และระหว่างที่ฉันกำลังนั่งทำหน้าบึ้งเพราะหงุดหงิดที่ได้เจอกับศัตรูระหว่างพักที่ห้องเก็บตัวนางแบบอยู่นั้นพี่ส้มโอก็วิ่งหน้าแป้นมาหา
“ตายจริง ขวัญรู้จักคุณภัทรติณด้วยเหรอ?”
“คะ?” ฉันถามอย่างไม่อยากเชื่อ
อย่ามาพูดชื่ออัปมงคลนั้นใกล้ๆ หูฉันเชียว
“คุณติณน่ะ เขาถามหาเธอ”
“ถามหาหนูเหรอคะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ เขารออยู่ข้างนอกแน่ะ ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีเยอะเลย เจ้จะเป็นลม”
จะมาหาเรื่องอะไรฉันอีกล่ะ?
ดูจากสายตาของเขาเมื่อกี้แล้ววันนี้ไม่น่ามาดีแน่ แต่เจอสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ทวงโทรศัพท์ฉันคืน!!
ว่าแล้วฉันก็หยิบเสื้อคลุมมาคลุมตัวให้มิดชิดก่อนจะเดินออกไปเผชิญหน้ากับเขา
ภัทรติณในชุดสูทสีดำเนี้ยบเรียบเป๊ะกำลังยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะแสงไฟนีออนในตอนนี้สว่างกว่าแสงสีในผับเมื่อคืนก่อนหรือเปล่า ที่ทำให้ฉันมองว่าเขาดูดีกว่าวันนั้นมาก
ถ้าตัดนิสัยแย่ๆ ออกไปได้ ต้องยอมรับเลยว่าเขาคือผู้ชายที่มีเสน่ห์ล้นเหลือที่หาตัวจับยากเลยทีเดียว
“อ้าว ใส่เสื้อคลุมแล้วเหรอ? นี่ผมกะมาดูของดีใกล้ๆ เลยนะเนี่ย”
หึ หล่อแต่หน้าสันดานหื่นจริงๆ นี่คือคำที่เขาใช้ทักทายผู้หญิงที่เพิ่งเจอเหรอ เสื่อมมาก
“โทรศัพท์ฉันล่ะ?” ฉันถามตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม
ถึงแม้จะไม่คาดหวังว่าเขาจะมาโผล่ที่นี่เพราะเพื่อจะเอาโทรศัพท์มาคืนฉันหรอก
“หึ” ติณยิ้มมุมปาก “ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัวนึกว่าจะมีอะไรน่าสนใจ ที่แท้ก็เป็นพวกชอบโชว์”
ฉันหายใจเข้าลึกๆ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไม่ให้ระเบิดเพราะยังอยู่ในเวลางาน ไอ้ที่เขาเพิ่งพูดมาน่ะ แรงอยู่นะ!
“นี่คุณ ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ชอบฉันเอามากๆ นะ ฉันไปทำอะไรให้คุณเกลียดนักหนาเหรอ”
ฉันเอ่ยถามอย่างเอาเรื่อง
“อ๋อ หรือเพราะว่าฉันไม่มีเงินจ่ายคุณคืนนั้น คุณก็เลยมาคอยตามล้างตามเช็ดฉันไม่เลิก ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเศรษฐีอย่างคุณจะยึดติดกับเงินแค่สองพันกว่าบาท หน้าเลือดจริงๆ”
ใช่ค่ะ และนี่คือฉันอดทนแล้ว ถ้าฟีลขาดจะแรงกว่านี้
แต่คนตรงหน้ากลับหัวเราะในลำคอ ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านในคำด่าของฉันใดใดทั้งสิ้น เหอะ สงสัยจะโดนคนด่าจนชินแล้วมั้้ง
“คุณรู้ใช่ไหมว่าผมเป็นใคร?”
ต๊าย คำถามหลงตัวเอง
“ใช่ แล้วไง?” ฉันตอบโพล่งออกไป “คุณเป็นใครแล้วยังไงคะ? เป็นคนรวยแล้วมีอำนาจเหนือคนอื่นเหรอ? ฉันจะต้องเคารพคุณเหรอ? หรือว่าต้องคลานเข่าเข้าไปกราบคุณดี?”
ติณไม่ตอบอะไร เขาล้วงมือเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือเคสสีชมพูจ๋าของฉันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
นั่นไง! เขาเป็นคนเอาโทรศัพท์ฉันไปจริงๆ ด้วย!
“เอาคืนมานะ”
ฉันพุ่งเข้าไปเพื่อจะเอาโทรศัพท์คืน แต่อีตาติณดันชูหนีขึ้นด้านบนก่อน
กรี๊ดดดด ตัวก็สูงยังกับเปรต เวรจริงๆ แต่ฉันไม่ยอมแพ้หรอก! ตอนเด็กๆ ฉันเคยเป็นแชมป์แชร์บอลนะจะบอกให้
แต่ไม่ว่าฉันจะกระโดด หลอกล่อ หรือเอื้อมมือเพื่อแย่งโทรศัพท์จนจักแร้แทบขาด ก็ไม่สามารถแตะต้องได้แม้แต่เงาของโทรศัพท์ได้เลย เจ็บใจนัก ทั้งๆ ที่เห็นมันอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ
“นี่คุณ!” ฉันเริ่มโมโห “ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นคุณนะ”
“ผมก็ไม่ได้เห็นว่าคุณเป็นเพื่อนเล่น...”
อีตาติณไม่พูดเปล่า เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับใช้สายตาที่ไม่ต่างอะไรกับแวมไพร์กระหายเลือดมองมายังเนินอกของฉันที่เสื้อคลุมเลื่อนหลุดไปตอนที่แย่งโทรศัพท์จากเขา
ฉันรีบกระชับเสื้อให้ขึ้นมาปกปิดร่างกายตัวเองทันที
ถึงแม้ว่าเขาจะเห็นฉันบนเวทีแล้ว แต่ตอนนั้นมันคือการทำงาน เขาไม่ควรจะได้เห็นอะไรนอกเหนือไปจากนั้น และกว่าที่ฉันจะรู้ตัวหลังฉันก็ติดกับกำแพงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
เดี๋ยวนะ นี่ฉันจนมุมได้ไง!
“อย่าทำเป็นอายหน่อยเลยน่า ผู้หญิงอย่างคุณคงผ่านอะไรมาเยอะแล้ว ไม่ต้องเสแสร้งหรอก”
ติณก้มลงมากระซิบเบาๆ ข้างหู ทำเอาฉันขนลุกวาบ
“คุณไม่รู้จักฉันสักหน่อย อย่ามาทำเป็นรู้ดีเลย”
ฉันจ้องเขาตาเขม็ง พยายามทำเหมือนไม่กลัว แต่ในใจกลับรู้สึกประหม่ามาก
ไม่อยากอยู่ใกล้เขาในระยะประชิดแบบนี้เลย ให้ตายสิ
“ผมรู้จักผู้หญิงแบบคุณดี”
“ผู้หญิงแบบฉันเป็นยังไง?”
ติณแสยะยิ้ม เขาเอามือมาจับชุดคลุมฉันแล้วค่อยๆ เลื่อนมันออก เผยให้เห็นไหปลาร้าไปจนถึงหัวไหล่ที่ขาวเนียนของฉัน
ฉันได้แต่ยืนนิ่ง ทำอะไรไม่ถูก
เขากำลังดูถูกฉัน!
ติณยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น เขาเลื่อนมือมาจับที่ผิวของฉันแล้วลูบไล้มันไปมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับพูดว่า
“ก็ผู้หญิงที่ใช้ร่างกายแลกเงินไง...”
คำตอบของเขาทำให้ฉันฟีลขาด ฉันใช้สองมือผลักเขาออกไปจากตัวแล้วมองเขาอย่างไม่พอใจ
“ฉันไม่สนหรอกนะว่าคุณจะมองฉันเป็นผู้หญิงยังไง เพราะคุณไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องแคร์ความคิดของคุณ และฉันจะไม่เสียเวลาคุยกับคุณอีกต่อไปแล้ว คืนโทรศัพท์และกระเป๋าฉันมา แล้วไปให้พ้นๆ หน้าฉันสักทีเถอะ”
แต่ก่อนที่เราสองคนจะได้พูดจาเชือดเฉือนอะไรกันอีก ก็มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นขัดจังหวะ
“อ้าว ติณ มาอยู่นี่เอง มีอะไรกันเหรอคะ?”