เว่ยซือเหลียงที่ความสงสัยเต็มท้องทนต่อไปไม่ไหวโพล่งถามออกไปอย่างอดใจไม่อยู่ “น้องเล็ก จะบอกพวกเราได้หรือยังว่าที่อารมณ์ดีอยู่ตอนนี้มันหมายความว่าอย่างไร เจ้าเลื่อนระดับพลังได้แล้วใช่หรือไม่”
เจ้าตัวส่ายหน้า “ไม่เจ้าค่ะ ทุกคนลองเดาดูสิเจ้าคะ”
“สำเร็จวิชาใหม่” เว่ยซือหลางเอ่ยบ้าง เจ้าตัวก็ยังส่ายหน้าเช่นเดิม
“เจอผักผลไม้ชนิดใหม่ในมิติ”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นอะไรเล่า บอกพวกเรามาเถอะ พวกเรายอมแพ้แล้ว” เว่ยซือเหลียงโอดครวญเล็กน้อย พูดไปหลายครั้งแต่กลับไม่ใช่คำตอบที่ถูก จึงไม่อยากรออีกต่อไปแล้ว
“คิกคิก” เว่ยซือหงป้องปากหลุดเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ออกมา ก่อนยื่นมือซ้ายมาด้านหน้าให้ทุกคนมองกันชัด ๆ
“อะไร อวดถุงมือคู่ใหม่งั้นหรือ” เว่ยซือหลิวขมวดคิ้วถามหลานสาว รู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยที่เจ้าตัวเล็กไม่ยอมไขข้อกระจ่างสักที
“โอ๊ะ! ขอโทษเจ้าค่ะ อาหงลืมถอด” อุตส่าห์อยากทำให้ทุกคนแปลกใจเลยใส่ถุงมือไว้ตลอด ไม่คิดว่าจะลืมเสียได้ เด็กหญิงยิ้มแห้งหดมือกลับมาถอดถุงมือออก แล้วยื่นมือไปข้างหน้าอีกครั้ง
“ดูสิเจ้าคะ พวกท่านเห็นอะไรหรือไม่”
คนในครอบครัวส่งสายตาหากันก่อนมองไปยังหลังมือขาวผ่องข้างซ้ายที่เว่ยซือหงยื่นออกมาเป็นจุดเดียว ต่างคนต่างขมวดคิ้ว
“เอ่อ น้องเล็กเจ้าจะให้พวกเราดูแค่รูปปลาหลีสีแดงสองตัวบนหลังมือเจ้าเช่นนั้นหรือ”
“ใช่เจ้าค่ะ” เด็กหญิงพยักหน้ากระตือรือร้น
“ย่าก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี นี่เจ้าวาดเองหรือ รู้หรือไม่ว่ามันสกปรก” หลินซือเหยาติงหลานสาว
“นั่นสิหงเอ๋อร์ การวาดภาพบนผิวกายไม่ถูกต้องนัก มันสกปรกนะลูก ถึงมันจะสวยดีแต่แม่ว่าวาดใส่กระดาษดีกว่าไหม”
“พี่เห็นด้วยกับท่านแม่นะน้องเล็ก” เว่ยซือหลางสนับสนุนคำพูดมารดา
ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่รู้จักสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตา เว่ยซือหงเริ่มรู้สึกห่อเหี่ยว
ตั้งใจอวดแท้ ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้!
มือเล็กค่อย ๆ หดกลับมากุมอยู่บนหน้าตัก มองสบตาทุกคนด้วยคิดหนัก จะบอกออกไปอย่างไรดีนะ
“หงเอ๋อร์ขอพ่อดูหลังมือลูกชัด ๆ หน่อยได้หรือไม่” เว่ยซือซานที่ไม่ได้ออกความคิดเห็นไปกับทุกคนขอมือบุตรสาวดูอีกครั้ง
“เจ้าค่ะท่านพ่อ” เด็กหญิงยื่นมือให้อย่างง่ายดาย นางตั้งความหวังไว้ที่ท่านพ่อ หากบิดาของนางรู้จักการอธิบายเรื่องอื่นใดจากนี้ก็ง่ายแล้ว
เว่ยซือซานเพ่งอยู่นาน เขารู้สึกคุ้นมากเหมือนเคยเห็นที่ไหน แม่ทัพหนุ่มเงยหน้าขอความเห็นบิดา
“ท่านพ่อดูสิขอรับ ท่านว่ามันคุ้น ๆ หรือไม่”
“หงเอ๋อร์ขอปู่ดูหน่อย” เว่ยซือหงยื่นมือไปหาเว่ยซือหลิว จากอากัปกิริยาของบิดา นางมั่นใจว่าท่านพ่อและท่านปู่ต้องรู้จักสัญลักษณ์นี้อย่างแน่นอน
“นี่มัน...” เว่ยซือหลิวหลุดคำพูดด้วยความตกใจอย่างไม่อยากเชื่อ เขาหมดคำจะกล่าวจริง ๆ ชายชรามองสบตาบุตรชายแล้วพยักหน้าว่าใช่พร้อมทั้งคิดถึงบทสนทนาของเขาพ่อลูกและสองพี่น้องตระกูลโอหยางเมื่อไม่นานมานี้ ใจความว่า
‘อีกนานหรือไม่ขอรับที่ประตูดินแดนลับจะถูกเปิดออก’ เว่ยซือซานเอ่ยถามสองพี่น้องตระกูลโอหยาง
‘พวกเรายังไม่มั่นใจว่าจะเป็นวันไหน’ โอหยางจิงตอบ
‘เหตุใดเล่าขอรับ ปกติที่ดินแดนลับเปิดออก สมาคมอักขระกับหอเทพโอสถก็รู้ก่อนคนอื่นทุกทีไม่ใช่หรือ’ เว่ยซือซานถามกลับเพราะสงสัย
‘ที่สมาคมอักขระสามารถบอกทุกคนได้อย่างแม่นยำว่าวันใดนั้นเป็นเพราะสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาปรากฏ’ โอหยางเจี๋ยตอบ สองพ่อลูกตระกูลเว่ยมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ เขาอธิบายต่อว่า
‘สมาคมอักขระของเราสามารถตรวจจับพื้นที่มิติหรือดินแดนลับได้เพียงแค่จะเปิดที่ใดบริเวณใดได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถระบุวันที่แน่นอนได้ แต่เพราะสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาปรากฏขึ้นมา พวกเราจึงสามารถบอกทุกคนได้อย่างแม่นยำว่าวันที่ประตูเปิดออกคือวันใดนั่นเอง พอจะเข้าใจแล้วหรือยัง’
‘ท่านหมายความว่า หากสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาปรากฏ เราจะรู้ได้ทันที ว่าประตูดินแดนลับจะเปิดออกวันใดใช่หรือไม่ขอรับ’ เว่ยซือซานถามกลับ สองพี่น้องตระกูลโอหยางทั้งสองพยักหน้ารับ ไม่ปิดบังแต่อย่างใด
‘ใช่ สัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาจะปรากฏบนร่างกายของผู้ถูกเลือก หากสัญลักษณ์นั้นปรากฏขึ้นให้นับไปอีกเจ็ดวัน ประตูทางเข้าดินแดนลับจะเปิดออก นี่เป็นความรู้ตกทอดจากอดีตกาลที่สมาคมอักขระของข้าครอบครองไว้’
‘นี่มัน... แล้วบอกพวกข้าพ่อลูกเช่นนี้จะไม่เป็นไรหรือขอรับ’ เว่ยซือซานถามด้วยความไม่แน่ใจ เรื่องนี้นับเป็นความลับของสมาคมอักขระได้เชียวนะ
โอหยางเจี๋ยและโอหยางจิงส่ายหน้าพลางว่า ‘เจ้าและข้าต่างกรีดเลือดสาบานเป็นพี่น้อง ทำพันธสัญญาเท่าเทียมกันแล้วย่อมไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าเจ้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้’
‘เอ่อ เช่นนั้นสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาเป็นเช่นไรหรือขอรับ ท่านลุงทั้งสองพอจะบอกกล่าวหรือมีตัวอย่างให้ข้าดูหรือไม่’ เว่ยซือซานเอ่ยขอด้วยความเกรงใจ สองพี่น้องโอหยางอมยิ้มก่อนพยักหน้าแล้วนำรูปเหมือนสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาให้พ่อลูกตระกูลเว่ยดู
กลับมาที่ปัจจุบันเว่ยซือหลิวและเว่ยซือซานใบหน้าเคร่งขรึม จนคนอื่น ๆ ต่างกังวลไปตาม ๆ กัน มีเพียงเว่ยซือหงยังยิ้มอยู่ได้
“ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” หลินซือเหยาถามสามี
“นั่นสิเจ้าคะ หรือภาพบนหลังมือหงเอ๋อร์ไม่ใช่เรื่องปกติ” หลิวลี่หงเอ่ยเสริม
เว่ยซือหลางและเว่ยซือเหลียงถึงจะไม่กล่าวคำใดออกมา แต่สายตากังวลระคนสงสัยแสดงออกอย่างชัดเจน
“เฮ้อ เรื่องเป็นเช่นนี้” เว่ยซือหลิวถอนหายใจก่อนเปิดปากเล่าให้ทุกคนในครอบครัวฟังถึงความหมายของสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตา
หลังสดับฟังความจริงเกี่ยวกับสัญลักษณ์บุตรแห่งโชคชะตาแล้ว ความเงียบเริ่มคืบคลาน ทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิด บุตรสาวหลานสาวของพวกเขาเพิ่งสิบขวบเองนะ จะปล่อยให้ไปเผชิญภัยอันตรายได้อย่างไร แต่พวกเขาทำอันใดไม่ได้ ต่อให้อยากกักขังเว่ยซือหงไว้ในเรือนมากแค่ไหน เมื่อถึงเวลา พลังของดินแดนลับจะดึงดูดร่างกายนางไปอยู่ดี
“ทุกคนไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ อาหงดูแลตัวเองได้!” เว่ยซือหงรับรู้ความรู้สึกถึงทุกคนจึงรีบบอกให้สบายใจแต่กลับไม่ช่วยอะไรได้ หนำซ้ำยังกังวลมากกว่าเดิมอีกด้วย
เด็กหญิงจะรู้หรือไม่ เพราะเป็นนาง พวกเขาถึงได้กังวลอยู่เช่นนี้เยี่ยงไรเล่า