เวลาล่วงเลยมาถึงตอนส่งตัวบ่าวสาว ซึ่งก็หมายถึงหน้าที่ของเธอในวันนี้หมดลงแล้ว อัญญาดายืนมองประตูเรือนหอที่ค่อยๆปิดลง หญิงสาวยิ้มน้อยๆให้กับชีวิตใหม่ของเพื่อนสาวที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น ในความโชคร้าย อริสรา ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง อย่างน้อยเพื่อนสาวของเธอก็ยังได้แต่งงานกับคนที่ตัวเองรักซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่ามันเป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงทุกคน
แม้แต่เธอเองก็ยังเฝ้าฝันอยู่เสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้แต่งงานกับคนที่เรารักและเขาก็รักเรา ช่วยกันสร้างครอบครัวเล็กๆอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข แต่ก็เท่านั้นแหละขึ้นชื่อว่าความฝันมันก็เป็นได้แค่ฝันจะกลายเป็นเรื่องจริงได้อย่างไร หญิงสาวเหยียดยิ้มหยันให้กับโชคชะตาของตัวเอง การใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่ใช่เรื่องง่าย มันทั้งท้อ เหนื่อยและเดียวดาย หลายๆครั้งที่เธอต้องนั่งร้องไห้อยู่เพียงลำพังเพราะน้ำตาเป็นเพียงสิ่งเดียวที่จะสามารถระบายความอักอั้นของเธอออกมาได้
แต่เพราะใครคนหนึ่งที่ทำให้เธอไม่เคยรู้สึกหวาดกลัว เขาเป็นเหมือนสายน้ำเย็นที่คอยชโลมหล่อเลี้ยงหัวใจของเธอให้ชุ่มฉ่ำอยู่ตลอดเวลา แม้บางครั้งมันอาจจะเย็นจนหนาวเหน็บไปบ้าง แต่เธอก็สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้เพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มบางๆจากเขาส่งมาให้ เธออยากดูดีขึ้นก็เพราะเขา อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นก็เพราะเขา เพื่อไม่ให้เขาต้องอายใครเวลาที่เดินอยู่เคียงข้างเธอ แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอหวังเมื่อข้างกายของเขาไม่ได้มีไว้ให้เพียงแค่เธอ และที่สำคัญเขาอยู่สูงเกินกว่าที่เธอจะดึงเขาลงมา ซึ่งมันก็คงดูเห็นแก่ตัวมากจนเกินไป ความรักของเธออาจจะไม่สุขสมหวังเหมือนใครๆแต่เธอจะไม่มีวันยอมให้คนที่เธอรักต้องลำบากอย่างแน่นอนไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม
“มีความสุขมากๆนะริษา...” เสียงหวานเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาฝากผ่านสายลมเพื่อส่งไปถึงเพื่อนรักที่อยู่ด้านในห้องหออันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ต่อจากนี้ไป ก่อนที่เธอเองจะหันหลังกลับพร้อมๆกับที่โทรศัพท์เครื่องสวยที่ถืออยู่ในมือส่งเสียงเรียกร้องเร่งเร้าให้เธอกดรับสาย
“ค่ะ พี่อัฐ อัญกำลังลงไปค่ะ” อัญญาดากดรับพลางเดินลงบันไดเพื่อลงไปยังชั้นล่างของบ้าน ในเวลานี้แขกเริ่มทยอยกลับกันไปหมดแล้วมีบ้างเป็นบางส่วนที่ยังยืนคุยกันอยู่ หญิงสาวเดินลัดเลาะสนามหญ้าข้างลานน้ำพุอันเป็นสถานที่ที่ใช้จัดงานในวันนี้ ไปยังประตูเล็กที่ชอบเห็นเพื่อนสาวใช้เข้าออกอยู่เป็นประจำเวลาที่เธอมารับอริสราไปเที่ยวหรือทำงาน เมื่อเดินออกมาถึงก็เจอกับรถยุโรปคันหรูสีดำจอดรออยู่พอดี อัฐพลเองก็เลื่อนกระจกลงมายิ้มให้ อัญญาดายิ้มรับก่อนจะรีบเดินอ้อมไปขึ้นรถทางฝั่งข้างคนขับทันที
“วันนี้อัญสวยมากเลยนะ เอาซะพี่หวงเลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มทักขึ้นเมื่อหญิงสาวขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว พลางค่อยเคลื่อนรถขับออกไป ในขณะที่อัญญาดาเองก็ตอบกลับทีเล่นทีจริงแต่ข้างในก็ยังแอบหวังอยู่ลึกๆ
“แล้วปกติไม่หวงเหรอคะ?”
“ก็...หวงทุกวันนะ อัญสวยขนาดนี้พี่ก็ต้องหวงเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว” อัฐพลยิ้มหวานพลางหันมายีผมของอัญญาดาเล่น จนหญิงสาวต้องเบี่ยงตัวหลบก็ผมทรงนี้ช่างเขาทำให้ตั้งนานกว่าจะออกมาสวยซะขนาดนี้เดี๋ยวก็ยุ่งหมดกันพอดี เธอสู้อุตส่ารักษามาได้ทั้งวัน
“แล้วระหว่างอัญกับคุณต้นข้าว พี่อัฐหวงใครมากกว่ากันล่ะคะ?” อัญญาดาถามหยั่งเชิงดู เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าชายหนุ่มให้ความสำคัญกับใครมากกว่า
“อัญ!มพี่เคยบอกแล้วไงว่าอย่าเอามาเปรียบเทียบกัน อัญก็รู้ว่าพี่ไม่ชอบ!”
“อัญขอโทษค่ะ อัญก็แค่อยากรู้” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วพลางหันหน้าไปมองทางอื่น แม้ว่าวิวยามค่ำคืนจะไม่น่ามองเท่าไหร่นักก็ตาม
อัฐพลหน้าเสียทันทีที่หญิงสาวข้างกายเงียบไป นึกอยากจะตบปากตัวเองซะเหลือเกินที่เผลอตะคอกใส่เธอแบบนั้น ทั้งๆที่ทุกอย่างไม่ใช่ความผิดของเธอแม้แต่น้อย
“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจขึ้นเสียงใส่อัญแบบนั้นนะ พี่ก็แค่ไม่อยากให้อัญเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเท่านั้นเอง”
“อัญเข้าใจค่ะ”
หญิงสาวตอบรับแต่ก็ไม่ได้หันหน้ากลับมาหาชายหนุ่มแต่อย่างใด
“อัญอย่าโกรธพี่เลยนะ ถ้าอัญโกรธพี่แบบนี้พี่คงสบายใจถ้าต้องเดินทางไกลๆ” อัฐพลพูดขึ้นเสียงเศร้า เขาไม่ชอบที่หญิงสาวนิ่งเงียบใส่แบบนี้เพราะนั่นหมายความว่าเธอกำลังโกรธอยู่
“พี่อัฐจะไปไหนเหรอคะ?” เสียงเศร้าของชายหนุ่มไม่ได้ทำให้อัญญาดาใส่ใจ เพราะสิ่งที่หญิงสาวสนใจคือคำพูดของเขาที่บอกว่าต้องเดินทางไกลๆนั่นต่างหาก
“พี่จะไปอังกฤษพรุ่งนี้เช้า ต้องไปดูงานแทนคุณพ่อน่ะ ครั้งนี้อาจจะไปนานหน่อย”
“กี่วันคะ?”
“ก็คงสองสามอาทิตย์หรือไม่ก็เป็นเดือน พี่เลยไม่อยากให้อัญโกรธพี่ไงครับ” อัฐพลถือโอกาสที่รถจอดติดไฟแดงคว้ามือบางมาถือไว้ หญิงสาวเองก็หันหน้ากลับมามองเขาเหมือนกัน “อย่าร้องไห้งอแงคิดถึงพี่เชียวนะ”
“พี่อัฐก็...อัญโตแล้วนะ” หญิงสาวหลุดยิ้มกับคำพูดติดตลกของชายหนุ่ม ก่อนจะตอบกลับทีเล่นทีจริงบ้าง “แต่ไปนานขนาดนี้ ก็ไม่แน่นะคะ”
“ไม่เอานะครับ อย่าร้องนะ คิดถึงก็โทรหาพี่ได้นี่หรือยังไงพี่ก็โทรหาอัญทุกวันอยู่แล้ว”
อัฐพลเอื้อมมือไปจับศีรษะมนโยกไปมาก่อนจะขับรถออกไป เมื่อสัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“พี่อัฐจะไปไหนเหรอคะ? นี่ไม่ใช่ทางกลับคอนโดฯของอัญนิค่ะ” หญิงสาวถามขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นชายหนุ่มขับรถออกนอกเส้นทางซึ่งเป็นคนละทางกับที่พักของเธอ
“พี่จะไปหาต้นข้าวที่โรงพยาบาล เห็นว่าไม่ยอมทานยาพี่ก็เลยจะไปเยี่ยมสักหน่อย”
“นี่ยังไม่ออกจากโรงพยาบาลอีกเหรอคะ?ไม่ได้ป่วยโรคทางการแพทย์แล้วมั้งคะอัญว่า...” โรคสำออยซะมากกว่า... หญิงสาวต่อคำหลังในใจ แค่กรีดข้อมือตัวเองแค่นี้แต่เล่นกินนอนอยู่โรงพยาบาลจนหมอเบื่อหน้า ไม่บ้าจริงคงทำไม่ได้นะเนี่ย
“อย่าพูดแบบนั่นสิอัญ ยังไงต้นข้าวเธอก็ไม่สบายอยู่นะ”
เพียงไม่นานรถยุโรปคันหรูก็มาจอดนิ่งสนิทอยู่ภายในลานจอดรถของโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งกิตติยารัตน์ คู่หมั้นสาวคนสวยของอัฐพลพักรักษาตัวอยู่
“อัญเข้าไปกับพี่นะ นี่ก็ดึกมากแล้วพี่ไม่อยากให้อัญอยู่ข้างนอกคนเดียว” อัฐพลหันชักชวนอัญญาดาที่นั่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกอยู่ข้างๆ
“จะดีเหรอคะ เจอหน้าอัญคุณต้นข้าวเธอจะไม่กรี๊ดโรงพยาบาลแตกเลยเหรอคะแบบนี้”
“ไม่หรอกน่า อัญรออยู่หน้าห้องไม่ต้องเข้าไปก็ได้นี่ครับ”
“เอางั้นก็ได้ค่ะ ไหนๆก็มาแล้วแวะไปเยี่ยมเธอหน่อยก็คงจะดี”
หญิงสาวพูดขึ้นอย่างมาดมั่นก่อนจะหันไปเปิดประตูแต่กลับถูกชายหนุ่มคว้าแขนเรียวเอาไว้เสียก่อน
“มีอะไรรึป่าวคะพี่อัฐ?”
“อย่าก่อเรื่องเด็ดขาดนะครับ ถือว่าพี่ขอร้อง”
คำพูดของอัฐพลทำให้หญิงสาวถึงกับถอนหายใจออกมา นี่เขากลัวเธอก่อเรื่องมากขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร แล้วแบบนี้จะชวนเธอขึ้นไปด้วยทำไมกัน
“ค่ะ”
สองหนุ่มสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยวีไอพี ก่อนที่อัฐพลจะเป็นคนเปิดประตูขึ้นไปก่อนและอัญญาดายืนชั่งใจอยู่หน้าห้องสักพักก่อนจะตามเข้ามาสมทบ
“อัฐ! ข้าวดีใจจังค่ะที่คุณมา” กิตติยารัตน์พูดขึ้นอย่างดีใจที่เห็นอัฐพลคู่หมั้นหนุ่มเดินเข้ามา รอยยิ้มหวานสดใสประดับอยู่บนหน้าสวยที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
“คุณเป็นยังไงบ้างข้าว ได้ยินว่าคุณไม่ยอมกินยาผมเป็นห่วงนะรู้ไหม” อัฐพลเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะจับมือสวยที่มีสายน้ำเกลือติดอยู่อย่างระวังแต่หญิงสาวกลับสวมกอดเขาเอาไว้แน่น
“ข้าวคิดถึงคุณนะคะอัฐ”
“ก็มาหาแทบทุกวันนี่คะ ยังจะคิดถึงอยู่อีกเหรอ”
เสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังของอัฐพล ทำให้กิตติยารัตน์ผละออกมาจากการกอดก่ายเขาก่อนจะชะโงกหน้าไปดูว่าแขกผู้มาใหม่เป็นใครทั้งที่ใจก็รู้อยู่แล้ว ในขณะที่ชายหนุ่มกลับยืนนิ่งไม่พูดไม่จา
“แก!! อัญญาดา”
รอยยิ้มหวานหายไปจากใบหน้าสวยของกิตติยารัตน์ทันที แปรเปลี่ยนเป็นง้ำงอแววตาดุดันฉายแววโกรธเกรียดอย่างไม่ปิดบัง
“สวัสดีค่ะคุณต้นข้าว ไม่เจอกันนานเลยนะคะ นึกว่าลืมกันไปแล้วซะอีก”
“นี่คุณกล้าพามันมาเย้ยฉันถึงที่นี่เลยเหรอคุณอัฐ คนบ้า!! ฮือออ!” กิตติยารัตน์ไม่สนใจคำพูดทักทายที่ดูเหมือนจะเป็นมิตรของอัญญาดา หญิงสาวหันไปตบตีชายหนุ่มคนรักอย่างบ้าคลั่งพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความเสียใจ
“อัญเขาก็แค่อยากจะมาเยี่ยมคุณนะข้าว คุณใจเย็นๆก่อนได้ไหม”อัฐพลยังคงพยายามปัดป้องและจับมือของคู่หมั้นสาวที่ตบตีเขาอยู่เอาไว้ ชายหนุ่มยังคงทำใจเย็นเพื่อควบคุมความร้อนที่กิตติยารัตน์ปล่อยออกมา
“ไม่!! คุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง คุณทำได้ยังไง ฮือออ” กิตติยารัตน์ยังคงไม่ฟังอะไรจากใครทั้งนั้น เมื่อสิ่งที่เธอได้รับจากคนที่เธอรักมันทำให้เธอเจ็บจนแทบไม่อยากหายใจ
“อัฐออกไปก่อนนะพี่ขอร้อง”
“แต่อัญยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ อัญไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย!” อัญญาดานึกผิดหวังกับคำขอของอัฐพล เขาทำเหมือนว่าเธอเป็นคนผิดทั้งๆที่กิตตินารัตน์คุ้มคลั่งอย่างไม่มีเหตุผล แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังคงยืนนิ่งไม่ไหวติง
“พี่บอกให้ออกไปไง!!”
ร่างระหงในชุดราตรีสีขาวสะอาดเดินทอดน่องมาตามทางเดินภายในดอนโดฯชั้นที่ยี่สิบสิงซึ่งเป็นชั้นที่เธอพักพิงอยู่ มือบางกำโทรศัพท์ไว้แน่นอย่างรอคอย แต่จนแล้วจดรอดก็ยังคงเงียบสนิทไม่มีเสียงตอบรับใดจากคนที่เธอหวังเพียงได้ยินเสียงของเขา เพราะตั้งแต่ที่อัฐพลตะคอกใส่เธอในห้องพักผู้ป่วยนั่นเขาก็ไม่หันมาสนใจเธออีกเลย มีเพียงรอยยิ้มหยันสะใจจากคนที่ทำทีร้องร้องไห้ปานจะขาดใจเมื่อก่อนหน้าเท่านั้นที่ส่งกลับมาให้ ในเมื่อเขาไล่ขนาดนี้จะให้เธอรออยู่อีกทำไม หญิงสาวจึงเลือกที่จะนั่งแท็กซี่กลับมาเองและส่งข้อความไปบอกเขาแทนว่าเธอขอกลับก่อน แต่ถึงอย่างนั้นทุกครั้งชายหนุ่มก็จะโทรหาเธอทันทีไม่ว่าเขาจะโกรธอยู่หรือไม่ก็ตาม แต่ครั้งนี้กลับเงียบหายไม่เป็นอย่างที่คิด
อัญญาดาถอดใจ โยนเรื่องหนักอกทิ้งไม่อยากเก็บเอามาคิดมาก เพราะเดี๋ยวเขาก็คงจะโทรมาเอง คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็เดินตรงไปที่ห้องของตัวเองทันที กดเปิดรหัสหน้าประตูเพื่อที่จะเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายให้คลายความเมื่อยล้าที่เผชิญมาตลอดทั้งวัน แต่ยังไม่ทันได้เปิดประตูเข้าไปร่างบางก็ถูกโอบรัดจากด้านหลังพร้อมกับที่ประตูห้องถูกผลักเข้าไปและปิดลง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนหญิงสาวตั้งตัวไม่ทัน เธอทั้งตกใจและขวัญเสีย มือบางพยายามควานหาสวิตช์ไฟที่อยู่ข้างประตู ก่อนจะกดเปิดทันที ความสว่างไสวปรากฏทุกสิ่งทุกอย่างให้ชัดเจน พร้อมกับที่ร่างบางถูกเหวี่ยงไปชนกับกำแพงห้องจนทรุดนั่งลงกับพื้น หญิงสาวไม่สนใจต่อความเจ็บปวดกลับรีบสะบัดหน้าขึ้นไปมองผู้บุกรุกยามวิกาลในทันที หัวใจดวงน้อยหล่นฮวบเมื่อคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากลับเป็นคนคนเดียวกับคนที่เธอไม่อยากเจอที่สุด
“คุณกฤตยชญ์!!”