ไหนจะเรื่องความบริสุทธิ์ที่เก็บไว้อย่างดี เพื่อมอบให้คู่ชีวิต ในวันวิวาห์ แต่กลับถูกเขาเปิดประตูห้องออกมาและฉึกทึ้งความภาคภูมิใจของตัวเองจนไม่เหลือชิ้นดี
เธอสะเพร่าเพราะมัวตะลึ่งในความหล่อของเขา
แถมดันนึกว่านั่นคือความฝัน ที่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ
คีรีเป็นผู้ชายหน้าตาดี เขาดูดีมาตั้งแต่วัยรุ่น กาลเวลาหล่อหลอมให้เขาดูดีมากขึ้น เขาดูน่าหลงใหลทุกอย่าง เธอไม่เคยเห็นใครหล่อสูสีกับเขาได้มาก่อน
เธอเผลอตัว เสียความบริสุทธิ์ให้เขาไปแล้ว จากนี้ไป กันตายังนึกภาพไม่ออก เธอจะวางตัวยังไงหากเจอกับคีรีอีก
“นังหนูกันตา วันนี้ไม่ไปเรียนเรอะ” เสียงทุบประตูดังโครมคราม เสียงนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจากญาติผู้ใหญ่คนเดียวที่กันตามี หลังจากย้ายมาอาศัยใบบุญของท่าน เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมตัวสอบได้อย่างเต็มที่ และกันตาก็ไม่ได้ทำให้ครอบครัวผิดหวัง เธอสอบติด และใกล้จะเรียนจบแล้วด้วย เธอสามารถทำให้ครอบครัวมีหน้ามีตาขึ้นมาได้
“ตาปวดหัวค่ะป้า” เธอตอบกลับแล้วก็เดินลากขาไปเปิดประตู เพราะไม่อย่างนั้นลำดวนจะไม่มีทางกลับ จนกว่าจะได้เจอหน้าหลานสาว
“ไม่สบายเรอะ เรียนหนักหรือไง?” ลำดวนถาม แล้วก็มองหลานสาวเต็มๆ ตา “ทำไมขอบตาดำขนาดนั้นละ?”
“เมื่อคืนไปปาร์ตี้กับเพื่อนมาค่ะ”
“เอ้า เดี๋ยวนี้ริกินเหล้าแล้วเรอะ ถ้ามีคราวหน้า ฉันจะฟ้องแม่แกนะ!!”
กันตาอมยิ้ม มองท่าทางสูดจมูกฟุตฟิตของลำดวนตาปรอย “ป้าคะ แค่ครั้งเดียวเอง”
แค่ครั้งเดียวนี่แหละที่เปลี่ยนกันตาไปจากเดิม เธอเองยังคิดไม่ตกเลย เธอไม่มีทางแตะเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์อีกต่อไปแล้ว
“ป้าทำกับข้าวมาเผื่อ แม่แกส่งหนูนามาให้ เลยผัดเผ็ดมาให้กิน หิวไหมกำลังร้อนๆ เลย”
กันตายื่นมือไปรับ แต่ลำดวนไม่ได้ส่งปิ่นโตให้ นางเดินแทรกหลานสาวเข้าไปด้านใน จัดแจงเทอาหารจากปิ่นโตลงจาน และยกมาเสิร์ฟให้ถึงที่ ห้องพักเล็กๆ ของกันตาใช่พื้นที่เต็มทุกตารางนิ้ว กองหนังสือตั้งใหญ่ๆ วางแอบไว้มุมห้อง
“กินเสียสิ เดี๋ยวป้าทำความสะอาดให้ เป็นผู้หญิงน่ะ เรื่องสำคัญคือความสะอาด อย่าให้คนอื่นว่าเราได้” ระหว่างที่ลงมือเก็บกวาดห้อง ลำดวนก็สอนไปด้วย กันตาน้ำตาซึม นอกจากพ่อกับแม่ ก็มีลำดวนนี่แหละที่หวังดีกับเธอ
“พ่อแม่เขาอยากมาเยี่ยม แต่ป้าปรามไว้ ช่วงนี้เราน่ะเรียนหนักแถมยังต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลอีก”
“อีกสองเดือนเองค่ะป้า” กันตาบอกเบาๆ เพราะมีข้าวอยู่เต็มปาก พอได้กินคำแรกเท่านั้นแหละ กันตาเลยเพิ่งรู้ตัว เธอหิวจนแสบท้องไปหมด
“จริงเหรอ ดีจัง เดี๋ยวป้านัดพ่อกับแม่เราอีกที เราไปเที่ยวทะเลกันดีมั้ย ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้วนะ”
“พ่อกับแม่น่าจะอยากไปนะคะป้า”
“ป้าออกสตางค์เอง ไหนๆ ก็อยากฉลองความสำเร็จให้ว่าที่คุณหมอด้วย”
“ตาพอมีเงินเก็บค่ะป้า ถึงฝึกงาน แต่ตาได้สตางค์ด้วยนะคะ และตาแทบไม่ได้ใช้เลย”
ทั้งเรียนทั้งการเป็นอินเทิร์น กันตาแทบไม่มีเวลาส่วนตัว หลังฝึกครบปี และสอบครั้งสุดท้าย จากนี้แหละที่เธอจะต้องลงมือทำงานเต็มตัว โดยไม่มีอาจารย์คอยให้คำปรึกษา มีแค่คุณหมอรุ่นพี่คอยดูแล
“ดีเลย ป้าจะได้ไม่เปลือง”
กันตาอดหัวเราะไม่ได้ จนลำดวนตวัดตามอง กันตาเลยเลิกหัวเราะ เพราะเธอมีข้าวอยู่เต็มปาก
ลำดวนช่วยลดความกังวลของเธอลงไปเกือบหมด เรื่องเลวร้ายผ่านเลยเธอไปแล้ว จากนี้ไปคงจะมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นกับเธอ ตราบใดที่เธอยังเก็บความลับไว้ได้
วันต่อมา...
กันตาตื่นแต่เช้า หลังกินอิ่มเลยหลับเป็นตาย มาตื่นในเช้าของอีกวัน หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เธอหยิบขนมปังยัดปาก กับการฉวยกล่องนมที่ลำดวนขนมาใส่ไว้ในตู้เย็นหลังเล็กในช่วงที่เธอหลับ แล้วก็เดินออกไปรอรถประจำทางที่จุดจอดรถ
วันนี้เธอพยายามจะไปให้ทันเวลา ก่อนที่เพื่อนคนอื่นจะมาถึง
แต่การจราจรในเมืองใหญ่ๆ เอาแน่นอนเอานอนไม่ได้เลย หากโชคดีรถประจำทางที่เธอนั่งไม่ติดไฟแดงทุกป้ายก็น่าจะถึงตามกำหนดเวลาที่กะเกณฑ์ไว้ แต่หากโชคร้ายรถประจำทางที่เธอนั่งติดไฟแดงทุกป้าย เธอคงไปสาย และถูกดุอีกตามเคย
กันตาทอดถอนใจ ชีวิตเธอไม่ได้พิเศษอะไรหรอก วงจรชีวิตของเธอวนอยู่แค่นี้แหละ ตั้งแต่ลืมตาตื่น ไม่วิทยา’ ลัย ก็โรงพยาบาลที่ฝึกงาน เธอไม่มีเวลาส่วนตัว โชคดีที่ยังมีเพื่อนสนิทที่ติดต่อกัน แม้จะแยกไปตามทางของตัวเองในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
เธอพยายามไม่เก็บความกังวลมาใส่ใจ เพราะพื้นที่ว่างในสมองของเธอต้องใช้เก็บบางอย่างที่มีประโยชน์ อาชีพของเธอขึ้นอยู่กับความเสี่ยง หากตัดสินใจผิดพลาด นั่นหมายถึงชีวิตและลมหายใจของคนไข้
กันตาเลยพยายามฝึกให้ตัวเองเป็นคนง่ายๆ และกำจัดเรื่องรกสมองให้ได้ไวที่สุด
“เห้อ ถึงซะที” รถประจำทางจอดตรงจุดจอดหน้าโรงพยาบาล มีผู้โดยสารหลายคนทยอยเดินลง รวมถึงกันตาด้วย
แต่...
เมื่อสายตาของกันตาปะทะกับใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างป้ายโฆษณาที่ป้ายรถประจำทาง ร่างกายของกันตาแข็งทื่อขึ้นมาปุบปับ เธอเม้มปากชั่งใจ ระหว่างเดินต่อและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น หรือทักทายเขาก่อนด้วยสีหน้าที่ไร้พิรุธ
“เอ่อ”
“ไงกันตา เธอมาเกือบสายแล้วนะ” คีรีทักพอเป็นพิธี วันนี้เขาแค่มาแสดงตัว กันตาไม่มีทางหนีรอดหากเขาจงใจไล่ตาม
“นั่นสินะ เกือบสายแล้ว เคนท์ไม่มีอะไรใช่ไหม งั้นตาไปก่อนนะ” กันตาพูดรวดเดียวแล้วก็ทำท่าจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“เย็นนี้ฉันมารับนะ มีเรื่องจะพูดด้วย” กันตากลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ เธอไม่ได้หันกลับไปมองและไม่ได้รับปาก เธอยังคงรีบจ้ำอ้าวเดินต่อ แม้จะรู้สึกละห้อยละเหี่ยเต็มกลืน
คีรีอยากคุยอะไรกับเธอ?
ความว้าวุ่นเกาะกินอยู่ในใจ วันนี้ทั้งวันกันตาเลยพลาดบ่อยจนถูกดุ เธอก้มหน้ารับฟังคำสอนของอาจารย์เกือบครึ่งชั่วโมง
“อาจารย์หมอเคยบอกแล้วใช่ไหมกันตา ทุกนาทีของเราเหมือนยืนอยู่บนเส้นด้าย จะปล่อยให้ความกังวลมากวนใจไม่ได้ ต้องวางมันทิ้งและโฟกัสแค่คนไข้!!”
“ขอโทษค่ะ”
กันตาพึมพำ เธอผิดเต็มๆ ความจริงเธอควรวางความกังวลนั่นก่อนเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เพราะคีรีมาก่อกวนแท้ๆ เธอเลยพลาดอย่างที่ไม่เคยเป็น
“จำไว้เป็นบทเรียนนะ ไปเถอะ เธอคงเหนื่อย”
“หนูขอโทษอีกครั้งค่ะ ต่อไปหนูจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก...”
“อืม”
มันเป็นความผิดของเธอ ซึ่งเธอควรมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ แต่ทั้งหมดนั่นเพราะการปรากฏตัวของคีรี ผู้ชายที่จู่ๆ ก็โผล่หน้ามาทั้งที่เธอเกือบลืมเขาไปได้แล้ว
ณ อพาร์ทเม้นท์ใจกลางเมือง
หลังจากกลับมา คีรีก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เขานั่งนิ่งๆ พิงพนักเก้าอี้อยู่ที่ระเบียง มีขวดไวน์ยี่ห้อโปรดวางอยู่ข้างๆ สายตาทอดมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า
มันเหมือนมีเรื่องติดค้างอยู่ในใจ ที่สลัดยังไงก็ไม่หลุด
คีรีใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมง จนกระทั่งแสงแดดยามใกล้เที่ยงส่องมายังจุดที่ตัวเองนั่งอยู่ และอากาศที่ระอุร้อนขึ้นมาบีบบังคับให้เขาเลิกทำตัวไร้สาระสักที
เขาลุกขึ้นยืนเดินกลับเข้าไปด้านใน
แล้วก็เดินไปทิ้งตัวนอนบนโซฟา ความคิดของเขาคือรอเวลาอยู่ ซึ่งนาฬิกาก็เดินช้าไม่ทันใจเอาเสียเลย เขาเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์เกือบครึ่งวัน ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องการสักที
ติ่งหน่อง...
เสียงกริ่งหน้าประตูดังแทรกความคิดสับสน
คีรีผงกศีรษะมอง แล้วค่อยๆ ทรงตัวนั่งกว่าจะยอมลุกจากจุดนั้นก็ใช้เวลามากกว่าห้านาที
“ทำอะไรอยู่คะที่รัก”
หญิงสาวในชุดเดรสสีดำรัดติ้วที่ยืนยิ้มแผล่อยู่หน้าห้อง คือคู่นอนคนล่าสุดที่คีรียังไม่ได้สลัดทิ้ง ‘แอลลี่’ นางแบบสาวที่ยังไม่ค่อยมีงานสักเท่าไหร่ อาชีพเสริมของเธอคือการเร่ขายสมบัติเก่าที่บิดา มารดามอบให้ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิต