอบถามอาการของเธอเมื่อมาถึงห้องทำงาน
“ทุกคนมากันครบรึยังครับคุณปันตา” ชายหนุ่มเอ่ยถามปันตา เลขาคนใหม่เมื่อมาถึงห้องประชุม
“ยังค่ะท่านประธาน ยังขาดตัวแทนจากบริษัทสตีฟวันค่ะ แต่เมื่อสักครู่เธอโทรมาบอกว่าอาจจะมาถึงช้าหน่อยเพราะรถติดค่ะ” ชายหนุ่มไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาให้หุ้นส่วนคนอื่นๆ ได้เห็น แม้ความจริงแล้วเขาจะเป็นคนชอบคนที่ตรงต่อเวลา ผิดครั้งแรกเขาพอให้อภัยได้ แต่ถ้าหากมีครั้งต่อไปเห็นทีคงต้องกลับมาคิดใหม่ถึงการร่วมหุ้นกัน
คิดยังไม่ทันจบเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น ก่อนร่างสูงโปร่งของคนที่ทุกๆ คนกำลังรออยู่จะเดินตรงเข้ามา…
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะที่ดิฉันมาสาย” เสียงนั้นแสนจะคุ้นหูมากเสียจนพิชญะต้องหันกลับไปมองก่อนที่ดวงตาของเขาจะสั่นไหวยามเมื่อได้เห็นใบหน้าของเจ้าของน้ำเสียงอันแสนคุ้น เคยด้วยตาตัวเอง
“กุล…”