เนื่องจากชื่อเสียงของสมาคมอักขระที่มีความแม่นยำการตรวจจับพื้นที่มิติมากที่สุด ทำให้ข่าวดินแดนลับที่กำลังจะเปิดออกกระพือโหมไปไกลมาก ยิ่งหลายวันมานี้คนของสมาคมอักขระและหอเทพโอสถยังเดินทางมาแคว้นโจวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ยิ่งมีข่าวแพร่กระจายออกไปตามการคาดเดาว่า บางทีมิติร่วมนภาอาจจะเปิดที่เมืองหลวงแคว้นโจวก็ได้
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าทั่วทุกหัวมุมเมือง ทุกตรอกช่องทางของเมืองหลวงมักมีกลุ่มคนเดินสวนกันขวักไขว่อยู่เสมอ หลายคนต่างระมัดระวังการใช้ชีวิตยิ่งขึ้น กลุ่มผู้มีอำนาจของแคว้นโจวต่างบอกลูกหลานให้เก็บเนื้อเก็บตัวสักระยะ ด้วยกลัวว่าหากไปชนตอเข้า อำนาจที่ตระกูลมีจะช่วยไม่ได้ อย่าลืมว่าคนที่มายังเมืองหลวง นอกจากผู้ฝึกยุทธ์อิสระยังมีผู้เยาว์และกลุ่มอำนาจจากดินแดนเบื้องบนเดินทางมาเยือนด้วย
กลุ่มคนที่เติบโตในดินแดนกล่าวขานว่าทวีปศักดิ์สิทธิ์นั้นล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงทั้งสิ้น ด้วยลมปราณที่หนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าดินแดนเบื้องล่าง เพียงเกิดมาก็มีร่างกายแข็งแกร่ง ครั้นพลังปราณตื่นขึ้นยังตื่นในระดับแม่ทัพแล้ว ไม่เหมือนชาวทวีปนภาครามที่ต้องไต่ระดับตั้งแต่ระดับเริ่มต้น เพียงเกิดยังต่างชั้นขนาดนี้ ไม่นับว่าผ่านไปหลายปีคนเหล่านั้นเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกปราณอย่างจริงจัง ด้วยทรัพยากรที่เหนือกว่า ระดับพลังของพวกเขาเหล่านั้นจะล้ำหน้าเหมือนพยัคฆ์ติดปีกเพียงใด พวกเราดินแดนเบื้องล่างไม่อาจรู้ได้ เช่นนั้นการระมัดระวังรู้จักหลบหลีกได้เป็นดี
ชั่วพริบตาวันนัดหมายเดินตลาดกับสหายก็มาถึง เว่ยซือหงอยู่ในชุดสีเขียวไล่ระดับอ่อนไปเข้มปักลายกิ่งไผ่ลู่ลม ดูนุ่มนวลและสุภาพทั้งยังช่วยขับผิวขาวให้เปล่งประกาย ยิ่งนางดื่มกินน้ำและผักผลไม้ปราณเป็นประจำ ผิวพรรณยิ่งเปล่งปลั่งสะท้อนแสงแดดราวหยกน้ำงาม ยามเด็กหญิงเดินผ่าน คนอื่น ๆ คล้ายหมองลงไปเล็กน้อย
ข้างกายเว่ยซือหงคือหลินหว่านสหายสนิทที่นัดกันมาเที่ยวชมตลาดในวันนี้นั่นเอง เด็กหญิงอยู่ในชุดปักลายดอกเหมยสีเหลืองนวลไล่ระดับเช่นกัน ผิวพรรณของนางแม้ไม่อาจเทียบเท่าเว่ยซือหงแต่ก็ดีกว่าคนทั่วไปมาก
ทั้งสองหยุดพูดคุยเป็นระยะเมื่อเห็นร้านที่ถูกใจ ก่อนจะพากันเดินต่อ สายตายังลอบประเมินท่าทีของผู้คนที่เดินสวนกันอยู่บ่อย ๆ พบคนที่กลิ่นอายแข็งแกร่งไม่น้อยเลย เด็กทั้งสองและกลุ่มผู้ติดตามเดินตลาดอย่างมีความสุข ทว่าดูเหมือนจะปกติสุขเกินไป สวรรค์จึงดลบันดาลให้ไปเจอกับปัญหาเข้า
“คุกเข่าขอโทษข้าเดี๋ยวนี้!”
ด้านหน้าของเว่ยซือหงมีคนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่พร้อมเสียงโวยวายที่เล็ดลอดออกมา ชาวบ้านที่ทำมาค้าขายต่างพากันก้มหน้าไม่กล้ามองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดมากนัก
“ดูเหมือนคุณชายกู้จะแย่แล้ว”
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าเขาก้าวเท้าไหนออกจากบ้านจึงมาเจอกลุ่มคุณหนูคุณชายของดินแดนเบื้องบนเข้า”
“ไม่น่าเลย ชีวิตกำลังไปได้ดีแท้ ๆ”
“มีพลังปราณระดับจอมยุทธ์แล้วอย่างไร ต่อหน้าคนจากดินแดนเบื้องบนพวกเราก็ไม่ต่างอันใดกับมดปลวก”
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใช่ว่าคุณชายกู้จะเป็นคนผิดเสียหน่อย คนพวกนั้นต่างหากที่ผิด”
“ใช่ ๆ”
เว่ยซือหงและหลินหว่านที่ตอนแรกจะยืนดูเหตุการณ์อยู่วงนอกเฉย ๆ พลันเปลี่ยนใจทันทีเมื่อคนที่กำลังมีปัญหาเป็นสหายของพี่ชายคนรอง ครั้นพอมองให้ดียังเห็นเว่ยซือเหลียงยืนอยู่ข้าง ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีคุณชายจากตระกูลอื่น ๆ ที่สนิทชิดเชื้อรวมอยู่ในกลุ่ม
“ขออภัยเจ้าค่ะท่านป้า ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ พอจะเล่าให้พวกข้าฟังสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ” หลินหว่านจูงมือสหายเดินเข้าไปถามท่านป้านางหนึ่งที่ดูแล้วน่าจะพูดคุยด้วยได้
“จะอะไรเล่า ก็คุณชายกู้น่ะสิไปขัดขากลุ่มคุณหนูคุณชายเข้าจนทำให้พวกเขาไม่พอใจ”
“ขัดขา?”
“เฮ้อ จะโทษคุณชายกู้ก็ไม่ถูกต้องหรอก ความจริงเขาแค่เข้ามาช่วยเด็กคนหนึ่ง ที่บังเอิญวิ่งไปชนคนในกลุ่มนั้นเข้า คนพวกนั้นโหดร้ายยิ่งนัก เด็กเพียงห้าขวบวิ่งชนกลับถึงขั้นลงไม้ลงมือส่งพลังปราณไปทำร้าย หากไม่ได้คุณชายกู้ปัดป้องเอาไว้ ไม่แน่อาจถึงชีวิต เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ นี่ก็นานเป็นเค่อแล้ว ยังจบเรื่องไม่ได้เลย ซ้ำยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเจ้าก็รีบกลับเถอะ อย่าอยู่นานนัก ประเดี๋ยวจะโดนลูกหลงไม่รู้ตัว ชาวบ้านหลาย ๆ คนก็เริ่มปลีกตัวกลับแล้ว แผงลอยหลายร้านก็เก็บข้าวของกลับแล้วเช่นกัน”
“ขอบคุณท่านป้าเจ้าค่ะ” เว่ยซือหงกล่าวขอบคุณพร้อมยื่นเงินให้อีกฝ่ายหนึ่งตำลึง
“เอาไงดีอาหง” หลินหว่านถามสหายด้วยสีหน้ากังวล
“ไม่ยุ่งไม่ได้หรอก ในกลุ่มนั้นมีพี่ชายของข้าอยู่ เจ้าไปรอข้าที่โรงเตี๊ยมของท่านตา ประเดี๋ยวเสร็จธุระตรงนี้ข้าจะรีบตามไป”
“เรื่องอะไรเล่า มาด้วยกันก็ไปด้วยกันสิ ข้าไม่ทิ้งเจ้าแน่” หลินหว่านยืนยันแม้นางจะหวาดกลัวแต่ไม่คิดทิ้งสหาย
เว่ยซือหงที่เห็นว่าอย่างไรสหายก็ไม่ยอมไปจึงพยักหน้าแล้วเดินนำไปยังกลุ่มคนที่มีปัญหากันทันที
“พี่รอง”
“น้องเล็กมาทำอันใดที่นี่ กลับจวนได้แล้ว” เว่ยซือเหลียงตกใจที่เห็นน้องสาวอยู่ตรงนี้เอ่ยเสียงเครียด
เด็กหญิงส่ายหน้าเหลือบสายตามองไปยังกลุ่มคุณหนูคุณชายจากดินแดนเบื้องบนเล็กน้อย ฝ่ายนั้นมีกันอยู่ห้าคนไม่รวมผู้ติดตาม แต่ละคนมีพลังระดับปราชญ์ขั้นต้นทั้งสิ้น
‘มีพลังระดับปราชญ์? ไม่แปลกที่สร้างความกดดันให้พี่รองได้’
“น้องเล็กไม่ใช่เวลามาดื้อนะ กลับไปได้แล้ว” เด็กหนุ่มดุน้องสาวอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ด้วยกลัวว่าน้องจะได้รับอันตราย
“ไม่เจ้าค่ะ” เว่ยซือหงยืนกราน แล้วเลือกไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนตรงหน้าทันที
ฝ่ายคุณหนูคุณชายที่มาจากดินแดนเบื้องบนเองต่างรู้สึกแปลกใจที่เด็กสิบขวบกล้าสบตากับพวกเขา
“เหอะ ช่างไม่กลัวตาย” เสิ่นเถา คุณชายจากทวีปศักดิ์สิทธิ์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งไม่เกรงกลัวในพลังอำนาจที่เขามี
เว่ยซือหงเพียงมองนิ่ง ๆ ก่อนเลื่อนสายตาไปมองคนอื่น ๆ ทั้งห้าคนนี้มีอยู่หนึ่งคนที่จิตใจสว่างกว่าคนอื่น ๆ น่าจะพอคบหาได้
“ขออภัยที่เข้ามาขัดจังหวะเจ้าค่ะ ข้านามซือหงแซ่เว่ย ไม่ทราบว่าพวกท่านมีชื่อแซ่อย่างไรกันบ้างเจ้าคะ”
ทันทีที่ได้ยินแซ่เว่ยออกจากปากเด็กหญิงตรงหน้า ท่าทีเหยียดหยามดูแคลนของคนกลุ่มนั้นพลันเปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่เสิ่นเถาเองยังชะงักไปครู่หนึ่ง
“ที่แท้เป็นคุณหนูตระกูลเว่ยนี่เอง ข้าเปียวหย่ง ยินดีที่ได้รู้จักคุณหนูน้อย” เปียวหย่งมีอัธยาศัยดีที่สุดในกลุ่มเอ่ยแนะนำตัวเอง
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณชายเปียวเช่นกันเจ้าค่ะ แล้ว...” เด็กหญิงทิ้งหางตาไปยังคนอื่น ๆ เปียวหย่งกลั้วหัวเราะพลางว่า
“ข้าจะแนะนำให้คุณหนูได้รู้จักเอง เริ่มจากสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่มของข้า นางมีนามว่าจิวซิน เป็นผู้ปรุงโอสถ คนที่มีรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลานามเตียวฝานเป็นนักอักขระ ส่วนนั่นอี้หยวนไท่ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด และสุดท้ายเสิ่นเถา”