ขบวนรถม้าของอิงอินแม้จะเดินทางมาแล้วห้าวันแต่ก็ไปได้ไม่ไกลนักเพราะมีเด็กอ่อนอยู่ในขบวนด้วยการเดินทางจึงเป็นไปอย่างเชื่องช้าจนทำให้อิงอินรู้สึกเกรงใจ ผู้คุ้มกันจากสำนักคุ้มภัยกับขบวนรถม้ารับจ้างก็ทำงานเข้ากันได้ดีและเป็นระเบียบยิ่งสมแล้วที่พวกเขาเป็นอันดับหนึ่งของเมืองหลวง
"ฮูหยินมีสิ่งใดให้ข้าช่วยก็บอกนะขอรับ ไม่ต้องเกรงใจ" หัวหน้าผู้คุ้มกันเดินเข้ามาถามนางหลังจากที่ขบวนรถม้าได้หยุดพักอีกครั้งในช่วงหัวค่ำของวันและคงพักยาวไปจนถึงรุ่งเช้า
"ขอบคุณท่านหัวหน้า ข้าคงไม่ได้ทำให้ท่านเสียเวลาใช่หรือไม่หากท่านจะคิดค่าเสียเวลาเพิ่มข้าก็ยินดี" อิงอินกล่าวด้วยความเกรงใจปกติแล้วพวกเขาจะใช้เวลาเดินทางไปเมืองอู่แค่สิบวัน แต่เห็นทีครั้งนี้คงจะเลยเถิดไปจนถึงครึ่งเดือนเป็นแน่
"อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย ที่ฮูหยินจ่ายมาก็มากเกินพอแล้ว หากเร่งรีบเกินไปคุณหนูทั้งสองอาจจะเจ็บป่วยได้ ตามสบายเถอะข้าไม่รีบ" หัวหน้าผู้คุ้มกันฮัวปกติก็จะไม่ค่อยคุ้มกันให้ใครง่าย ๆ ถ้าขบวนนั้นไม่ใหญ่พอ ที่เขามาเพราะเห็นว่าในขบวนส่วนมากก็มีแต่สตรีและยังมีทารกน้อยอีกถึงสองคนดูอย่างไรก็น่าเป็นห่วงจริง ๆ แต่พอได้มาเห็นหน้างานคณะเดินทางนี้กลับไม่ได้เล็กอย่างที่เขาคิดมีรถม้ามากถึงยี่สิบคันมันไม่น้อยเลยนะ เขาจึงได้นำคนคุ้มกันมาเพิ่มอีกนับร้อยคนทีเดียว
"ขอบคุณท่านหัวหน้าอีกครั้งเจ้าค่ะ"
"ข้าฮัวมั่วชง จะเรียกมั่วชงก็ได้"
"จะดีหรือเจ้าคะ เอ่อ..ท่านหัวหน้าฮัว"
"หึ ๆ ๆ เช่นนั้นก็แล้วแต่ฮูหยินจะเรียกเถิดขอรับวันนี้คนของข้าเข้าป่าล่าสัตว์ พวกท่านยังไม่ต้องทำมื้อเย็นก็ได้" ฮัวมั่วชงพอใจกับการวางตัวของสตรีตรงหน้าไม่ใช่น้อย คำพูดที่ฟังดูนุ่มนวลแต่กลับแฝงไว้ด้วยกำแพงสูงยากยิ่งที่เขาจะเข้าถึงได้ง่ายดาย
"ขอบคุณนะท่านหัวหน้าฮัว ท่านควรไปได้แล้วคุณหนูหิวนมแล้วเจ้าค่ะ" หมอปินเข้ามาขัดเพราะรู้ว่าฮูหยินอิงกำลังลำบากใจอยู่แน่ ๆ
"โอ้..ต้องขออภัยจริง ๆ ข้าลืมไปเช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะฮูหยินแล้วก็แม่นางด้วย"
"ท่านหมอปินไปกลั่นแกล้งคุณชายฮัวทำไมเล่า เด็ก ๆ ยังไม่หิวนมเสียหน่อย"
"คิก ๆ อย่างไรก็ดูออกว่าเขาสนใจฮูหยินเจ้าค่ะ"
"พูดอะไรออกมาน่ะ ข้าเป็นหญิงหม้ายทั้งยังไม่ได้ตัวเปล่าด้วยใครจะมาสนใจ อีกอย่างข้ายังไม่อยากมีเรื่องวุ่นวายหรอกนะ"
"แต่เขาไม่ได้รังเกียจที่ฮูหยินมีคุณชายน้อยและคุณหนูน้อยเลยนะเจ้าคะ โถ ๆ รูปก็งามปานนี้หากมาเกี้ยวพาข้านะ ฮิฮิ"
"เพ้อเจ้อใหญ่แล้วท่านหมอ" อิงอินค้อนขวับ บอกตามตรงว่านางยังไม่ต้องการมีใคร นางไม่คุ้นชินกับการที่มีบุรุษอยู่เคียงข้างเลยสักนิด ขนาดแต่งงานมาเกือบหนึ่งปีใบหน้าของสามีนางก็ยังไม่เคยเห็นเลย
ยามโหย่วหลังมื้ออาหารค่ำและเป็นเวลาพักผ่อนของทุกคน อิงอินกับลูกน้อยและท่านหมอปินพักผ่อนอยู่ในรถม้าคันใหญ่ ส่วน ถิงถิงและพี่น้องเหลียนพักอยู่รถม้าอีกคัน [ยามโหย่ว 15.00-18.59น.]
อุแว้ อุแว้ อุแว้
อุแว้ อุแว้ อุแว้
"อาเล่ยกับอาเอินเป็นอะไรอีกแล้วลูกแม่ ท่านหมอข้าเกรงว่าอาเล่ยกับอาเอินจะไม่สบายมาตรวจดูอาการของพวกเขาหน่อยเถอะ" อิงอินเป็นกังวลอีกครั้งที่เห็นลูกน้อยร้องไห้งอแงเหมือนกับคืนนั้นไม่มีผิด คืนก่อนที่จะเดินทางออกจากตำหนักเก่านั่น
"อืม..แปลกจริงตัวก็ไม่ร้อนท้องหรือก็ปกติดี คงจะเดินทางนานเกินไปคุณหนูทั้งสองก็ยังไม่ครบเดือนเลยอาจจะไม่ค่อยสบายตัวก็เป็นได้เจ้าค่ะ"
"เด็กดีของแม่หยุดร้องเสียเถิดคนดี อีกไม่นานก็จะถึงถึงอู่ซานแล้ว ไปถึงที่นั่นเมื่อใดแม่จะสร้างบ้านงาม ๆ ให้เจ้าสองคนอยู่ดีไหม" อิงอินไม่รู้จะปลอบลูกทั้งสองอย่างไรดีก็เลยติดสินบนพวกเขาด้วยบ้านงาม ๆ เสียเลย ฮึ..นางก็ช่างคิดได้
กุบกับ ๆ กุบกับ ๆ
"เดี๋ยวก่อนกงซานฟังเสียงนั่นสิ เจ้าได้ยินเสียงเด็กทารกร้องหรือไม่" หยางเล่อถามสหายรัก หากกงซานบอกว่าไม่ได้ยินนั่นหมายความว่าเขาหูแว่วอีกแล้ว เพราะพักหลังมานี่เขาจะเป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้งหรือแทบจะทุกคืนก็ว่าได้
"ได้ยิน..น่าจะอยู่ข้างหน้าโน่น เรารีบไปดูกันเถอะข้าว่าคงจะเป็นคณะเดินทางแน่เลย"
เมื่อทั้งสองเข้ามาใกล้จะถึงเขตที่พักของคณะเดินทางกลุ่มใหญ่ เสียงร้องของเด็กทารกก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่แล้วเสียงนั้นก็เบาลงเมื่อพวกเขาเข้ามาถึง
"หยางเล่อ เราเข้าไปถามพวกเขาดีหรือไม่เผื่อว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ"
"เสียงเริ่มจะเงียบลงแล้ว คาดว่าเด็กคงจะหิวและอีกอย่างเจ้าดูธงที่ปักอยู่โน่น ธงของสำนักคุ้มภัยฮัวหลงเราอย่าเข้าไปดีกว่า"
"ดีสิ ข้ากำลังอยากเจอมั่วชงอยู่พอดี กลับมาเมืองหลวงทั้งทีข้ายังไม่เจอเจ้านั่นเลย" รองแม่ทัพกงซานพูดถึงสหายรักอีกคนที่เป็นทายาทของสำนักคุ้มภัยฮัวหลง
"หึ ๆ เจ้าคิดว่ามั่วชงจะมาคุ้มกันคณะเดินทางขนาดเล็กเช่นนี้หรือ มันต้องเป็นขบวนสินค้าขนาดใหญ่เท่านั้นเจ้านั่นถึงจะออกมาคุมเองป่านนี้คงกำลังเดินทางอยู่ที่ไหนสักที่หรือไม่ก็แคว้นใดแคว้นหนึ่งก็เป็นได้"
"โธ่..หากไม่เจอมั่วชงเราก็ไปพักกับพวกเขาได้น่า จะค่ำมืดแล้วข้าขี้เกียจก่อไฟเอง"
"พอเลย อย่าไปรบกวนพวกเขาก็แค่ก่อไฟข้าทำเองก็ได้" เพราะไม่ต้องการที่จะไปยุ่มย่ามกับใครหากไม่สนิทด้วยแล้วหยางเล่อก็ไม่อยากจะไปสุงสิงด้วย เขาจึงขันอาสาที่จะก่อไฟเอง
"อ้อ..ได้เลยนาน ๆ ทีท่านแม่ทัพจะออกปากอาสาเอง ข้าก็ไม่ขอขัดนะขอรับ ฮ่า ๆ ๆ"
"........" 'ฮึ! ข้าหลงกลเจ้าบ้านี่อีกแล้ว'
ก่อนที่หยางเล่อจะควบม้าผ่านไปเสียงเด็กทารกก็ร้องดังขึ้นอีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกแปลก ๆ ทำไมพักนี้เขาถึงได้ยินเสียงเด็กทารกร้องบ่อยนักแม้แต่ในห้วงฝันก็ยังเคยได้ยิน เขามั่นใจว่าไม่เคยไปทำสตรีนางใดท้องแน่ ๆ จนต้องมีเสียงเด็กมาร้องขอความเป็นธรรมแม้กระทั่งในความฝัน หากจะกล่าวถึงอดีตชายาเขาก็เข้าหอกับนางแค่คืนเดียวและกำชับพ่อบ้านหวั่งดิบดีแล้วเรื่องยาห้ามครรภ์ นั่นเป็นสิ่งที่หวั่งซุนไม่มีวันพลาดเขามั่นใจ
ทางฝั่งของอิงอิน...
"อะไรกันเจ้าสองคนจะกลั่นแกล้งแม่หรือประเดี๋ยวก็ร้อง ประเดี๋ยวก็หยุด ดูสิตอนนี้หยุดอีกแล้ว"
"เขาเรียกว่าอาการเรียกร้องความสนใจเจ้าค่ะ"
"โอ้..ยังไม่ครบเดือนเลยนะพวกเจ้าก็รู้จักเรียกร้องความสนใจแล้วหรือ รอให้โตก่อนนะเด็กน้อยหากเป็นแบบนี้บ่อย ๆ แม่ทำตัวไม่ถูกรู้ไหม"
แอ้ แอ้
ฮ่า ๆ ๆ เสียงตอบรับของเจ้าตัวน้อยเหมือนจะรู้ความว่ามีคนกล่าวถึงตนจึงเป็นเหตุให้สตรีทั้งสองหัวเราะขึ้นพร้อมกัน พวกนางไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่าใครจะมากล่าวหาเรื่องไม่สำรวมกิริยาและพวกนางเองก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำตัวเรียบร้อยเพื่อเอาใจบุรุษก็ไม่ได้มีบุรุษให้พวกนางเอาใจนี่นา ฮิฮิ
อีกหลายวันผ่านไป…
"ใกล้เข้าเมืองอู่แล้วขอรับฮูหยินอิง พวกท่านจะไปอยู่ที่หมู่บ้านอู่ซานจริงหรือขอรับ"
สิบห้าสิบ-หกวันอย่างที่อิงอินคาดเดาเอาไว้ พวกนางมาถึงเมืองอู่แล้วจากนั้นก็ค่อยไปอู่ซานต่อ นางทราบมาจากหมอปินว่าที่นั่นบรรยากาศดีไม่น้อยถึงจะเป็นหมู่บ้านที่ทำการเกษตรแต่ก็ไม่ไกลจากเมืองอู่เท่าใดนัก แค่ยี่สิบลี้เท่านั้นไม่นับว่าไกลเลย
"จริงเจ้าค่ะ ท่านหัวหน้าฮัวถามทำไมหรือเจ้าคะ" หมอปินถามขึ้นก่อนหากให้ฮูหยินอิงเป็นคนตอบนางกลัวว่ามันจะยืดยาว
"ก็ที่อู่ซานมันเป็นที่ทำการเกษตรเท่านั้นไม่ได้เจริญเหมือนในเมืองข้าเลยไม่เข้าใจว่าพวกท่านจะไปทำอะไรที่นั่น"
"ทำนาเจ้าค่ะ" หมอปินตอบอีกครั้ง
"ห๊ะ! ทำนา..สตรีเช่นพวกท่านน่ะหรือจะไปทำนา"
"สตรีเช่นพวกข้าแล้วอย่างไรเจ้าคะทำนาไม่ได้หรือ” ตอนนี้หมอปินเริ่มจะทนไม่ไหวกับบุรุษที่มักจะคิดว่าสตรีควรอยู่แต่ในห้องหอเพียงอย่างเดียว คุณชายฮัวผู้นี้ก็คงจะไม่ต่างจากบุรุษอื่นสินะ
"เอ่อ" ฮัวมั่วชงพูดไม่ออก เขาเพิ่งจะเคยพบเจอห้าดรุณีหน้าตางดงามผิวพรรณก็ผุดผ่องคิดจะพากันทำไร่ทำนา พวกนางคงไม่ได้เพี้ยนไปหรอกใช่ไหม หรือว่าเขาไม่ค่อยได้อยู่เมืองหลวงจึงไม่รู้ว่าสตรีที่เคยอยู่แต่ในห้องหอยามนี้พวกนางได้เปลี่ยนไปแล้ว
"แล้วตอนนี้จะเข้าเมืองอู่หรือไปอู่ซานเลยขอรับ" มั่วชงถาม
"เข้าเมืองอู่เจ้าค่ะ ข้าต้องการโรงเตี๊ยมไม่ต้องใหญ่มากเอาที่ใกล้ประตูเมืองก็ได้เพราะที่อู่ซานพวกข้ายังไม่มีที่พัก" อิงอินรีบตอบออกไปก่อน หากให้หมอปินเป็นคนตอบเกรงว่าอาจจะเกิดศึกขึ้นได้
"เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจัดการให้" มั่วชงมองสตรีแม่ลูกอ่อนอย่างไม่เข้าใจ นางมีบุตรแฝดถึงสองคนดูแล้วเพิ่งจะเกิดได้ไม่นานแต่ไร้ซึ่ง
บิดาของทารกน้อย หากจะคิดว่านางหย่าร้างกับสามีแล้วย้ายหนีมันคงเป็นไปได้ยาก จะมีบุรุษใดใจร้ายหย่ากับสตรีที่มีบุตรให้กับตัวเองทั้งนางก็ยังงดงามปานนี้ ที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือสามีของนางได้ตกตายไปแล้วนางเลยคิดจะย้ายถิ่นฐาน ใช่มันควรจะเป็นเช่นนี้มั่วชงคิดได้ก็ควบม้านำหน้าขบวนไปก่อนเพื่อจะไปจัดการเรื่องโรงเตี๊ยมให้กับคนทั้งขบวนซึ่งไม่รวมคนของเขา เมืองอู่ไม่ได้ไกลจากแดนเหนือเท่าใดนักบางทีเขาอาจจะเลยไปเยี่ยมเยือนสหายบ้าง ได้ข่าวว่าสหายของเขาแต่งงานไปแล้วหนึ่งคน ‘ฮึ..หยางเล่อชินอ๋องน่ะหรือแต่งงาน’ เรื่องนี้เขายังไม่อยากจะเชื่อเท่าใดนักเพราะไม่เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับชินหวางเฟยมาก่อน เห็นทีเขาคงต้องอยู่เมืองหลวงให้นานขึ้นแล้วคราวนี้ จะได้ไม่ตกข่าว อีกอย่างมันจะมีอะไรน่าสนบ้างนะที่อู่ซานเขาคงต้องแวะเวียนมาที่นี่บ่อย ๆ เสียแล้ว